realme รอบนี้กลับมาแบบโหด ๆ กับ realme 12+ และ realme 12 Pro+ 5G ที่รุ่นท็อปสุดได้ใช้ทั้งเซนเซอร์ระดับเรือธงอย่าง IMX890 และกล้องซูม Periscope Telephoto ที่ถูกนำมาใส่ในมือถือ Midrange เป็นครั้งแรก ส่วนรุ่นน้องอย่าง realme 12+ 5G ก็ไม่ธรรมดา เพราะมากับกล้องเซนเซอร์ใหม่ Sony LYTIA 600 เป็นครั้งแรก ส่วนจุดไหนที่เราประทับใจ จุดไหนที่อาจจะยังไม่ใช่ วันนี้จะมาเล่าประสบการณ์การใช้งานให้ฟัง
ชมดีไซน์ realme 12+ และ realme 12 Pro+ 5G
realme 12+ และ realme 12 Pro+ 5G มากับภาพรวมดีไซน์ที่คล้าย ๆ กัน มากับโมดูลกล้องวงกลมขนาดใหญ่สะท้อนแสงที่ออกแบบโดย Ollivier Savéo ดีไซเนอร์นาฬิกาหรูที่เคยร่วมงานกับ Rolex โดยในรุ่นท็อปจะมาพร้อมกับดีไซน์ขอบวงแหวนสีทองแบบ Golden Fluted Bezel สลักเป็นพื้นผิวเหมือนวงแหวนหน้าปัดนาฬิกาจริง ๆ ส่วนในรุ่น 12+ 5G จะได้เป็นขอบเงางามเรียบ ๆ ที่ดูสวยไม่แพ้กัน
ตรงกลางฝาหลังของทั้งสองรุ่นจะมีเส้นสีทองที่เรียกว่า Jubilee Braclet สีทองเงางาม สลักลายหมุดเพชร 3D ไว้หรู ๆ ซึ่งสีที่เราได้มา ในรุ่น 12 Pro+ 5G จะเป็นสีน้ำเงิน Submarine Blue และรุ่น 12+ 5G จะได้เป็นสีเขียว Pioneer Green โดยฝาหลังจะใช้วัสดุหนัง Vegan หรูหรา ไม่ติดลายนิ้วมือเหมือนกัน แต่รุ่น Pro+ 5G จะมีความหนืดมือ สัมผัสแล้วให้ฟีลลิ่งที่คล้ายหนังจริง ๆ มากกว่า
ส่วนดีไซน์ด้านอื่น ๆ realme 12 Pro+ 5G จะใช้ดีไซน์ฝาหลังแบบโค้งจับถนัดมือ พร้อมขอบเฟรมสีทองเงางามตัดกับสีน้ำเงินอย่างลงตัว ด้านขวามีปุ่ม Volume และปุ่ม Power ด้านขวาไม่มีปุ่มใด ๆ ส่วนด้านบนมีลำโพงสตูดิโอตัวที่ 2 พร้อมไมโครโฟนตัดเสียงรบกวน ด้านล่างเป็นช่องลำโพง, พอร์ต USB-C, ไมโครโฟนสนทนาหลัก และช่องใส่ซิมการ์ดแบบ Dual Slot ใส่ microSD Card ไม่ได้
ฝั่ง realme 12+ 5G จะได้ตัวเครื่องแบบแบนราบทุกมุม ทั้งฝาหลัง หน้าจอแสดงผล และขอบเฟรมที่ใช้วัสดุเงาวับ ด้านขวามีปุ่ม Volume และปุ่ม Power ส่วนด้านซ้ายไม่มีปุ่มใด ๆ ด้านบนมีทั้งช่องเชื่อมต่อหูฟัง 3.5 มม. ช่องลำโพงสเตอริโอ และไมโครโฟนตัดเสียงรบกวน ส่วนด้านล่างมีช่องใส่ซิมการ์ดแบบ Hybrid Slot เลือกใส่ซิม 2 หรือ microSD card, ไมโครโฟนหลัก พอร์ต USB-C และช่องลำโพง
ตัวเครื่องทั้งสองรุ่นรองรับมาตรฐานทนละอองน้ำ ทนฝุ่น realme 12+ จะรองรับที่ระดับ IP54 ส่วนรุ่นท็อป realme 12 Pro+ 5G จะรองรับที่ IP65
ได้จอ AMOLED เหมือนกันแต่ต่างกันเยอะ
realme 12+ และ realme 12 Pro+ 5G ถึงแม้ว่าจะมากับจอแสดงผลพาเนล AMOLED สีสันสดใส ความละเอียด Full HD+ รองรับรีเฟรชเรต 120Hz, รองรับการแสดงผลคอนเทนต์ 4K@60FPS HDR และรองรับการสแกนลายนิ้วมือใต้หน้าจอเหมือนกันทั้งสองรุ่น แต่ภาพรวมฟังก์ชั่นฟีเจอร์ต่าง ๆ เรียกได้ว่าแตกต่างกันอยู่หลายจุด
จอของ realme 12 Pro+ 5G จะเป็นจอกระจกแบบโค้ง 3D ขนาด 6.7 นิ้ว สว่างสูงสุด 950 nits และรองรับการแสดงผล ProXDR ดึงความสว่างเฉพาะจุดออกมา ทำให้ดูภาพ HDR ได้สมจริงมากขึ้น ได้มาตรฐาน TUV Rheinland ปล่อยแสงสีฟ้าต่ำ และกะพริบต่ำ โดยมีค่า PWM Dimming ถึง 2160Hz ทำให้จ้องในที่แสงน้อยแล้วไม่ปวดตา
ส่วน realme 12+ 5G ใช้ดีไซน์กระจกจอตรงขนาด 6.67 นิ้ว ซึ่งถึงแม้ว่าขอบล่างจะดูหนา แต่สเปคจอถือว่าแจ่มไม่แพ้กัน รองรับทั้งมาตรฐาน HDR10+ และยังสว่างสูงสุดถึง 2,000 nits ซึ่งถึงแม้ว่าจะไม่ได้รองรับฟีเจอร์ ProXDR ทำให้ภาพอาจจะดูแบนไปบ้าง แต่จะได้เปรียบกว่ารุ่นพี่ในเรื่องของความสว่าง ส่วนเรื่องถนอมสายตารุ่นนี้รองรับแค่มาตรฐานแสงสีฟ้าต่ำเท่านั้น
สำหรับการดูคอนเทนต์นั้น ทั้งสองรุ่นได้รับการรับรองมาตรฐาน Widevine L1 รองรับการดูคอนเทนต์บน Netflix ที่ความละเอียด Full HD แต่สำหรับการรับชมวิดีโอ 4K@HDR 60FPS บน YouTube นั้น รุ่นเล็กอย่าง realme 12+ 5G จะมีบางจังหวะที่กระตุกเป็นพัก ๆ เพราะอาจจะใช้ประสิทธิภาพการประมวลผลของชิปที่ค่อนข้างสูง แต่ถ้าเป็นวิดีโอความละเอียดอื่น ๆ เรียกได้ว่าไม่มีปัญหา
เช่นเดียวกับระบบเสียงที่ทั้งสองรุ่นจะได้ลำโพงคู่เหมือนกัน แต่มิติเสียงของ realme 12 Pro+ 5G จะดีกว่าเพราะรองรับมาตรฐาน Dolby Atmos ส่วน realme 12+ 5G จะออกมาในโทนก้อง ๆ แต่จะได้เสียงที่ดังกว่ามาก ๆ และไม่รองรับ Dolby Atmos
realme 12+ และ realme 12 Pro+ 5G กล้องต่างกันไหม?
สเปคกล้องระหว่าง realme 12+ และ realme 12 Pro+ 5G เรียกได้ว่าแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เพราะตัวท็อปมากับชุดกล้องหลังที่สามารถจับไปใส่ในมือถือเรือธงได้สบาย ๆ ส่วนกล้องของ realme 12+ 5G จะเป็นสเปคกล้องที่มากับชุดเซนเซอร์ในกลุ่มมือถือระดับ Mid-Range ทั่วไป โดยสามารถดูความแตกต่างของทั้งสองรุ่นได้จากตารางด้านล่าง
รุ่น / สเปคกล้อง | realme 12+ 5G | realme 12 Pro+ 5G |
กล้องหลัก | Sony LYT-600 50MP (f/1.9) ขนาด 1/1.95″ กันสั่น OIS / PDAF | Sony IMX890 50MP (f/1.8) ขนาด 1/1.56″ กันสั่น OIS / PDAF |
กล้อง Ultrawide | 8MP (f/2.2) ขนาด 1/4.0″ มุมกว้าง 112 องศา | |
กล้อง Macro | 2MP (f/2.4) | – |
กล้อง Periscope | – รองรับ In-sensor Zoom จากกล้องหลัก 2x Digital Zoom 20x | OmniVision OV64B 64MP (f/2.8) ขนาด 1/2″ Optical Zoom 3x (71 มม.) Digital Zoom 120x กันสั่น OIS / PDAF |
กล้องเซลฟี่ | 16MP (f/2.5) ระยะ 24 มม. | 32MP (f/2.4) ถ่ายได้ 2 ระยะ 21 / 25 มม. |
ฟีเจอร์กล้องพิเศษที่มีให้ทั้งสองรุ่น
ฟิลเตอร์จากผู้กำกับภาพรางวัลออสการ์
ถึงแม้ว่าสเปคกล้องจะต่างกัน แต่ทั้ง realme 12+ และ realme 12 Pro+ 5G ก็มากับฟีเจอร์พิเศษที่ได้เหมือนกันทุกรุ่น คือฟิลเตอร์ Cinematic ที่ออกแบบโดยผู้กำกับภาพดีกรีรางวัลออสการ์อย่าง Claudio Miranda กับผลงานดัง เช่น Life of Pi และ Top Gun Maverick โดยฟิลเตอร์พิเศษนี้จะมีให้เลือกใช้งาน 3 แบบคือ
- Journey
- Maverick
- Memory
โดยฟิลเตอร์ทั้ง 3 แบบนี้ สามารถใช้งานได้ทั้งในวิดีโอ และภาพนิ่งทั้งในโหมด Auto และ โหมด Portrait แต่พิเศษเฉพาะรุ่น realme 12 Pro+ 5G จะมาพร้อมกับโหมดพิเศษที่เรียกว่า Cinematic Portrait ที่จะให้ผู้ใช้งานสามารถปรับอัตราส่วนการถ่ายภาพ Portrait ให้เป็นแบบ 2.39:1 ซึ่งเป็นอัตราส่วนที่มักจะถูกใช้ในการถ่ายหนังนั่นเอง (ใช้ได้กับแค่ในโหมดภาพนิ่งนะ ไม่รองรับในโหมดวิดีโอ)
โหมด Street ช่วยจัดองค์ประกอบได้ง่าย ๆ
ทั้งสองรุ่นมาพร้อมกับโหมด Street ที่เมื่อแตะที่วัตถุที่ต้องการถ่ายแล้ว ระบบจะซูมไปที่วัตถุอัตโนมัติ พร้อมจัดองค์ประกอบต่าง ๆ ให้ได้ภาพถ่ายที่ดูลงตัวขึ้น และปรับ Shutter Speed ใหเร็วขึ้น แต่อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่าโหมดนี้จะให้หลักการซูมแบบ Digital Zoom ทำให้คุณภาพภาพถ่ายที่ได้ จะถูกลดทอนไปจากโหมดปกติเล็กน้อย
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้อง realme 12 Pro+ 5G
แน่นอนว่าในเมื่อ realme 12 Pro+ 5G มาพร้อมกับกล้องคุณภาพที่ดีกว่า จึงไม่แปลกที่จะได้ภาพที่ดูดีกว่ามาก ๆ โดยเซนเซอร์หลักอย่าง IMX890 50MP ก็ทำได้ดีทั้งในตอนกลางวัน และตอนกลางคืน รายละเอียดคมชัด ดูดีสมคำเคลม แต่โทนสีออกมาจะมีความหม่น ๆ นิดหน่อย
เช่นเดียวกับเลนส์ Periscope Telephoto 3x ที่ใช้ถ่าย Portrait ได้ดูดีมาก ๆ แต่ตัวซอฟต์แวร์อาจจะต้องใช้เวลาประมวลผลสักพักหลังกดชัตเตอร์ประมาณ 1 – 2 วินาที ซึ่งถ้ารีบถ่าย รีบดึงมือถือลงก็อาจจะทำให้ภาพนั้นเสียไปเลย เลยการตัดขอบต่าง ๆ อาจจะดูแข็งไปบ้าง แนะนำว่าให้ปรับไว้ที่ค่าจาง ๆ เพราะเมื่อถ่ายไปแล้วจะไม่สามารถปรับแก้ความเบลอในตอนหลัง
ส่วนการถ่ายแบบซูมไกล ด้วยความที่ระยะกล้องไม่ไกลมาก และชิปประมวลผลที่อาจไม่ได้แรงเทียบเท่าเรือธง ระยะ 6x ถือเป็นระยะที่ยังคมชัดใช้การได้ แต่ถ้าระยะไกลกว่านี้ ดีเทลต่าง ๆ อาจจะดูยากหน่อย ส่วนการถ่ายในที่แสงน้อยด้วยเลนส์ Periscope หากอยู่ในที่ที่ยังพอมีแสงก็ถือว่าทำได้ดีเรียกแสงกลับมาได้พอสมควร แต่ถ้าเป็นที่มืดมาก ๆ จะใช้เวลาเปิดรูรับแสงประมาณ 3 วินาที
อย่างไรก็ตามเลนส์ Ultrawide 8MP ก็ถือว่าถ่ายออกมาได้ตามมาตรฐานในระดับ Mid-Range แต่ส่วนตัวรู้สึกว่าตัวระบบดัน Sharpness ขึ้นมาสูงเกินไปสักหน่อย ส่วนกล้องเซลฟี่ในรุ่นนี้ให้มาที่ 32MP สามารถถ่ายได้สองระยะ 0.8x และ 1.0x ซึ่งกล้องสดหากถ่ายในร่มจะเห็น Noise ได้ค่อนข้างชัดเมื่อซูมดูใกล้ ๆ แต่ที่ชอบคือโหมดบิวตี้ที่ถึงแม่ว่าจะปรับลดรอยมาก ๆ ตัวระบบยังมีรูขุมขนต่าง ๆ บนหน้าให้ดูเป็นธรรมชาติอยู่ ไม่ดูลอยจนหลอก
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้อง realme 12+ 5G
สำหรับ realme 12+ 5G กล้องเซนเซอร์หลักอย่าง LYT-600 ความละเอียด 50MP ที่รองรับการซูมแบบ In-Sensor Zoom 2x เข้ามาช่วยในเรื่องการถ่ายภาพ Portrait ให้ได้ระยะที่สวยมากขึ้น แต่โทนภาพต้องบอกว่ารุ่นนี้จะติดเหลืองนิดหน่อย ส่วนเลนส์ Ultrawide ถึงแม้จะใช้เลนส์ตัวเดียวกัน แต่เนื่องจากใช้ชิปคนละตัว ทำให้การประมวลผลภาพต่างกัน เวลาใช้ถ่ายภาพกลางคืนจะดูมี Noise ขึ้นมาเล็กน้อย
ส่วนกล้อง Macro ที่ให้มา 2MP ต้องบอกว่าเป็นกล้องที่หาโอกาสใช้ได้ค่อนข้างยาก และด้วยความละเอียดที่ไม่สูงมาก ทำให้ดีเทลต่าง ๆ อาจจะไม่ชัดเจนนัก หากจะถ่ายระยะใกล้แนะนำให้ใช้ In-Sensor Zoom ในการถ่ายจะได้ภาพที่คมชัดมากกว่า ส่วนสายเซลฟี่รุ่นนี้ให้กล้องหน้าความละเอียด 16MP รองรับการถ่ายที่ระยะ 24 มม. เพียงระยะเดียว แต่รูปที่ได้ถือว่าทำได้ดีไม่แพ้รุ่นพี่ โหมดบิวตี้ต่าง ๆ ก็มีให้ครบเลย
ตัวอย่างงานวิดีโอของ realme 12+ และ realme 12 Pro+ 5G
ประสิทธิภาพตัวเครื่อง
เรื่องของประสิทธิภาพทั้งสองรุ่นมากับชิปเซ็ตต่างค่ายต่างประสิทธิภาพ โดย realme 12 Pro+ 5G จะได้ใช้ชิปที่ประสิทธิภาพเหนือกว่าอย่าง Snapdragon 7s Gen 2 อีกทั้งยังมีรุ่นความจุหลากหลายให้เลือกตามการใช้งานสูงสุด 12GB + 512GB ผลทดสอบจาก Geekbench 6 และ 3D Mark จึงทำได้ค่อนข้างดีกว่าอีกรุ่นนิดหน่อย
realme 12+ 5G จะได้ใช้ชิปอย่าง Dimensity 7050 ซึ่งถึงแม้ว่าจะไม่แรงเท่ารุ่นท็อป แต่ผลทดสอบบน Geekbench ก็ต่างกันไม่มาก ดังนั้นการใช้งานทั่วไปก็ถือว่าหายห่วง แต่สำหรับการเล่นเกมนั้น ผลทดสอบ GPU บน 3D Mark เรียกได้ห่างกันเกือบ ๆ 30% และจากที่ได้ทดสอบมา 3 เกม ผลออกมาเป็นดังนี้
ตารางเทียบสเปค | realme 12+ 5G | realme 12 Pro+ 5G | |
จอภาพ | ประเภท | จอตรง AMOLED ความสว่างสูงสุด 2000 นิต | จอโค้ง AMOLED 3D ProXDR ความสว่างสูงสุด 950 นิต |
ขนาด | 6.67 นิ้ว | 6.7 | |
ความละเอียด | FHD+ (2400× 1080 พิกเซล) | FHD+ (2412× 1080 พิกเซล) | |
อัตรารีเฟรช | 120Hz | ||
ประสิทธิภาพ | ชิปเซต | Dimensity 7050 | Snapdragon 7s Gen 2 |
หน่วยความจำ | 8GB | 8GB / 12GB | |
สตอเรจ | 256GB (รองรับ microSD Card) | 256GB / 512GB | |
ระบบปฏิบัติการ | realme UI 5.0 บนพื้นฐาน Android 14 | ||
กล้อง | กล้องหลัก | Sony LYT-600 50MP (f/1.9) ขนาด 1/1.95″ กันสั่น OIS / PDAF | Sony IMX890 50MP (f/1.8) ขนาด 1/1.56″ กันสั่น OIS / PDAF |
กล้อง Ultrawide | 8MP (f/2.2) ขนาด 1/4.0″ มุมกว้าง 112 องศา | ||
กล้อง Macro | 2MP (f/2.4) | – | |
กล้อง Periscope | – รองรับ In-sensor Zoom จากกล้องหลัก 2x Digital Zoom 20x | OmniVision OV64B 64MP (f/2.8) ขนาด 1/2″ Optical Zoom 3x (71 มม.) Digital Zoom 120x กันสั่น OIS / PDAF | |
กล้องเซลฟี่ | 16MP (f/2.5) ระยะ 24 มม. | 32MP (f/2.4) ถ่ายได้ 2 ระยะ 21 / 25 มม. | |
เสียง | ลำโพง | ลำโพงคู่ Hi-Res Audio | ลำโพงคู่ Dolby Atmos / Hi-Res Audio |
เครือข่าย | เทคโนโลยี | 5G | |
การเชื่อมต่อ | Wi-Fi | Wi-Fi 6 | |
Bluetooth | 5.2 | ||
การเชื่อมต่ออื่น ๆ | USB Type-C 2.0 ช่องเชื่อมต่อหูฟัง 3.5 มม. | USB Type-C 2.0 | |
แบตเตอรี่ | ความจุ | 5000mAh | |
การชาร์จ | ชาร์จไว 67W | ||
ตัวเครื่อง | มาตรฐานทนน้ำ | IP54 | IP65 |
ขนาด | 162.95 x 75.45 x 7.87 มม. | 161.47 x 74.02 x 8.75 มม. | |
น้ำหนัก | 190 กรัม | 196 กรัม |
Genshin Impact
realme 12+ 5G สามารถเล่นเกม Genshin Impact ได้ในโหมดกราฟิกแบบ Low Setting โดยสามารถทำเฟรมได้อยู่ที่ประมาณ 40 – 45FPS เมื่อมีการโจมตีหนัก ๆ เอฟเฟกต์เยอะ ๆ บนจอ
ส่วน realme 12 Pro+ 5G ดูเหมือนว่าจะมีบักในด้านการ Optimized ตัวชิปให้เข้ากับเกม หรืออาจจะมีปัญหาติดขัดในด้านซอฟต์แวร์บางประการ เพราะเมื่อเล่นในโหมด Medium Setting แล้ว หากเดินในเมืองเฟรมเรตจะยังวิ่งที่ 59 – 60FPS แต่เมื่อเริ่มตีมอนสเตอร์ หรือศัตรู เฟรมเรตจะดรอปลงมาเหลือเพียงแค่ 29 – 30FPS ทันที ซึ่งเมื่อปรับเป็นโหมด Low Setting แล้วก็ยังคงเป็นเหมือนเดิม
PUBG Mobile
realme 12+ 5G รองรับการเล่น PUBG Mobile ในโหมดกราฟิกสูงสุด HDR + เฟรมเรตแบบ Ultra (40 FPS) ซึ่งการเล่นจริง ๆ สามารถเกาะเฟรมเรตนิ่ง ๆ ที่ประมาณ 38 – 40FPS ส่วนถ้าใครอยากเล่นแบบลื่น ๆ 60Hz จะรองรับที่กราฟิกระดับ Smooth + เฟรมเรตแบบ Extreme ซึ่งตลอดการเล่นทั้งแมตช์สามารถเกาะเฟรมเรต 58 – 60FPS ได้นิ่ง ๆ เลย
และถ้าใครอยากเล่นด้วยกราฟิกเต็มประสิทธิภาพกว่า realme 12 Pro+ 5G สามารถดันกราฟิกได้สูงสุดถึง Ultra HDR + เฟรมเรตแบบ Ultra (40 FPS) แต่ถ้าอยากเล่นได้ลื่น ๆ ก็สามารถเปิดกราฟิกแบบ HDR + เฟรมเรตแบบ Extreme ที่สามารถเล่นได้ที่ค่าเฟรมเรต 58 – 60FPS นิ่ง ๆ ตลอดทั้งแมตช์
ROV
สำหรับเกม ROV ทั้งสองรุ่นสามารถเล่นได้ที่เฟรมเรตนิ่ง ๆ 60 – 59FPS บนโหมดกราฟิก Ultra + Medium+ (รองรับสูงสุดแค่นี้ )ไม่ว่าจะซัดกัน เอฟเฟกต์เยอะแค่ไหนก็เอาอยู่สบาย ๆ ไม่มีปัญหาในระหว่างการเล่นแต่อย่างใด
ระบบเป็นอย่างไร Bloatware เยอะมั้ย?
realme 12+ และ realme 12 Pro+ 5G ติดตั้งมากับ realme UI 5.0 บนพื้นฐาน Android 14 เวอร์ชั่นล่าสุด ซึ่งหน้าตา ฟังก์ชั่น และฟีเจอร์ต่าง ๆ เรียกได้ว่าถอดแบบมาจากรอมของแบรนด์แม่อย่าง OPPO ColorOS 14 เลย Bloaware ที่มีส่วนใหญ่จึงจะมาในรูปแบบโฆษณาแอปต่าง ๆ บนหน้าจอ ที่เมื่อกดแล้วก็จะดาวน์โหลดแอปที่เราไม่ต้องการให้เอง ซึ่งจุดนี้ยังสามารถปิดได้อยู่
แต่อย่างไรก็ตาม ทั้งสองรุ่นมากับแอปที่มีชื่อว่า Fineasy ที่ติดตั้งมาพร้อมกับตัวเครื่องทั้งสองรุ่นตั้งแต่แกะกล่อง ไม่สามารถถอนการติดตั้งออกจากตัวเครื่องได้ ซึ่งในอนาคตไม่รู้ว่าจะมีการอัปเดตให้สามารถถอนการติดตั้งแอปนี้ด้วยรึเปล่า
แบตเตอรี่อึดมั้ย ?
ทั้ง realme 12+ และ realme 12 Pro+ 5G มาพร้อมกับแบตเตอรี่ขนาด 5,000 mAh รองรับชาร์จไวผ่านสาย USB-C ที่ 67W เท่ากัน โดยทางแบรนด์เคลมว่าสามารถชาร์จจาก 0-50% ในเวลาเพียง 19 นาทีเท่านั้น แต่ด้วยชิปประมวลผลที่ใช้คนละตัวจึงมีผลต่อการจัดการพลังงาน ซึ่งในระยะเวลาสแตนด์บายใกล้ ๆ กันประมาณ 21 ชั่วโมง ได้ผลออกมาดังนี้
แบตเตอรี่ realme 12+ 5G
จากที่ทดลองใช้งานหนัก ๆ ทั้งเล่นเกม Genshin Impact, PUBG Mobile และ ROV ดู YouTube 4K HDR@60FPS เปิดแสงจอไว้แบบ Auto Brightness ระหว่างวันก็หยิบมาทดสอบ 3D Mark และ Geekbench รวมถึงอัดคลิปวิดีโอ 4K@30FPS ความยาวติดต่อกัน 1.30 ชั่วโมง ในระยะ Screen-On 5 ชั่วโมง 9 นาที แบตเตอรี่เหลือที่ 13%
แบตเตอรี่ realme 12 Pro+ 5G
สำหรับ realme Pro+ 5G กผ่านการทดสอบคล้าย ๆ กันทั้งเล่นเกม Genshin Impact, PUBG Mobile และ ROV ดู YouTube ที่ความละเอียด 4K HDR@60FPS และทำการทดสอบทั้ง 3D Mark และ Geekbench 6 รวมถึงอัดคลิปวิดีโอ 4K@30FPS ความยาวติดต่อกัน 1.30 ชั่วโมง ในระยะ Screen-On 4 ชั่วโมง 36 นาที แบตเตอรี่เหลือที่ 11%
สรุปการใช้งาน realme 12+ และ realme 12 Pro+ 5G
realme 12+ และ realme 12 Pro+ 5G มากับราคาที่ต่างกันราว ๆ 4,000 บาท กับสเปคกล้องที่ต่างกันพอสมควร ซึ่งถ้าใครที่เน้นรับชมคอนเทนต์ผ่านมือถือ อยากได้จอสวย ๆ ดูคอนเทนต์ HDR บน YouTube ได้ รวมถึงไม่ค่อยได้ใช้กล้องถ่ายภาพ และไม่อยากได้จอโค้ง รุ่นเริ่มต้นอย่าง realme 12+ 5G น่าจะเป็นรุ่นที่ตอบโจทย์ ในราคาที่ไม่สูงมาก
ส่วนใครที่อยากได้มือถือกล้องจัดเต็มในราคาเอื้อมถึงได้ realme 12 Pro+ 5G ถือว่าเป็นรุ่นที่ครบครันมาก ๆ เพราะได้ทั้งกล้องซูม Periscope 3x ซึ่งระยะไกลกว่าหลาย ๆ รุ่นที่อยู่ในช่วงราคานี้ แถมยังได้กล้องหลักเซนเซอร์เรือธง IMX890 มาใช้งาน แถมยังได้ดีไซน์ และสัมผัสของตัวเครื่องที่ดูดี พรีเมียมกว่าด้วย
เรื่องที่ต้องพิจารณาหลัก ๆ แล้วน่าจะอยู่ที่ตัวซอฟต์แวร์ที่มี Bloatware อย่าง Fineasy ที่ไม่สามารถลบออกไปจากตัวเครื่องได้ แถมตัวซอฟต์แวร์กล้องที่ไม่สามารถปรับค่าความเบลอได้หลังถ่ายภาพ ซึ่งในอนาคตหากสามารถปรับแก้จุดเหล่านี้ได้ realme 12+ และ realme 12 Pro+ 5G ก็จะกลายเป็นรุ่นที่น่าสนใจมาก ๆ ในช่วงต้นปี 2024
ราคา และการวางจำหน่าย
realme 12+ และ realme 12 Pro+ 5G เริ่มเปิดให้สั่งจองแล้วตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป และจะพร้อมวางจำหน่ายจริงตั้งแต่วันที่ 29 มีนาคม 2567 ซึ่งสีตัวเครื่อง รุ่นความจุที่วางจำหน่าย และราคามีดังนี้
ราคาไทย realme 12 Pro+ 5G
- 8GB + 256GB ราคา 13,999 บาท
- 12GB + 512GB ราคา 16,999 บาท
- สีที่วางจำหน่าย: สีน้ำเงิน Submarine Blue และ สีครีม Navigator Beige
ราคาไทย realme 12+ 5G
- 8GB + 256GB ราคา 9,999 บาท
- -สีที่วางจำหน่าย: สีครีม Navigator Beige และสีเขียว Pioneer Green
จัดมาแล้วครับ 12+ 5G