Redmi Note 12 Pro 5G และ Redmi Note 12 Pro+ 5G มือถือ 2 ท็อปในช่วงราคาระดับกลางที่หลาย ๆ คนรอคอยก็ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการแล้วที่ประเทศไทยแล้ว ซึ่งทั้งสองรุ่นก็มาพร้อมกับราคาที่เรียกได้ว่าดุเดือดตีคู่มากับคู่แข่งแบบสุด ๆ ถึงกับให้ทำหลายคนไขว้เขวกันเลยทีเดียว และวันนี้เราก็ได้ตัวเครื่องมาอยู่ในมือแล้วทั้งสองรุ่น เรามาดูกันดีกว่าว่าการใช้งานจะสมแก่การรอคอยรึเปล่า
ดีไซน์แตกต่างอย่างลงตัว
ทั้งสองรุ่นถึงแม้จะอยู่ในซีรีส์ Pro เหมือนกัน แต่ต้องบอกไว้ก่อนว่าดีไซน์ของตัวเครื่องนั้นไม่เหมือนกันสักทีเดียว เพราะในรุ่นมารฐานอย่าง Redmi Note 12 Pro 5G มาดีไซน์แบบแบนราบ ทั้งด้านหน้า ด้านหลัง รวมถึงขอบเฟรมที่มีความเป็นเหลี่ยมอย่างเห็นได้ชัด ดูร่วมสมัยและกลมกลืนไปกับดีไซน์มือถือยอดนิยมของยุคนี้
Redmi Note 12 Pro 5G
ด้านฝาหลังของ Redmi Note 12 Pro 5G จะใช้วัสดุเป็นกระจกแบบด้าน แต่ในความด้านนี้ก็ยังเล่นกับแสงเป็นมิติสวยงาม พื้นผิวให้ความรู้สึกที่ดีเมื่อจับถือ แถมยังช่วยพรางลายนิ้วมือได้ค่อนข้างดี นอกจากนี้ตัวเครื่องยังเบาบางพกพาสะดวกด้วย และที่ประทับใจอีกอย่างหนึ่งคือขอบจอแสดงผลที่ค่อนข้างบาง คางไม่หนาจนเกินไป
Redmi Note 12 Pro+ 5G
ในฟากของ Redmi Note 12 Pro+ 5G รุ่นท็อปสุดของซีรีส์มาในดีไซน์กระจกหลังโค้งเงางาม (พื้นผิวกระจกในแต่ละสีแตกต่างกัน) จับถนัดมือ ดู ๆ แล้วแอบคล้ายรุ่นเรือธงอย่าง Xiaomi 13 Series อยู่เหมือนกัน ส่วนขอบเฟรมตัวเครื่องจะมาในรูปทรงเหลี่ยมคล้ายกัน แต่จะหนาและหนักกว่ารุ่น Pro เล็กน้อย ถ้าใครเป็นคนมือเหงื่อออกเยอะ หากเลือกรุ่นที่ใช้กระจกแบบเงารับรองว่าติดลายนิ้วมือกระจาย แต่ไม่ต้องเป็นห่วงเพราะภายในกล่องเขามีเคสใสมาให้พร้อมแล้ว
หากจะหาจุดรวมที่ 2 รุ่นนี้มีคล้ายกัน จุดนั้นก็คือกล้องหลังที่มาในดีไซน์ฐานโมดูลแบบสี่เหลี่ยม มีส่วนของเลนส์กล้องที่ยื่นออกมานอกฐานอีกที แต่ทั้งสองรุ่นจะใช้วัสดุที่ไม่เหมือนกัน รุ่น Pro จะใช้กระจกพร้อมวงแหวนเลนส์แบบเงางาม ส่วนรุ่น Pro+ จะใช้วัสดุโลหะขัดด้านเสริมความพรีเมียมไปอีก 1 ขั้น
จอ Flow AMOLED ลำโพงคู่ Dolby Atmos ลงตัวทุกคอนเทนต์
ทั้งสองรุ่นถึงแม้ว่าจะมาในดีไซน์ที่ต่างกัน แต่จอแสดงผลเรียกได้ว่าถอดแบบกันมาเห็น ๆ เพราะ 2 รุ่นนี้ใช้พาเนล Flow AMOLED ขนาด 6.67 นิ้ว ความละเอียด Full HD+ ลื่นไหล 120Hz สว่างสูงสุด 900nits สู้แสงแดดจัด ๆ ตอนบ่าย 3 ได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ทั้งสองรุ่นยังรองรับ HDR10+ และ Dolby Vision ได้อีกด้วย
ซึ่งจากการทดลองดูคลิป HDR 4K@60FPS บน YouTube บอกได้เลยว่าแทบไม่ต่างกันเลยจริง ๆ เพราะสีสัน ความสว่าง ความคมชัดต่าง ๆ เหมือนกันแบบ 100% ดังนั้นไม่ว่าจะรุ่นถูกรุ่นแพงจอแสดงผลก็จัดเต็มทั้งคู่ ดูคอนเทนต์ได้แบบฟิน ๆ ไม่มีใครยอมใครเลยทีเดียว
Redmi Note 12 Pro 5G และ Redmi Note 12 Pro+ 5G ให้ลำโพงคู่สเตอริโอเสียงดี และที่พิเศษสุด ๆ คือทั้งสองรุ่นนี้รองรับ Dolby Atmos ระบบเสียงรอบทิศทางผ่านลำโพงตัวเครื่องโดยตรง ไม่ต้องต่อหูฟังก็ใช้ได้ นอกจากนี้ยังรองรับ Hi-Res Audio ทั้งผ่านสายหูฟัง และไร้สายด้วย ใครที่ชอบฟังเพลง ดูคอนเทนต์ต่าง ๆ บนมือถือจะต้องชอบแน่นอน
มีโหมด Dolby Atmos ให้เลือกเปิด
ส่วนคาแรกเตอร์เสียงของลำโพงทั้ง 2 รุ่นจะไม่เหมือนกันสักทีเดียว ลำโพงของ Redmi Note 12 Pro 5G เวทีเสียงจะค่อนข้างกว้าง เสียงจะออกไปในโทนใส ย่านแหลมเด่นฟุ้ง รายละเอียดเสียงร้องเครื่องดนตรีชัดเจน ส่วนรุ่นท็อป Redmi Note 12 Pro+ 5G เสียงจะค่อนข้างทุ้ม เบสแน่นกว่า และเสียงดังกว่าด้วย และทั้งสองรุ่นเมื่อเปิดโหมด Dolby Atmos แล้วเรียกได้ว่ายกระดับคุณภาพเสียงไปอีกขั้น รายละเอียดเสียงมีมิติมากขึ้น ถือว่าทำได้ดีเลยทีเดียว
กล้องถ่ายรูปพลัง AI ดีแค่ไหน?
Redmi Note 12 Pro 5G
กล้องหลัง
ภาพจากกล้องหลัก 50MP
Redmi Note 12 Pro 5G มาพร้อมกล้องหลักความละเอียดมาตรฐาน 50 ล้านพิกเซลมีกันสั่น OIS มาให้ + กล้อง Ultrawide มุมกว้าง 8MP + กล้อง Macro 2MP มาพร้อมโหมด AI เข้ามาช่วยปรับแสงภาพให้เข้ากับฉากที่เรากำลังถ่าย จากที่ได้ลองถือไปถ่ายเล่นดู ภาพรวมแล้วสีสันออกไปในทางตุ่น ๆ ภาพออกมาในโทนอมเขียว ไม่ค่อยสดใสเท่าไหร่ อาจจะต้องใช้แอปช่วยแต่งเพิ่มเล็กน้อย
ภาพจากโหมด Portrait
ภาพจากกล้อง UltraWide
ภาพจากกล้อง Macro
ส่วนโหมด AI ที่เข้ามาช่วยเรื่องการปรับภาพ ทำได้ดีในระดับหนึ่ง ฉากจำพวกอาหาร ดอกไม้ ภาพตึกสถาปัตยกรรมต่าง ๆ ถือว่าทำได้ค่อนข้างดี ปรับโทนได้เหมาะภาพชนิดนั้น ๆ จริง แต่พวกฉากธรรมชาติ ถ่ายป่า ถ่ายต้นไม้ สีค่อนข้างเขียวสดแบบโอเวอร์ อาจจะไม่ค่อยเป็นธรรมชาติสักเท่าไหร่
ภาพถ่ายในที่แสงน้อย
ส่วนภาพถ่ายในที่แสงน้อยก็ทำได้ดีทั้งในโหมดกล้องธรรมดา และโหมดกล้องกลางคืนสามารถดึงแสงออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม หากใช้โหมดกลางคืนในการถ่ายก็จะช่วยลดความฟุ้ง เพิ่มดีเทลให้ดีขึ้น ด้านโหมด Portrait ก็ทำได้ค่อนข้างดี ตัดขอบเบลอหลังได้เนียนตาพอสมควร นอกจากนี้ยังมีโหมด Ultra HD ถ่ายภาพเต็มความละเอียด 50MP มาให้ใช้ด้วย
ภาพจากโหมด 50MP
กล้องหน้า
ข้อสังเกตของรุ่นนี้อยู่ที่กล้องหน้าความละเอียด 16MP ที่อาจจะไม่ค่อยถูกใจขาเซลฟี่สักเท่าไหร่ เพราะส่วนตัวคิดว่าสีสันและรายละเอียดต่าง ๆ น่าจะทำได้ดีกว่านี้ ยิ่งในสภาพแสงน้อย Noise จะค่อนข้างเยอะ ส่วนโหมดกลางคืนก็ช่วยได้ในระดับหนึ่งแต่ภาพจะออกมาฟุ้ง ๆ เก็บรายละเอียดได้น้อย ส่วนโหมดบิวตี้เลือกปรับได้ 3 อย่าง ปรับความเนียนของผิว ปรับให้หน้าเล็กลง และปรับขนาดตาให้โตขึ้นเท่านั้น นอกจากนี้ยังมีโหมด Portrait กล้องหน้ามาให้ด้วย
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องหน้า
งานวิดีโอ
Redmi Note 12 Pro 5G สามารถถ่ายวิดีโอจากกล้องหลังได้สูงสุด 4K@30FPS ซึ่งจากที่ได้ลองถ่ายดูพบว่าค่อนข้างสั่นเมื่อเดินลงเท้า เช่นเดียวกับโหมด 1080p@60FPS ที่สั่นจนชวนปวดหัว โดยกันสั่นจะทำงานแค่เฉพาะในโหมด 1080p@30FPS ซึ่งพอใช้งานถ่ายในโหมดนี้แล้ว เรียกได้ว่าดีขึ้นกว่าเดิมเยอะมาก แต่หากเดินลงเท้าแรง ๆ หรือมีการสั่นไหวมาก ๆ วิดีโอก็มีอาการย้วยจากระบบกันสั่นเหมือนกัน
Redmi Note 12 Pro+ 5G
กล้องหลัง
ภาพจากกล้องหลัก 200MP
ในรุ่น Pro+ มีความพิเศษอยู่ที่กล้องหลักที่ความละเอียดสูง 200MP ที่เมื่อทำงานร่วมกับระบบ Pixel Bining ทำให้ภาพเก็บรายละเอียดแสงได้ดีกว่า แต่ทั้งนี้ก็ยังรู้สึกว่าคาแรคเตอร์สีต่าง ๆ ยังคงไม่ต่างจากรุ่น Pro มาก เพราะโทนสีภาพออกมาค่อนข้างตุ่น ๆ ไม่ค่อยสดใสเช่นกัน ส่วนพลัง AI ก็เจอปัญหาเรื่องปรับสีสดเกินในฉากธรรมชาติเช่นกัน ส่วนกล้องรองทั้ง 2 ตัวยังคงเป็นเซนเซอร์เดียวกัน คุณภาพไม่ต่างกันมาก
ภาพจากกล้อง UltraWide
ภาพจากกล้อง Macro
ภาพจากโหมด Portrait
แต่ส่วนที่ต้องชื่นชมในรุ่นนี้คือเรื่องของการโฟกัสละลายหลังที่ทำได้ดูดีมาก ๆ เพียงแค่จ่อกล้องไปใกล้ ๆ วัตถุที่ต้องการจะถ่าย เมื่อระบบทำการโฟกัสที่วัตถุก็จะได้ภาพหน้าชัดหลังเบลอที่มีเอฟเฟกต์แสงแบบโบเก้สวย ๆ ทันที ไม่ต้องแต่งหรือใช้โหมด Portrait เพิ่มเติมใด ๆ เลย ส่วนภาพถ่ายกลางคืนก็ทำได้ดีกว่าเช่นกัน ดีเทลต่าง ๆ คมชัดสวยงามมาก
ภาพถ่ายในที่แสงน้อย
อีกหนึ่งประโยชน์ของกล้องหลักเซนเซอร์ความละเอียดสูง 200MP คือเรื่องของภาพถ่ายขนาดใหญ่ ที่เมื่อถ่ายออกมาแล้วสามารถซูมได้เยอะมาก ๆ โดยที่ภาพไม่แตกเลย
ภาพจากโหมด 200MP
กล้องหน้า
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องหน้า
เนื่องจากกล้องหน้าของรุ่นนี้ใช้เซนเซอร์ความละเอียด 16MP ตัวเดียวกับที่ใช้ในรุ่น Pro ทำให้คาแรคเตอร์ของภาพออกมาในโทนเดียวกัน ซึ่งส่วนตัวมองว่ายังทำได้ไม่ค่อยสุดสักเท่าไหร่ ใครที่เป็นสายเซลฟี่อาจจะต้องนำรูปไปแต่งเพิ่มเติมในแอปอื่นเล็กน้อย เพื่อให้ได้ภาพที่คุณภาพดีตรงใจเรา
งานวิดีโอ
Redmi Note 12 Pro+ 5G สามารถถ่ายวิดีโอจากกล้องหลังได้สูงสุด 4K@30FPS เท่ากันกับในรุ่นโปร และโหมดกันสั่นจะทำงานเฉพาะในความละเอียด 1080p@30FPS เท่านั้น ซึ่งเท่าที่ได้ทดสอบลองถ่าย ก็เจอข้อสังเกตเหมือนในรุ่น Pro เช่นกัน งานวิดีโอที่ความละเอียด 4K@60FPS และ 1080p@60FPS ค่อนข้างสั่นจนเวียนหัว แต่ไม่ถึงกับสั่นเยอะเท่ารุ่น Pro ส่วนโหมด 1080p@60FPS ก็เจอข้อสังเกตในเรื่องของภาพกันสั่นย้วยเมื่อเดินลงเท้าด้วย
ประสิทธิภาพชิป แจ่มไหม?
ด้วยความที่ Redmi Note 12 Pro 5G และ Redmi Note 12 Pro+ 5G มาพร้อมชิป Dimensity 1080 ตัวเดียวกัน สเปคหน่วยความเท่ากันที่ 8GB + 256GB ผลคะแนนทดสอบประสิทธิภาพของทั้งสองรุ่นก็ออกมาแทบไม่ต่างกัน ทั้ง 2 รุ่นสามารถเล่นเกมฟอร์มยักษ์กราฟิกเทพได้ครบแทบทุกเกม แต่ทั้งนี้ต้องปรับกราฟิกให้เหมาะสมกับการเล่น ตัวระบบ MIUI ยังมีโหมด Game Turbo ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพเกมให้เล่นได้ดีขึ้นด้วย โดยเกมที่เรามาลองทดสอบกันมี 3 เกมดังนี้
Genshin Impact
จากการทดลองเล่นด้วยโหมดการตั้งค่ากราฟิกที่ตัวเกมแนะนำ (Low Setting) พร้อมตั้งค่าเฟรมเรทไว้ที่ 60FPS พบว่าตัวเกมสามารถเล่นได้อย่างลื่นไหล เฟรมเรทไม่ถึงกับเหวี่ยงมาก อยู่ที่ราว ๆ 40 – 45FPS และถ้าใครอยากสัมผัสประสบการณ์ระดับเต็มอิ่มสามารถดันกราฟิกไปได้สูงถึงโหมด Highest แต่อาจจะต้องเปิดโหมด Game Turbo เพื่อช่วยรีดประสิทธิภาพเล็กน้อย โดยเฟรมเรทจะอยู่ที่ราว ๆ 30 – 38FPS ถือว่าเล่นได้อย่างไม่หงุดหงิดเลย
PUBG Mobile
การเล่นเกมอย่าง PUBG Mobile ทั้ง Redmi Note 12 Pro 5G และ Redmi Note 12 Pro+ 5G ต่างสอบผ่านทั้งคู่ เพราะถึงแม้ว่าจะปรับเป็นโหมดกราฟิกระดับ HDR สูงสุดที่ทั้งสองรุ่นจะรองรับ และปรับโหมดรีเฟรชเรทเป็น Ultra ตัวเกมก็สามารถรันและเล่นได้อย่างสบาย ๆ ที่เฟรมเรท 38 – 45FPS ถึงแม้จะสู้ศึกหนักยิงศัตรู หันมุมกล้องแบบรัว ๆ แต่ก็ไม่มีปัญหาเรื่องเฟรมเรทร่วง หรือแสดงอาการกระตุกให้ชวนเวียนหัวเลย
ROV
สำหรับเกมมือถือระดับตำนานอย่าง ROV บอกได้เลยว่าทั้งสองรุ่นทำได้ดีแบบหายห่วง เพราะจากที่ได้ลองปรับกราฟิกสูงสุดแทบจะทุกอย่าง บอกได้เลยว่าเฟรมเรทนั้นอยู่นิ่ง ๆ ที่ 60FPS แทบไม่ร่วงไปไหนเลย เล่นได้มันส์ติดมือ เรื่องความร้อนบอกเลยว่าหายห่วง เพราะจากที่ได้เล่น 1 แมตช์เต็ม ๆ ตัวเครื่องแค่อุ่น ๆ เท่านั้น ไม่ถึงกับว่าร้อนจี๋ลวกมือ
แบตเตอรี่
Redmi Note 12 Pro 5G และ Redmi Note 12 Pro+ 5G มาพร้อมแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ 5,000 mAh เท่ากัน แตกต่างกันที่ระบบชารที่ในรุ่น Pro จะรองรับชาร์จไวเพียงแค่ 67W ส่วนในรุ่น Pro+ จะรองรับถึง 120W ส่วนความอึดนั้น ขึ้นอยู่กับการใช้งานของแต่ละบุคคล ซึ่งจากที่เราได้ใส่ซิมการ์ด เชื่อมต่อ Wi-Fi ทดลองใช้งาน ผลลัพธ์ออกมาดังนี้
Redmi Note 12 Pro 5G
หลังจากชาร์จแบตเตอรี่ได้ประมาณ 80 – 90% ก็ได้นำมือถือออกไปลองถ่ายรูปตลอดทั้งวัน พร้อมทดสอบเกมต่าง ๆ เล็กน้อย ตั้งแต่ประมาณเที่ยง – 2 ทุ่ม พบว่าแบตเตอรี่เหลืออยู่ประมาณ 67% หลังจากนั้นก็ได้ทดสอบเปิดแสงจอแบบ Auto Brightness พร้อมเปิดเสียงลำโพงไว้ที่ประมาณ 50% เปิดคลิป YouTube ความละเอียด 4K@60FPS HDR ไว้ประมาณ 2 ชั่วโมง พบว่าแบตเตอรี่เหลืออยู่ที่ประมาณ 45% จากนั้นก็ปล่อยสแตนด์บายยาวจนถึงบ่าย 2 ของวันที่ 2 สรุปแล้วแบตเตอรี่เหลืออยู่ที่ประมาณ 32% ในระยะเวลาสแตนด์บายเกิน 24 ชั่วโมง
Redmi Note 12 Pro+ 5G
ในระยะเวลาสแตนด์บายเกิน 24 ชั่วโมงหลังชาร์จแบตเตอรี่เต็ม 100% เราได้นำตัวเครื่องไปทดสอบถ่ายรูปต่าง ๆ และก็ได้ทดสอบเปิดแสงจอแบบ Auto Brightness พร้อมเปิดเสียงลำโพงไว้ที่ประมาณ 50% เปิดคลิป YouTube ความละเอียด 4K@60FPS HDR ไว้ประมาณ 1 ชั่วโมงนิด ๆ ตลอดการใช้งานช่วงบ่าย 2 โมง – 5 ทุ่ม พบว่าแบตเตอรี่ลดลงเหลือ 55%
หลังจากนั้นก็ได้ลองทดสอบเล่นเกม Genshin Impact ไปประมาณ 20 นาที แบตเตอรี่ลดลงเหลือ 44% หลังจากนั้นก็ปล่อยสแตนบายยาว ๆ จนถึงวังรุ่นขึ้น ในระหว่างวันที่ 2 ก็ได้นำมาถ่ายรูปนิดหน่อย จนเหลือแบตเตอรี่ 27% ในระยะเวลาสแตนด์บายราว ๆ 26 ชั่วโมง
สรุปการใช้งาน
ข้อดี
- จอ Flow AMOLED คุณภาพดี สีสวย สว่าง
- ลำโพงคู่คุณภาพเสียงดีทั้งสองรุ่น มีมิติ มีเบส รองรับ Dolby Atmos
- รองรับการดูคอนเทนต์ HDR
- กล้องหลังถ่ายวิดีโอ 4K ได้
- รุ่น Pro+ ความละเอียดสูง 200MP ภาพซูมไม่แตก
- เล่นเกมได้แบบครบ ๆ ทั้งเกมเล็ก เกมใหญ่
- ภายในกล่องอุปกรณ์ครบ มีทั้งเคส และหัวชาร์จไว
- ราคาอยู่ในเกณฑ์ดี
- ทนน้ำทนฝุ่น IP53
- เครื่องบาง พกพาสะดวก
ข้อสังเกต
- กล้องหน้า และกล้องหลังยังไม่สุด อาจต้องแต่งเพิ่ม
- กล้องระบบ AI ปรับสีค่อนข้างเวอร์ โดยเฉพาะฉากธรรมชาติ
- ระบบกันสั่นในวิดีโอค่อนข้างย้วย
- ในโหมดวิดีโอความละเอียดสูง ๆ การถ่ายวิดีโอจะค่อนข้างสั่น ชวนปวดหัว
- กล้องหน้าถ่ายวิดีโอได้แค่ 1080p@60FPS
- เลนส์กล้องนูนออกมาจากตัวเครื่องเยอะ ต้องระวังเรื่องรอยขีดข่วนให้ดี
- UI ยังมีโฆษณา
- ไม่รองรับ microSD Card
Redmi Note 12 Pro 5G เหมาะกับใคร?
สำหรับคนที่ไม่ต้องการมือถือที่เก่งด้านกล้องมากมาย มีไว้ถ่ายในชีวิตประจำวันส่งให้เพื่อนดูพอขำขัน แต่เป็นผู้ใช้งานที่เน้นสายเอนเตอร์เทน ดูหนัง ฟังเพลง เล่นเกมแบบครบ ๆ รุ่นนี้ถือว่าตอบโจทย์ เพราะในราคาที่ถูกกว่ากันหลายพันบาท รุ่นนี้ได้ทั้งจอแสดงผลสเปคเดียวกัน รองรับทั้งคอนเทนต์ HDR10+ และ Dolby Vision มีลำโพงคุณภาพดีไม่แพ้รุ่นท็อป แถมยังเล่นเกมได้เทียบเท่ารุ่น Pro+ ซึ่งในราคาเริ่มต้นแค่ 9,999 บาทเรียกได้ว่าครบเครื่อง คุ้มราคาที่สุดแล้ว
Redmi Note 12 Pro+ 5G เหมาะกับใคร?
ในราคาที่เพิ่มเข้ามาประมาณ 2,000 บาท ส่วนต่างตรงนี้ก็จะได้กล้องความละเอียดสูง 200MP และระบบชาร์จไวเร็วกว่าที่ 120W และวัสดุที่ดูพรีเมียมขึ้นมาหน่อย หากต้องการใช้งานกล้องถ่ายภาพความละเอียดสูง ๆ ที่ซูมภาพแล้วไม่แตก และชอบดีไซน์ รุ่นนี้ก็ถือเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่ค่อนข้างน่าสนใจเลยทีเดียว
ราคา และสถานที่วางจำหน่าย
Redmi Note 12 Pro 5G และ Redmi Note 12 Pro+ 5G จะเปิดให้พรีออเดอร์ตั้งแต่วันที่ 29 เมษายน 2566 เป็นต้นไป และจะเปิดขายอย่างเป็นทางการในวันที่ 7 พฤษภาคม โดยมีราคาและรุ่นความจุดังนี้
Redmi Note 12 Pro 5G
- 6GB + 128G ราคา 9,999 บาท (เฉพาะที่ AIS เท่านั้น)
- 8GB + 256G ราคา 12,990 บาท
Redmi Note 12 Pro+ 5G
- 8GB + 256G ราคา 14,990 บาท
หากใครสนใจสามารถหาซื้อกันได้ที่ Xiaomi Store, Xiaomi Zone, ร้านค้าตัวแทนจำหน่ายของ Xiaomi ทั่วประเทศ และร้านค้าผู้ให้บริการเครือข่ายมือถือ รวมถึงช่องทางออนไลน์ต่าง ๆ ได้เลย
สเปกที่ได้ เทียบกับ ราคามันขี่กับ Samsung A54 ไปหน่อย
ถ้าตัวไม่ + (256GB) ลดซัก 1000 กับกั้นน้ำเป็น IP 65
แล้วด้วย + ใส่ Dimensity 8200 / ใส่กล้อง Tele + ราคาซัก 3000 / Rom 512 GB
น่าจะดีกว่านี้