กลับมาพับกบ เอ๊ย! พบกับรีวิว Samsung Galaxy Z Flip7 มือถอืจอพับเล็ก ไซซ์ตลับแป้งรุ่นล่าสุดที่เพิ่งเปิดตัวไปหมาดๆ กลับมาครั้งนี้ขอก้าวขึ้นมาเป็นหัวแถวด้วยการปรับปรุงแก้ไขในหลายๆ จุด จอนอกใหญ่เต็มตา รอยพับน้อยลง ตัวเครื่องบางกว่าเดิม พร้อมกันนั้นยังมาพร้อมกับชิปเซ็ตรุ่นใหม่ล่าสุดอย่าง Exynos 2500 ใช้งานจริงจะตอบโจทย์ขนาดไหน ไปดูกัน!

ดีไซน์พับเล็ก Galaxy Z Flip7 มองกี่ครั้งก็ไม่เบื่อ
จุดเด่นอย่างแรกของ Galaxy Z Flip7 ที่อยากพูดถึงเลยก็คือ หน้าจอด้านนอก (Cover Screen) ที่ถูกอัปเกรดขึ้นจากรุ่นก่อนหน้าอย่าง Galaxy Z Flip6 โดยขยายขนาดจาก 3.4 นิ้วในรุ่นก่อนหน้า มาเป็น จอ SuperAMOLED ขนาด 4.1 นิ้ว พร้อมรองรับรีเฟรชเรตสูงถึง 120Hz นอกจากจะให้พื้นที่การแสดงผลที่มากขึ้นแล้ว ยังทำให้การแสดงผลต่างๆ ลื่นไหล และสวยงามยิ่งขึ้นอีกด้วย เพราะขอบหน้าจอบางพอสมควรเลยครับ
และดีไซน์ฝาหลังของ Galaxy Z Flip7 ก็ยังคงมีการแบ่งพื้นที่ไว้แบบชัดเจน โดยส่วนล่างจะเป็นฝาหลังที่เราสามารถเห็นสีสันของตัวเครื่องได้แบบชัดเจน ส่วนด้านบนยังคงจัดวางชุดกล้องหลังคู่ในแนวนอน กับไฟแฟลชในตำแหน่งเดิม










สำหรับสีที่อยู่ในมือของเราตอนนี้คือสีแดง Coral Red เป็นสีใหม่ประจำซีรีส์ที่โดดเด่นพอสมควรสำหรับ Galaxy Z Flip7 เหมาะมากๆ สำหรับคนที่ต้องการมือถือไลฟ์สไตล์สักหนึ่งเครื่องไว้ใช้งาน โดยฝาหลังตัวเครื่องเป็นผิวสัมผัสแบบด้าน ไม่ติดรอยนิ้วมือหรือเลอะง่ายเหมือนกับ Z Fold7 ครอบทับด้วยใช้ Corning Gorilla Glass Victus 2 ที่ป้องกันรอยขีดข่วนและแรงกระแทกได้เป็นอย่างดี
อีกหนึ่งจุดที่น่าชื่นชมใน Galaxy Z Flip7 คือการปรับปรุงโครงสร้างของบานพับ FlexHinge ให้บางลงเพื่อทำให้ รอยพับของหน้าจอน้อยลงแบบเห็นได้ชัด ถ้าไม่จ้องหรือหามุมที่สะท้อนแสงจริงๆ ก็แทบจะมองไม่เห็นเลยครับว่ามีรอยพับอยู่ และนอกจากนั้นแล้วการปรับปรุงบานพับยังส่งผลให้ตัวเครื่องโดยรวมบางลงกว่าเดิมอีก ช่วยให้พกพาง่ายและดูพรีเมียมยิ่งขึ้น (บางแค่ 7 มม.)


จอนอกใหญ่เต็มตา จอในสวยเหมือนเดิม
อย่างที่เกริ่นไปก่อนหน้านี้ว่า Galaxy Z Flip7 มาพร้อม ดีไซน์ใหม่แบบจัดเต็มครั้งใหญ่ในรอบ 2 ปี โดยเฉพาะการ ขยายหน้าจอด้านนอก (Cover Screen) ให้ใหญ่ขึ้นจากเดิม 3.4 นิ้ว ไปเป็น 4.1 นิ้ว แบบ SuperAMOLED ที่รองรับ รีเฟรชเรท 120Hz โดยการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ทำให้เราสามารถใช้ประโยชน์จากพื้นที่ที่เต็มตากว่าเดิมได้เยอะขึ้น เช่น การโทรเข้า-ออก, ปรับแต่งหน้า Widget, ใช้งานแอปพลิเคชัน และใช้เป็นจอโชว์พรีวิวในการถ่ายเซลฟี่ด้วยกล้องหลัง

หนึ่งในข้อดีที่เป็นผลมาจากหน้าจอด้านนอกในขนาดที่ใหญ่พอกำลังดี ทำให้เวลาใช้งาน Cover Screen เราจะรู้สึกเหมือนกำลังใช้มือถือไซซ์กะทัดรัด (Compact Phone) อยู่เลยครับ ลดโอกาสหรือความจำเป็นที่จะต้องกางหน้าจอบ่อยๆ ก็สามารถจัดการหลายอย่างได้สบายๆ
การเซลฟี่รูปและวิดีโอด้วยกล้องหลังผ่านหน้าจอด้านนอกก็ถูก ออกแบบ UI ใหม่โดยเฉพาะ โดยมีทั้งเอฟเฟกต์บริเวณวงแหวนรอบกล้องตอนเปลี่ยนโหมด และ Interface ตอนนับถอยหลังเวลาเซลฟี่ แต่ในกรณีของการถ่ายวิดีโอหน้าจอจะยังมีการเว้น ขอบสีดำบริเวณซ้าย-ขวาของหน้าจอ อยู่ ไม่ได้มีการแสดงผลเต็มหน้าจอเหมือนตอนถ่ายรูปนิ่ง




นอกเหนือจากใช้งานเป็นจอพรีวิวสำหรับการถ่ายรูป Galaxy Z Flip7 ก็ยังคงรองรับการเล่นแอปพลิเคชันบนหน้าจอด้านนอก โดยจะมีแอปพลิเคชันที่นักพัฒนาปรับแต่งมาให้เหมาะกับการใช้งานบนจอนอก เช่น YouTube, Maps หรือ Netflix แต่หลังจากทดลองใช้งานมาก็ยังมีข้อจำกัดบางอย่างอยู่ครับ เช่น แอปยังไม่สามารถแสดงผลเต็มจอได้ทั้งหมด มีการเว้นขอบดำไว้ในระดับเดียวกับโมดูลกล้อง เพื่อไม่ให้รบกวนสายตาเวลาใช้งาน

ส่วนแอปอื่นๆ ที่ยังไม่รองรับการแสดงผลผ่าน Cover Screen โดยตรง เราสามารถใช้ Good Lock พร้อมปลั๊กอิน MultiStar เพื่อบังคับให้แอปเหล่านั้นรันบนจอนอกได้ แต่จากที่ DroidSans ได้ลองใช้งานมาก็พบว่าฟีเจอร์นี้ยังไม่สามารถใช้งานได้ คาดว่าในเวอร์ชันวางจำหน่ายจริงจะถูกอัปเดตให้พร้อมใช้งานครับ






หากเทียบกับรุ่นก่อนหน้าถือว่าเป็นการมอบประสบการณ์การใช้งานแบบ เต็มตา ผ่านจอนอกที่ดีขึ้นกว่าเดิมพอสมควร เพราะนอกจากจอที่ใหญ่ขึ้นแล้ว ขนาดของตัวเครื่องก็มีการปรับให้ใกล้เคียงกับสมาร์ทโฟน Bar Type มากขึ้น (21:9) ทำให้การจับถือ หรือใส่กระเป๋ากางเกงยิ่งสะดวกเข้าไปใหญ่
หน้าจอแสดงผลด้านในเลือกใช้เป็นพาเนล Dynamic AMOLED 2X ขนาด 6.9 นิ้ว ความละเอียด FHD+ และรองรับ รีเฟรชเรท 120Hz ให้ภาพคมชัด สีสันสดใส ใช้งานกลางแจ้งได้สบายตา และยังรองรับการพับใช้งานแบบ 90 องศาบนโต๊ะเพื่อใช้แอปแบบสองจอพร้อมกัน (Multi-window) ได้อย่างลื่นไหล



กล้องหลังคู่ความละเอียด 50MP + 12MP
ชุดกล้องหลังคู่ของ Galaxy Z Flip7 ประกอบด้วย กล้องหลักความละเอียด 50MP และกล้องอัลตราไวด์ 12MP พร้อมไฟแฟลช LED
แม้ตัวเลขความละเอียดจะยังเท่าเดิมจากรุ่นก่อนหน้า แต่ด้วยพลังจากชิปเซ็ต Exynos 2500 และระบบประมวลผลภาพ Enhanced Nightography ช่วยให้คุณภาพของภาพถ่ายดีขึ้นกว่าเดิม ทั้งในแง่ ความคมชัด สีสัน และโทนของภาพ ในขณะที่ Z Flip6 จะเน้นโทนภาพธรรมชาติ ดูสุขุมผู้ใหญ่นิดๆ ปีนี้ Z Flip7 ปรับโทนมาเป็นแนวสดใส Pop ขึ้น เหมาะมากสำหรับสาย Vlog หรือคนที่ชอบถ่ายภาพลงโซเชียล
เช่น การถ่ายภาพ Portrait หรือถ่ายภาพบุคคลซอฟต์แวร์จะมีการเกลี่ยผิวเล็กน้อยให้ดูเนียนเป็นธรรมชาติ ลดนอยส์ในรูปภาพ และลดการเบลอในเฟรมให้โดยอัตโนมัติ ช่วยให้ทุกช็อตที่ถ่ายมานั้นพร้อมโพสต์โดยไม่ต้องแต่งเพิ่ม

ตัวอย่างภาพจากกล้องหลัก Galaxy Z Flip7















ตัวอย่างภาพจากกล้องอัลตราไวด์ Galaxy Z Flip7




เซลฟี่ด้วยกล้องหน้าได้ง่ายๆ กับฟีเจอร์ Auto Framing

อีกหนึ่งในจุดขายตลอดกาลของซีรีส์ Flip อย่าง Flex Camera Mode ก็ยังคงอยู่ และถูกปรับปรุงให้ใช้งานได้สนุกกว่าเดิม โดยเราสามารถพับเครื่องแล้ววางตั้งบนโต๊ะเพื่อใช้กล้องหลังมาถ่ายเซลฟี่ได้ทันที โดยดูพรีวิวจากหน้าจอด้านนอก สามารถถ่ายได้ทั้งภาพนิ่ง และวิดีโอ เลือกปรับอัตราส่วนภาพ การนับเวลาถอยหลัง และเลือกระยะซูม



ตัวอย่างภาพถ่ายเซลฟี่จากกล้องหลังของ Galaxy Z Flip7






อีกหนึ่งฟีเจอร์ตัวช่วยที่ทำให้การถ่ายรูปง่ายขึ้นอย่าง Auto Framing ก็เหมาะมากกับการใช้ถ่ายเซลฟี่แบบกลุ่ม โดยไม่ต้องขยับมือถือไปมาให้ยุ่งวุ่นวาย เพราะตัวกล้องจะซูมเข้า-ออกอัตโนมัติ ตามจำนวนคนที่อยู่ในเฟรม พร้อมกับ Tracking ใบหน้าให้ตลอด เหมือนมีช่างภาพส่วนตัวคอยจัดองค์ประกอบให้เลยครับ และถ้าไม่อยากเอื้อมือไปแตะหน้าจอเอง ก็แค่ยกฝ่ามือขึ้นมาเพื่อใช้ฟีเจอร์ Palm Selfie สั่งถ่ายได้ทันที สะดวกสุดๆ


และใครที่ชอบถ่ายรูปให้แฟน หรือถ่ายให้เพื่อนเชื่อว่าจะต้องถูกใจกับอีกหนึ่งความสามารถของ Z Flip7 ก็คือการ แสดงพรีวิวภาพแบบเรียลไทม์บนหน้าจอด้านนอก (Cover Display) ให้ตัวแบบได้เห็นเลยว่ากำลังจะได้รูปหน้าตาแบบไหน ไม่ต้องเดามุม ไม่ต้องถ่ายแล้วมาคัดทีหลัง เพราะแค่ดูจากจอแล้วตกลงกันตั้งแต่ต้น ก็ถ่ายได้ตรงใจตั้งแต่แชะแรก


ชิปเซ็ตตัวใหม่ Exynos 2500 เล่นเกมเป็นยังไงบ้าง
ขยับมาดูเรื่องขุมพลังกันบ้างครับ สำหรับ Galaxy Z Flip7 ถือเป็นครั้งแรกที่ Samsung เลือกใช้ชิปเซ็ต Exynos 2500 ซึ่งเพิ่งเปิดตัวไปไม่นานนี้ โดยชิปตัวนี้ไม่ได้มีดีแค่ความแรงอย่างเดียว แต่ยัง จัดการพลังงานได้ดีขึ้น ระบายความร้อนได้ฉลาดขึ้น และที่สำคัญคือรองรับการประมวลผลกราฟิกและ AI ที่ลื่นไหลกว่าเดิม เหมาะกับในยุคปัจจุบันมากที่มือถือไม่ใช่แค่ใช้แชทหรือถ่ายรูป แต่ต้องทำได้หลายอย่างพร้อมกันแบบ Real-time
และแน่นอนว่าพวกเราเลยขอหยิบ Galaxy Z Flip7 มาทดสอบเล่นเกมแบบจัดเต็ม ทั้ง PUBG, Genshin Impact และ RoV เพื่อดูว่า เจ้าชิป Exynos รุ่นใหม่นี้” จะเอาได้อยู่หมัดแค่ไหนบนสมาร์ทโฟนจอพับ
Garena RoV
เริ่มต้นด้วยเกมพื้นฐานยอดฮิตที่ใครๆ ก็ต้องมีติดมือถืออย่าง RoV เรานำ Galaxy Z Flip7 ไปทดสอบด้วยการปรับค่า Setting การแสดงผล HD สูงสุด และเฟรมเรทสูงสุด (60 FPS) สามารถเล่นได้แบบสบาย ลื่นไหลเฟรมเรทไม่มีร่วง วิ่งเฉลี่ยอยู่ที่ 59 – 60 FPS ถึงแม้จะเป็นช่วงของการเข้าไฟต์หนักๆ และกดใช้เอฟเฟคกันเยอะ


ในส่วนของความร้อนจากชิป Exynos 2500 เรียกได้ว่าไม่รู้สึกเลยสำหรับการเล่น RoV ถึงแม้จะเล่นลากยาวไปเป็นครึ่งชั่วโมง ทั้งบริเวณเฟรมตัวเครื่องหรือจอแสดงผลด้านนอกไม่รู้สึกถึงความร้อนเลย ถือว่าสอบผ่านสำหรับการเล่น RoV
PUBG Mobile
ต่อมาคือ PUBG Mobile น่าเสียดายครับว่าในช่วงเวลาที่เราทดสอบกันนั้นตัวเกมยังไม่ถูก Optimized มาให้สามารถปรับเฟรมเรทแบบสูงได้ โดยจะปรับได้สูงสุดอยู่แค่ที่ High หรือ 30 FPS เท่านั้น คาดว่าด้วยตัวซอฟต์แวร์ที่เราได้มาใช้งานยังไม่ใช่เวอร์ชันที่สมบูรณ์ และการเล่นด้วยเฟรมเรทที่ 30 ทำให้การเล่นตลอด 30 นาที ความร้อนจึงไม่ขึ้นสูงมาแต่อย่างใด เพราะไม่ได้มีการใช้ทรัพยากรกราฟิกสูง


ส่วนคุณภาพของการแสดงผลจะสามารถดันไปได้มากสุดถึง Ultra HDR การเล่นไม่ว่าจะเป็นการตอบสนองต่อการสัมผัส เสียงลำโพงสำหรับฟังศัตรูจากทั้งสองทิศทางซ้าย-ขวา Galaxy Z Flip7 สามารถเสริมประบการณ์ในการเล่นได้เป็นอย่างดีเลยครับ
Genshin Impact
สุดท้ายคือเกมปราบเซียนอย่าง Genshin Impact ทดสอบการเล่นระยะเวลา 30 นาทีด้วย Setting กราฟิกแบบสูงสุด และเฟรมเรทปรับสุด 60 FPS เล่นได้ลื่น ต่อสู้แบบไม่มีสะดุด จังหวะเฟรมเรทดรอปหรืออาการทัชหน่วง ภาพกระตุกไม่มีให้เห็นเลยตลอดการเล่น ถึงแม้ตัวเครื่องจะมีอุณหภูมิสูงก็ตาม


แต่จุดสังเกตหนึ่งอย่างคือเรื่องของ ความร้อน ที่ไต่ระดับขึ้นมาไวมากๆ โดยอุณหภูมิสูงสุดที่เราวัดได้ขณะเล่น Genshin Impact อยู่ที่ 44-45 องศา ตัวเครื่องรู้สึกถึงความร้อนแบบชัดเจนโดยเฉพาะบริเวณหน้าจอแสดงผลด้านนอกที่มือซ้ายของเราจะพยุงตัวเครื่องเอาไว้ตอนจับถือเล่นในแนวนอน เพราะเป็นตำแหน่งของแผ่นระบายความร้อน Vapor Chamber ของ Galaxy Z Flip7 นั่นเอง


One UI 8 กับจอพับเล็กทำอะไรได้บ้าง
ระบบปฎิบัติการของ Galaxy Z Flip7 มาพร้อมกับ One UI 8 บนพื้นฐานของ Android 16 ซึ่งมีฟีเจอร์น่าสนใจใหม่ๆ เยอะอยู่พอสมควร และในแต่ละฟีเจอร์นั้นก็เป็นการ Optimized หรือออกแบบมาให้เข้ากับการใช้งานบน Galaxy Z Flip โดยเฉพาะอีกด้วย เช่นฟีเจอร์ Gemini และ Gemini Live ที่เราสามารถใช้งานผ่านหน้าจอแสดงผลด้านนอกได้ด้วย!


Multi Windows แบบใหม่ เราสามารถเปิดแอปพลิเคชันได้พร้อมกันสูงสุด 2 แอปพลิเคชัน และสามารถกดสลับหน้าต่างระหว่างแอปพลิเคชันไปมาได้ง่ายๆ ด้วยการกดเพียงหนึ่งครั้ง โดยหน้าต่างจะถูกแบ่งเป็นอัตราส่วนแบบ 90:10 เพื่อให้พื้นที่ของแอปพลิเคชันที่กำลังใช้งานโดดเด่นมากที่สุด



Galaxy AI ฟีเจอร์เดิมยังอยู่ครบ พร้อมกับฟีเจอร์ใหม่ Pet Portrait เราสามารถนำรูปของน้องหมา น้องแมวมาเปลี่ยนเป็นภาพลายเส้นสไตล์ต่างๆ ได้ตามต้องการด้วย AI แถมการประมวลผลรูปภาพยังทำออกมาได้ไวมากด้วย เป็นผลพวงมาจากชิปเซ็ต Exynos 2500 ที่มาพร้อมกับหน่วยประมวลผล AI (NPU) ที่สามารถประมวลผลได้ดีขึ้นถึง 39%



หน้าจอ Lock Screen ที่ปรับแต่งได้มากขึ้นด้วย Clock Face รูปแบบใหม่ ที่จะปรับเปลี่ยนไปตามวอลเปเปอร์ที่เราเลือกใช้ และการปรับแต่งหน้าวิดเจ็ตสำหรับจอแสดงผลด้านนอกแบบอิสระ








แบตเตอรี่ใช้งานได้นานขึ้น 4,300mAh
ถึงแม้ตัวเครื่องจะบางลง แต่ได้ความจุแบตเตอรี่เพิ่มขึ้นมาเป็น 4,300mAh จากเดิม 4,000mAh ในรุ่นก่อนหน้านี้ ชาร์จให้เต็ม 100% แล้วใช้งานแบบจัดหนักทั้งการถ่ายรูป ถ่ายวิดีโอ และการเล่นเกม ถือว่าตัวเลขถึงจะไม่ได้เพิ่มมาเยอะมากแต่ก็สามารถทำให้ Z Flip7 พับจิ๋วเครื่องนี้อยู่กับเราไปได้ตลอด 1 วันเต็มเลยครับ อ้างอิงจาก Screen Time 4 ชม. แบตเตอรี่จาก 100% ลดลงมาเหลือ 44%

จุดที่น่าเสียดายเกี่ยวกับแบตเตอรี่ของ Z Flip7 คือจุดเดียวกับที่ Z Fold7 ประสบพบเจอเหมือนกันนั่นก็คือ ความเร็วการชาร์จ เพราะในปี 2025 กับมือถือเรือธงที่เรียกว่าเป็นเรือธงก็ไม่ผิด แต่ยังได้ความเร็วการชาร์จแค่ 25W เห็นแล้วก็แอบเจ็บแปล็บในหัวใจนิดๆ ครับ ถ้ามีการปรับปรุงในรุ่นถัดไปได้ก็อาจจะเติมเต็มช่องว่างตรงนี้ไปได้อีกพอสมควร
สรุปการใช้งาน Galaxy Z Flip7


Galaxy Z Flip7 ถือเป็นจอพับรุ่นใหม่ที่ผู้เขียนมั่นใจ และสามารถพูดได้เต็มปากเลยครับว่า “ใครได้สัมผัสหรือเห็นตัวเครื่องจริง มีโอกาสถูกตกหรือตกหลุมรักสูงมากๆ” โดยเฉพาะใครที่ยังถือ Galaxy Z Flip5 หรือ Z Flip6 อยู่ในมือ เพราะการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นไม่ใช่แค่การเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ จัดหนักใส่เต็ม
ตั้งแต่ดีไซน์หน้าจอแสดงผลด้านนอก 4.1 นิ้ว แสดงผลแบบเต็มตากว่าเดิม ความบางตัวที่เครื่องที่น้อยลง และตัวเลือกสีแบบใหม่ จับถือใช้งานยังไงก็มีแต่คนให้ความสนใจ เป็นมือถือที่ไม่ตกยุค และยังเป็นได้ทั้งไอเท็มสำหรับสายแฟชั่นและคนชอบทำคอนเทนต์ ไปในตัวพร้อมกัน

โดยเฉพาะใครที่เป็นสาย Content Creator หรือชอบบันทึกโมเมนต์ดี ๆ ผ่านการถ่ายภาพและวิดีโอ บอกเลยว่า Flex Mode ของ Galaxy Z Flip7 จะมอบประสบการณ์ที่แตกต่างไปจาก Galaxy Z Fold7 แบบคนละฟีลเลยครับ ด้วยขนาดเครื่องที่พอดีมือ ใช้งานคล่อง พับตั้งถ่ายง่ายไม่ต้องง้อขาตั้ง แถมยังรองรับการใช้งานกล้องหลังคู่กับจอพรีวิวด้านนอก ทำให้ไม่ว่าจะถ่าย Vlog หรือถ่ายรูปตัวเอง ก็สะดวกและได้มุมที่สวยเป๊ะทุกช็อต
จอพับราคาประหยัด Galaxy Z Flip7 FE
หรือใครที่อยากจะลองเข้าวงการจอพับดูบ้าง ทาง Samsung เองก็ได้เปิดตัวมือถือจอพับรุ่นเริ่มต้น Galaxy Z Flip7 FE ที่มีราคาถูกและเข้าถึงได้ง่ายกว่า Z Flip7 โดยดีไซน์ที่ได้นั้นจะเป็นการถอดแบบมาจาก Galaxy Z Flip5 แบบเป๊ะๆ เลย ไม่ว่าจะเป็นหน้าจอแสดงผลด้านนอก 3.4 นิ้ว กับจอสแดงผลด้านในเมื่อกางออก 6.7 นิ้ว


ชิปเซ็ตที่เลือกใช้คือ Exynos 2400 ที่ใช้ในอดีตเรือธงอย่าง Galaxy S24 และ Galaxy S24+ มาแล้ว จับคู่กับหน่วยความจำขนาด 8GB และพื้นที่จัดเก็บข้อมูล 128GB และ 256GB แบตเตอรี่ความจุ 4,000mAh
ชุดกล้องหลังสองตัวความละเอียด 50MP และกล้องอัลตราไวด์ 12MP กล้องหน้าเซลฟี่ความละเอียด 10MP มาพร้อมกับระบบปฎิบัติการ One UI 8 บนพื้นฐาน Android 16 ตั้งแต่แกะกล่อง


ราคาและการวางจำหน่าย
Samsung Galaxy Z Flip7 เปิดตัวมาพร้อมกับดีไซน์สีสุดชิคหรือสีสไตล์มินิมอลให้เลือกมากถึง 3 สีหลัก ได้แก่ สีแดง (Coralred) สีดำ (Jet Black) สีน้ำเงิน (Blue Shadow) และสีพิเศษสำหรับการสั่งซื้อผ่าน Samsung Online Store ทั้งหมดเพิ่มเติมคือ สีเขียว (Mint Green) โดยมีราคาและตัวเลือกความจุดังนี้
- 12GB + 256GB : ราคา 40,900 บาท
- 12GB + 512GB : ราคา 45,900 บาท

ส่วนของ Galaxy Z Flip7 FE จะมีตัวเลือกสีสุดคลาสสิคให้เลือกทั้งหมด 2 สี ได้แก่ สีดำ (Black) และสีขาว (White) พร้อมตัวเลือกรุ่นความจุสองรุ่น ในราคาเริ่มต้น 32,900 บาท
- 8GB + 128GB : ราคา 32,900 บาท
- 8GB + 256GB : ราคา 35,900 บาท

Comment