หลังจาก vivo X300 Series เปิดตัวออกมา หลายคนก็หันไปโฟกัสรุ่น Pro กันแทบหมด จนรุ่นธรรมดาอย่าง vivo X300 ถูกมองข้ามไปแบบไม่ตั้งใจ ทั้งที่ปีนี้มันอัปเกรดขึ้นมาเยอะกว่าที่คิด และฟีเจอร์หลายอย่างก็ขยับขึ้นมาใกล้เคียงรุ่นพี่แบบคาดไม่ถึง ซึ่งทำให้เกิดคำถามสำคัญตามมาเหมือน ๆ กันว่า มือถือจอเล็กเครื่องนี้พอจะใช้งานจริงแบบจบได้ไหม หรือยังไงก็ต้องขยับไปเล่นรุ่น Pro อยู่ดี
เชื่อว่าหลายคนที่เข้ามาอ่านรีวิวนี้ก็คงกำลังสงสัยเหมือนกันว่ารุ่นธรรมดาจะสู้รุ่นพี่ได้แค่ไหน เรื่องกล้องดีพอไหม แบตทนหรือเปล่า ประสิทธิภาพใช้งานจริงจะต่างกันมากไหม และเมื่อใช้งานจริงแบบคนทั่วไป ไม่ใช่ช่างภาพหรือผู้เชี่ยวชาญ จะรู้สึกได้ถึงความต่างหรือเปล่า
วันนี้เลยอยากหยิบ vivo X300 มาเล่าให้ฟัง หลังจากลองใช้งานจริงในสถานการณ์ต่าง ๆ ทั้งถ่ายรูป เล่นโซเชียล เล่นเกม และใช้งานประจำวัน ว่ามันเป็นเครื่องที่ตอบโจทย์แค่ไหน สิ่งไหนทำได้ดี สิ่งไหนน่าสังเกต และสุดท้ายแล้ว รุ่นนี้พอจะจบในตัวเดียวให้คุณได้หรือไม่ เพราะต้องบอกตามตรงว่า มันก็ดีนะ
ดีไซน์เหมือนเดิมเพิ่มเติมคือได้ขอบเหลี่ยมจอ Flat แล้ว
ดีไซน์ของ vivo X300 ยังเดินตามแนวทางเดิมที่หลายคนคุ้นตา แต่รอบนี้มีการปรับรายละเอียดให้เข้ากับเทรนด์ปัจจุบันมากขึ้น โดยเฉพาะจอที่เปลี่ยนมาเป็นแบบ Flat ขอบเหลี่ยมเต็มตัว ทำให้เครื่องดูเรียบ แต่คมและทันสมัยกว่าเดิม รวมถึงใช้งานจริงได้ง่ายขึ้น ทั้งการสัมผัส การติดฟิล์ม และการถือใช้งานในชีวิตประจำวัน ส่วนกรอบกล้องยังคงเป็นวงกลมเอกลักษณ์ของซีรีส์นี้เหมือนเคย เพียงแต่ดีไซน์ขอบเลนส์ไม่ใช่แบบตัด 90 องศาอีกแล้ว เปลี่ยนมาเป็นทรงสโลปโค้งแบบ Unibody 3D ทำให้โมดูลกล้องไม่ดูนูนโดดขึ้นมาเกินไป ให้ความรู้สึกกลมกลืนและเนี๊ยบกว่าเดิม แม้ต้องแลกกับลวดลายสเปกบนขอบเลนส์ที่ถูกตัดออกไปก็ตาม

สิ่งที่เห็นได้ชัดอีกจุดคือการย้ายตำแหน่งไฟแฟลชไปอยู่มุมซ้ายด้านบนของโมดูล แทนตำแหน่งเดิมในรุ่นที่ผ่านมา และด้วยหน้าจอที่เปลี่ยนเป็น Flat ทำให้ภาพรวมของตัวเครื่องดูคล้ายการต่อยอดจาก X200 Series อยู่พอสมควร ทั้งการวางกล้องตรงกลางแบบสมมาตรและทรงโดยรวมที่คุ้นเคย เพียงแต่จะมีการปรับรายละเอียดงานประกอบให้ดูลงตัวและพรีเมียมขึ้นเล็กน้อย

เรื่องสีสัน รุ่นที่ขายในไทยมีทั้งหมดสามโทน ได้แก่สีชมพู Pink Fortune Glow สีม่วง Bliss Violet และสีดำ Pure Black โดยเฉพาะสีชมพูที่จะมีการไล่เฉดบริเวณกรอบกล้องเป็นโทนพาสเทลออกรุ้งบาง ๆ และฝาหลังก็มีการเปลี่ยนสีเล่นแสงด้วย ดูละมุนและสะดุดตากว่าสีอื่น ส่วนการจัดวางกล้องก็มีความต่างระหว่างรุ่นธรรมดาและรุ่น Pro อยู่พอสมควร รุ่น X300 มาตรฐานจะจัดกล้องในทรงสี่เหลี่ยมบน ล่าง ซ้าย ขวา แม้ว่าด้านล่างจะไม่มีกล้องก็ตาม ในขณะที่ X300 Pro จะเป็นการวางแบบกากบาท ดูแน่นกว่าและใช้โมดูลกล้องขนาดใหญ่กว่าอย่างชัดเจน

ฟีลลิ่งการจับถือยังคงเน้นความพรีเมียมอย่างที่ vivo ทำได้ดีเสมอ ด้านหลังเป็นกระจกผิวด้านที่ให้สัมผัสสบายมือ ไม่ลื่นง่าย ขอบเครื่องเป็นอะลูมิเนียมทรงเหลี่ยมที่เข้าคู่กับหน้าจอแบนได้ลงตัว เครื่องดูบาง คลีน และมีน้ำหนักสมดุล นอกจากนี้ทั้งสองรุ่นยังรองรับมาตรฐานกันน้ำกันฝุ่น IP68 และ IP69 ซึ่งถือว่าให้มาครบกว่าหลายแบรนด์ สามารถโดนน้ำลึก 1.5 เมตรได้นาน 30 นาที และทนน้ำแรงดันสูงได้ด้วย
ตัวเครื่องรองรับชาร์จไร้สาย 40W แม้จะไม่มีแม่เหล็กแบบ MagSafe ก็ตาม ส่วนพอร์ตการเชื่อมต่อด้านล่างให้ USB-C 3.2 ความเร็ว 5 Gbps พร้อมไมโครโฟน ถาดซิมแบบ Dual Slot และลำโพงหลัก ด้านบนมีไมโครโฟนตัดเสียงรบกวนอีกตัวและลำโพงอีกหนึ่งจุด ทำงานร่วมกันเป็นลำโพงคู่ที่ให้เสียงดังและกระจายทิศทางได้ดีขึ้น

การจับถือ
การจับถือของ vivo X300 ให้ความรู้สึกที่ลงตัวอย่างประหลาด แม้ตัวโมดูลกล้องจะมีขนาดใหญ่ แต่การจัดวางน้ำหนักภายในทำได้ดีมาก เวลาใช้งานจริงเลยไม่รู้สึกว่าปลายเครื่องด้านบนหนัก หรือมีอาการเอียงถ่วงแบบที่มือถือบางรุ่นมักเจอ ฟีลลิ่งในการถือโดยรวมจึงใกล้เคียงมือถือทั่วไป จับมั่นคง ใช้งานต่อเนื่องนาน ๆ ไม่ล้า ไม่ว่าจะถือถ่ายรูปหรือเลื่อนโซเชียลไปเรื่อย ๆ ขนาดตัวเครื่องที่ไม่ได้ใหญ่จนเกินไปก็ช่วยให้ถือมือเดียวได้สบาย พกง่าย และรู้สึกกระชับในมือมากกว่าเดิม
ส่วนประสบการณ์จับถือเวลาเล่นเกมก็ทำได้ดีไม่แพ้กัน โครงเครื่องมีความสมดุลจนให้ฟีลใกล้เคียงมือถือเกมมิ่งของค่ายน้องอย่าง iQOO 15 เลยทีเดียว เพียงแต่ด้วยการที่หน้าจอของ X300 มีขนาดค่อนข้างกะทัดรัด หากใครคุ้นเคยกับมือถือจอใหญ่ อาจรู้สึกว่าต้องเพ่งหรือจ้องใกล้ขึ้นเล็กน้อยเวลาเล่นเกมที่มี UI เยอะหรือกราฟิกละเอียด แต่ข้อดีคือความคล่องตัวที่เพิ่มขึ้น จับถือและควบคุมง่าย เครื่องเล็กกำลังดี ใส่กระเป๋ากางเกงแล้วไม่รู้สึกเกะกะหรือเป็นภาระแม้แต่นิดเดียว เรียกว่าความกะทัดรัดนี่แหละคือเสน่ห์สำคัญของ X300 เลยครับ

หน้าจอขอบไม่โค้งแล้ว
หน้าจอของ vivo X300 เปลี่ยนทิศทางตามเทรนด์เรือธงปีนี้อย่างชัดเจน ด้วยการกลับมาใช้จอแบบแบนที่ไม่มีขอบโค้งแล้ว ทำให้ตัวเครื่องดูเรียบร้อยขึ้นและให้ฟีลการใช้งานที่แม่นยำกว่าเดิม ทั้งการปาดนิ้วริมขอบ การแตะใกล้ ๆ ขอบจอ หรือแม้แต่การติดฟิล์มที่ง่ายขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ขอบจอบางเพียงราว 1.05 มิลลิเมตร ช่วยให้พื้นที่แสดงผลดูกว้างและสวยสะอาดตามากขึ้น
ตัวพาเนลเป็น AMOLED พร้อมเทคโนโลยี 8T LTPO และใช้วัสดุหน้าจอ Q10 Plus จาก BOE ที่ขึ้นชื่อด้านความสว่างและประสิทธิภาพในการประหยัดพลังงาน หน้าจอมีขนาด 6.31 นิ้ว ความละเอียด 2640 × 1216 พิกเซล ให้ความหนาแน่นภาพอยู่ในระดับคมชัดสบายตา การแสดงผลรองรับ 10-bit แสดงสีได้กว่า 1.07 พันล้านสี และรองรับ HDR10+ รวมถึง HDR Vivid เต็มรูปแบบ ทำให้ภาพยนตร์ ซีรีส์ หรือคอนเทนต์ HDR จากแพลตฟอร์มต่าง ๆ ดูมีมิติมากขึ้น

การตอบสนองหน้าจอลื่นไหลด้วยรีเฟรชเรต 120Hz และยังควบคุมอัตรารีเฟรชด้วย LTPO ได้อย่างยืดหยุ่น ช่วยประหยัดแบตมากขึ้น ส่วนความสว่างสูงสุดดันไปได้ไกลถึง 4,500 นิต เรียกว่าใช้งานกลางแดดจ้าได้แบบไม่ต้องเพ่งเลย และยังมี PWM Dimming สูงถึง 2160Hz ช่วยลดอาการล้าและริบหรี่ของแสงสำหรับคนที่ใช้จอนาน ๆ หรือมีความไวต่อการสั่นของแสง
หน้าจอของ vivo X300 นอกจากจะเปลี่ยนมาใช้พาเนลแบบ Flat แล้ว รอบนี้ยังอัปเกรดระบบสแกนลายนิ้วมือใต้จอจากแบบ Optical มาเป็น Ultra Sonic แบบเดียวกับรุ่นพี่ในซีรีส์ Pro ด้วย การใช้งานจริงรู้สึกได้ชัดว่าติดง่ายกว่าเดิม สแกนไวขึ้น และมีความปลอดภัยมากขึ้น แต่สิ่งที่ต้องระวังคือฟิล์มหน้าจอ หากติดฟิล์มที่ไม่รองรับอาจทำให้การสแกนเพี้ยนได้ เพราะตัวระบบขึ้นแจ้งเตือนเลยว่าแนะนำให้ใช้ฟิล์มศูนย์ที่ติดมากับเครื่องเท่านั้น

ด้านการใช้งานจริง จอให้สีสันสด แต่ไม่โอเวอร์จนหลอกตา โทนภาพมีความสมจริงและคอนทราสต์พอดีแบบที่ vivo ทำมาดีอยู่แล้ว ส่วนดีไซน์ด้านบนยังคงเป็นรูกล้องแบบ Punch-Hole เช่นเดิม บรรจุกล้องหน้าความละเอียด 50 ล้านพิกเซล ใช้เซนเซอร์ ISOCELL JN1 รุ่นเดียวกับกล้องอัลตราไวด์ ซึ่งถึงจะเป็นรูกล้อง แต่ก็ไม่ได้ใหญ่จนรบกวนสายตาหรือกินพื้นที่การแสดงผลแต่อย่างใด
โดยรวมแล้วหน้าจอของ X300 เป็นหนึ่งในจุดที่ยกระดับขึ้นอย่างชัดเจน ทั้งความสว่าง ประสิทธิภาพ และคุณภาพภาพที่ให้ประสบการณ์เทียบชั้นเรือธงเต็มตัวเลยครับ

กล้องหลัง
กล้องหลังของ vivo X300 เป็นหนึ่งในจุดเด่นสำคัญของรุ่นนี้ เพราะมาพร้อมชุดกล้องครบทั้งสามระยะ หลัก, อัลตร้าไวด์ และเทเลพร้อมการร่วมพัฒนากับ ZEISS แบบเต็มระบบ ทั้งด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ ตั้งแต่เลนส์ การเคลือบผิว ไปจนถึงโพรไฟล์สีที่ปรับแต่งมาเฉพาะ

เริ่มจากกล้องหลัก ZEISS Main Camera ความละเอียด 200 ล้านพิกเซล ใช้เซนเซอร์ S5KHPB / HPB ขนาด 1/1.4 นิ้ว รูรับแสงกว้าง f/1.68 และมาพร้อมเลนส์ที่เคลือบ ZEISS T* Coating เพื่อลดแสงสะท้อนและเพิ่มความคมชัด เหมาะสำหรับการถ่ายทั่วไปทั้งกลางวันและกลางคืน
กล้องอัลตร้าไวด์ ZEISS Ultra Wide ความละเอียด 50 ล้านพิกเซล ใช้เซนเซอร์ S5KJN1SQ03 (JN1) ขนาด 1/2.76 นิ้ว รูรับแสง f/2.0 รองรับมุมกว้างมาก เหมาะสำหรับถ่ายทิวทัศน์ สถานที่ ตึก หรือการถ่ายกลุ่มเพื่อนที่ต้องการเก็บเฟรมให้ครบในภาพเดียว
กล้องเทเลโฟโต้ ZEISS ความละเอียด 50 ล้านพิกเซล ใช้เซนเซอร์ IMX882 / LYT602 ขนาด 1/1.953 นิ้ว รูรับแสง f/2.57 รองรับการซูมเพื่อถ่ายภาพบุคคลหรือภาพระยะไกลโดยไม่เสียรายละเอียด
ส่วนชิปประมวลผลภาพ vivo V3+ ที่มีอยู่ใน X300 จะช่วยด้านการโพรเซสภาพหลังจากกดชัตเตอร์แล้ว แต่รุ่นนี้จะไม่มีชิป VS1 ที่ใช้ในรุ่น Pro ซึ่งทำงานตั้งแต่ก่อนกดชัตเตอร์ ทำให้ขั้นตอนการประมวลผลบางอย่างอาจช้ากว่า X300 Pro อยู่เล็กน้อย แต่ภาพรวมยังคงได้ฮาร์ดแวร์กล้องระดับสูงครบทุกระยะเหมือนเดิมครับ

ภาพนิ่งกล้องหลัง
ภาพนิ่งของ vivo X300 แม้จะเป็นรุ่นเล็กแต่ยังคงความง่ายในการถ่ายเหมือนเดิม หยิบขึ้นมากดก็ได้ภาพที่ดูดีแบบแทบไม่ต้องแต่งเพิ่ม จุดที่เห็นได้ชัดที่สุดคือแนวทางการประมวลผลที่เน้นความเนียนและความสวยสำเร็จรูป รายละเอียดผิวถูกเกลี่ยให้เรียบ สกินโทนถูกปรับให้ดูสว่างขึ้น และริ้วรอยเล็ก ๆ บนใบหน้าถูกลดลงไปพอสมควรจนให้ฟีลที่คล้ายเหมือนเปิดโหมดบิวตี้แบบอ่อน ๆ แม้จะไม่ได้เปิดจริงก็ตาม ทำให้บางภาพอาจรู้สึกปลอมเล็กน้อยเมื่อดูใกล้ ๆ แต่ในการใช้งานทั่วไปภาพลักษณะนี้กลับถูกใจหลายคนเพราะพร้อมลงโซเชียลทันทีโดยไม่ต้องมานั่งปรับแก้ทีหลัง

ความต่างของภาพจากรุ่นนี้กับ X300 Pro จับได้ไม่ยาก รุ่น Pro จะเน้นความธรรมชาติมากกว่า รายละเอียดบนผิว โดยเฉพาะ texture และริ้วรอยยังคงอยู่ครบ ไม่ถูกลบออกจนหน้าเนียน คอนทราสต์ของภาพก็จะไปในโทนจริงจังขึ้นเล็กน้อย มีความหม่นกว่าแต่ให้มิติภาพที่สมจริงกว่า ขณะที่ X300 จะเน้นโทนสดใส รายละเอียดบางส่วนถูกเกลี่ยให้เรียบจนดูกลมกล่อมกว่า เหมาะกับคนที่ต้องการความง่ายมากกว่าเน้นความตรงไปตรงมาของภาพจริง
เลนส์ Ultra Wide ให้คุณภาพที่ดีและแทบไม่ต่างจากรุ่น Pro เพราะใช้เซนเซอร์เดียวกัน รายละเอียดเพียงพอสำหรับการถ่ายวิวหรือสถานที่กว้าง ๆ แม้จะไม่คมเท่าเลนส์หลัก แต่ไม่ได้รู้สึกว่าถูกลดสเปกลง สิ่งที่ต่างเพียงอย่างเดียวคือกระบวนการประมวลผลหลังถ่ายที่รุ่น X300 ใช้เวลานานกว่าเล็กน้อย
























เลนส์ซูมคือจุดที่สร้างความประทับใจได้มาก ระยะ 3x เหมาะกับการถ่ายวัตถุหรือบุคคลที่ต้องการมิติของภาพ ส่วนการซูมไปถึง 10x ก็ยังคมพอให้ใช้งานจริงได้ เทเลตัวนี้ยังสามารถให้โบเก้ละลายหลังแบบที่ได้จากระยะเลนส์จริง ไม่ได้เกิดจากซอฟต์แวร์ทั้งหมด ทำให้ภาพดูเป็นธรรมชาติใกล้เคียงกล้องใหญ่
อีกทั้งยังถ่ายภาพกึ่งมาโครได้ดีมาก รายละเอียดชัดจนสามารถครอปต่อได้อีก จุดนี้ถือเป็นข้อแตกต่างที่ทำให้ X300 กลายเป็นหนึ่งในมือถือจอเล็กที่เลนส์ซูมใช้งานจริงแล้วรู้สึกสนุกที่สุด แม้จะยังไม่คมเท่ารุ่น Pro แต่ก็อยู่ในระดับสูงจนไม่รู้สึกว่าขาดอะไรสำคัญไป
ภาพบุคคลของรุ่นนี้ทำได้ดีตามสไตล์ vivo การตัดขอบแม่น โบเก้เนียน และสกินโทนสวยกำลังดี เพียงแต่ AI ของระบบยังคงช่วยอยู่ราว ๆ ยี่สิบเปอร์เซ็นต์ในแทบทุกภาพ ไม่ว่าจะปิดโหมดปรับผิวแล้วก็ตาม ผิวจึงดูเรียบขึ้นเป็นธรรมชาติแบบ vivo มากกว่าจะเป็นงานภาพดิบเหมือนรุ่น Pro ซึ่งจะเก็บรายละเอียดผิวได้จริงกว่าและไม่ลบรอยใด ๆ ทิ้งไป






โดยรวมแล้วกล้องของ vivo X300 มีการประมวลผลหลังถ่ายที่ค่อนข้างฉลาดและช่วยให้ผู้ใช้ถ่ายรูปได้ง่ายขึ้นมาก ตัวระบบจะเข้าไปจัดการเรื่องรายละเอียด แสง และคอนทราสต์ให้เหมาะสมเกือบทุกครั้ง ทำให้ภาพที่ได้ออกมาดูลงตัวแบบแทบไม่ต้องแต่งเพิ่ม ซึ่งถือว่าเป็นจุดแข็งสำหรับคนที่ต้องการภาพสวยเร็ว ใช้งานง่าย และอยากได้ผลลัพธ์ที่สม่ำเสมอในทุกสถานการณ์
แต่ข้อสังเกตสำคัญคือถ้าซูมดูใกล้มาก ๆ โดยเฉพาะภาพที่มีตัวอักษร AI อาจจะเกลี่ยหรือเติมจนรายละเอียดเพี้ยนไปบ้าง ทำให้ข้อความบางครั้งอ่านไม่ออก อย่างไรก็ตาม หากการใช้งานหลักคือการถ่ายโพสต์ลงโซเชียลหรือเก็บภาพทั่วไป รุ่นนี้คือหนึ่งในมือถือจอเล็กที่ให้ภาพนิ่งดีที่สุดในตลาดตอนนี้อย่างไม่ต้องสงสัย
กล้องหน้า
กล้องหน้าของ vivo X300 อัปเกรดแบบรู้สึกได้ทันทีด้วยเซนเซอร์ 50MP พร้อม Auto Focus ซึ่งช่วยให้ภาพคมกว่าเดิมมาก ไม่ว่าจะถ่ายใกล้หรือไกลก็โฟกัสหน้าได้แม่น ใบหน้าดูดีขึ้นโดยไม่เนียนเกินจริง สกินโทนทำออกมาพอดีและให้มิติที่ใกล้เคียงกับซีรีส์ V ที่ขึ้นชื่อเรื่องกล้องหน้าอยู่แล้ว

มุมภาพค่อนข้างกว้าง ถ่ายเซลฟี่ไม่ต้องยืดแขนมาก และการมี AF ยังช่วยเรื่องถ่ายวิดีโอด้วย เดินถ่าย VLOG หรือคุยหน้ากล้องก็ไม่เจออาการหลุดโฟกัสง่ายเหมือนรุ่นเดิม โหมดถ่ายภาพก็ให้มาเยอะ ทั้งโบเก้ ZEISS และเอฟเฟกต์สกินโทนต่าง ๆ ที่ใช้แล้วได้ผลลัพธ์สวยเนียน เพียงแค่ถือเครื่องนิ่งขึ้นเล็กน้อยตอนใช้โหมดที่มีการละลายหลังหนัก ๆ
ยังสามารถเลือกมุมมองได้หลายระยะทั้ง 0.8x, 1x และ 2x ทำให้ปรับฟีลภาพได้ตามสถานการณ์ ภาพจากระยะกว้างและระยะปกติให้รายละเอียดดี สีผิวสวย และพร้อมลงโซเชียลทันที
โดยรวมกล้องหน้าของ X300 เป็นการอัปเกรดที่มีผลต่อการใช้งานจริงอย่างชัดเจน เหมาะกับทั้งคนที่ถ่ายเซลฟี่บ่อย ประชุมบ่อย หรือทำ VLOG ในชีวิตประจำวันครับ






อุปกรณ์เสริมตอนที่ทดสอบยังไม่มา ขอข้ามไป
อุปกรณ์เสริมของ vivo X300 ยังมาไม่ครบตอนทดสอบ แต่รุ่นนี้รองรับชุดเสริมเหมือน X300 Pro แทบทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นกริปถ่ายภาพหรือเลนส์ซูมระยะ 2.35x ซึ่งถือว่าสะดวกมากเพราะใช้เลนส์ตัวเดียวกันได้แบบ Universal โดยเฉพาะเวลาไปทริปกับเพื่อนที่ใช้รุ่น Pro สามารถยืมใช้งานร่วมกันได้เลย จุดที่ต้องระวังคือเคสที่ใช้เป็นตัวยึดเลนส์ของ X300 จะไม่สามารถใช้แทนของรุ่น Pro ได้ ต้องใช้เคสเฉพาะของ X300 เท่านั้นครับ

ซอฟต์แวร์ใหม่ OriginOS
ซอฟต์แวร์ก็เป็นอีกจุดที่ vivo X300 เปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เพราะรอบนี้ย้ายจาก Funtouch OS ไปสู่ OriginOS แบบเต็มตัวเป็นครั้งแรกในรุ่นวางขายทั่วโลก โดยมาพร้อม OriginOS 6 บนพื้นฐาน Android 16 ตั้งแต่แกะกล่อง ซึ่งใครที่เคยติดภาพว่า OriginOS มีเฉพาะในเครื่องจีนเท่านั้น รอบนี้ถือว่ามันถูกออกแบบใหม่ให้เข้ากับตลาด Global มากขึ้นอย่างชัดเจน
สัมผัสแรกที่รู้สึกได้ทันทีคือความลื่นของระบบ มันลื่นกว่าเดิมแบบจับต้องได้ ไม่ว่าจะเป็นการเลื่อนหน้าแอป การสลับแอป หรือแม้แต่แอนิเมชันต่าง ๆ ที่ตอบสนองเร็วขึ้นและดูเป็นธรรมชาติมากกว่า Funtouch OS ชัดเจน และถ้าจะพูดตรง ๆ ก็คงต้องยอมรับว่าความรู้สึกโดยรวมมีอารมณ์แบบ iOS เข้ามาไม่น้อย ทั้งในโครงสร้าง UI และพฤติกรรมบางส่วนของระบบ

หนึ่งในการเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ทันทีคือรูปแบบ Control Center และการแจ้งเตือน เดิมทีปัดลงฝั่งไหนก็เจอหน้าเดียว แต่ตอนนี้แยกซ้าย–ขวาเหมือน iOS แล้ว คือปัดด้านซ้ายเป็นการแจ้งเตือน ปัดด้านขวาเป็น Control Center และถ้าใครไม่ชอบแบบนี้ก็สามารถสลับให้กลับไปเป็นรูปแบบเดิมได้ ไม่ได้บังคับให้ใช้เฉพาะสไตล์ใหม่
OriginOS 6 ยังมาพร้อมฟอนต์ใหม่ vivo Sans ที่ดูทันสมัยขึ้น อ่านง่าย และช่วยให้บรรยากาศโดยรวมของ UI ดูพรีเมียมขึ้นแบบรู้สึกได้ทันทีเวลาเปิดจอ ส่วนฟีเจอร์ Origin Island ก็เป็นไฮไลต์หลักที่หลายคนน่าจะชอบ หน้าตาคล้าย Dynamic Island ของ iPhone แต่เพิ่มฟังก์ชัน Drag & Go เข้าไป ทำให้เราสามารถลากไฟล์ รูปภาพ หรือวัตถุต่าง ๆ จาก Island ไปยังอีกแอปหนึ่งได้ทันที เหมือนทำ Multitasking แบบเดสก์ท็อปเลย

หน้าจอ Lock Screen และ Always-On ก็ถูกออกแบบใหม่ด้วยดีไซน์แบบ Flip Cards ที่ใช้เอฟเฟกต์แสงเงาเปลี่ยนมุมตามการขยับเครื่อง คล้ายการ์ดโฮโลแกรม 3 มิติ ดูสวยและแปลกใหม่
โดยรวมฟีเจอร์ทุกอย่างเหมือนกับที่มีใน X300 Pro เพียงแค่ถูกย่อให้มาอยู่บนหน้าจอขนาดเล็กลง ซึ่งจากที่ลองใช้งานก็พบว่าการจัดวางโอเคมาก ไม่มีความรู้สึกว่าถูกบีบหรือถูกตัดอะไรออก ขนาดจอที่เล็กกว่ากลับทำให้ UI ดูพอดีมือขึ้นด้วยซ้ำ
แม้จะเป็นการยกเครื่องครั้งใหญ่ แต่เวลาหยิบมาใช้ยังรู้สึกได้ถึงคาแรกเตอร์ของ vivo เหมือนเดิมทุกอย่าง เพียงแต่ทุกอย่างถูกขัดเกลาให้ฉลาดขึ้น ลื่นขึ้น และดูทันสมัยขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ทำให้ OriginOS 6 เป็นส่วนสำคัญที่ดันประสบการณ์ของ X300 ให้ดีขึ้นอีกระดับเลยครับ

ประสิทธิภาพเป็นอย่างไร เล่นเกมดีหรือยัง
ประสิทธิภาพของ vivo X300 ถือว่าอยู่ในระดับเรือธงเต็มตัว เพราะรอบนี้ได้ใช้ชิปตัวเดียวกับรุ่น Pro คือ MediaTek Dimensity 9500 ซึ่งเป็นชิประดับท็อปของปี 2025 ประกบมากับชิปเสริมด้านภาพ vivo V3+ ที่ช่วยแบ่งเบาภาระงานประมวลผลเกี่ยวกับภาพถ่ายและวิดีโอออกไป ทำให้ชิปหลักไม่ต้องทำงานหนักเกินจำเป็น ทั้งหมดนี้ทำให้การใช้งานทั่วไปเป็นไปอย่างลื่นไหลมาก ไม่ว่าจะเล่นโซเชียล สลับแอป ดูหนัง ฟังเพลง หรือทำธุรกรรมออนไลน์ ทุกอย่างตอบสนองทันใจแบบไม่มีจังหวะหน่วง ความร้อนก็จัดการได้ดีมาก แทบไม่รู้สึกว่าเครื่องอุ่นเลย

ผลการทดสอบ Benchmark
- Antutu Benchmark
- คะแนนรวม : 3,359,319 คะแนน
- คะแนน CPU : 944,770 คะแนน
- คะแนน GPU : 1,394,013 คะแนน
- คะแนน MEM : 376,355 คะแนน
- คะแนน UX : 644,181 คะแนน
- Geekbench
- Single Core : 3,401 คะแนน
- Multi Core : 10,072 คะแนน
ด้านคะแนนประสิทธิภาพของ vivo X300 ตอนแรกต้องยอมรับว่าผลทดสอบออกมาน้อยจนแปลก ทั้งที่ใช้ชิปตัวเดียวกับรุ่น Pro โดยคะแนน Antutu อยู่ราว ๆ 2,900,000 ซึ่งดูต่ำกว่าที่ควรจะเป็น ทำให้ช่วงแรกผมคิดว่าอาจมาจากตัวเครื่องที่เล็กกว่า ระบายความร้อนได้ไม่ดี รุ่นที่ทดสอบเป็นแรม 12GB ในขณะที่ X300 Pro เป็น 16GB หรืออาจเป็นบั๊กซอฟต์แวร์ เพราะเวลาเล่นเกมร่วมกับ Ultra Game Mode ก็เจออาการเฟรมแกว่งอยู่บ้างจนหาสาเหตุไม่เจอ

สุดท้ายหลังจากไล่ปัญหาจริงจัง ต้นตอกลับไม่ใช่เรื่องความร้อนหรือบั๊กเกม แต่เป็นเพราะฟีเจอร์ RAM เสมือนที่เปิดใช้งานอยู่ ซึ่งระบบจะนำพื้นที่จัดเก็บข้อมูลบางส่วนมาทำเป็นแรมเพิ่ม แต่ทำให้ความเร็วโดยรวมลดลงแบบไม่รู้ตัว พอปิดฟีเจอร์นี้เท่านั้น คะแนนและความเสถียรพุ่งขึ้นทันที
หลังปิด RAM เสมือน คะแนน Antutu กระโดดขึ้นมาเป็นประมาณ 3,300,000 ซึ่งเข้าใกล้ X300 Pro ที่ทำได้ราว 3,500,000 มากกว่าเดิมแบบชัดเจน ส่วนคะแนน Geekbench ก็เพิ่มจนสูสีรุ่น Pro เลย เรียกได้ว่าประสิทธิภาพกลับมาเต็มจริง ๆ เมื่อปิดฟีเจอร์นี้ และประสบการณ์เล่นเกมก็ดีขึ้นในทันที
พูดง่าย ๆ ปัญหาคะแนนตกไม่ใช่เพราะเครื่องเล็กหรือฮาร์ดแวร์ด้อยกว่า แต่เป็นผลจาก RAM เสมือนล้วน ๆ พอปิดแล้ว vivo X300 ก็โชว์ประสิทธิภาพที่แท้จริงได้เต็มที่ครับ

ทดสอบเล่นเกม
ในด้านการเล่นเกม vivo X300 ทำผลงานได้ดีเกินคาด แม้คะแนนเบนช์มาร์กจะดูน้อยกว่ารุ่น X300 Pro แต่ประสบการณ์จริงกลับแทบไม่ต่างกันเลย เครื่องมีสมดุลน้ำหนักดี จับถนัด และเฟรมเรตนิ่งกว่าที่คิด
สำหรับเกมจากค่าย HoYoverse ทั้ง Genshin Impact และ Zenless Zone Zero (ZZZ) ถือว่าทำได้ดีมาก เริ่มจาก Genshin ซึ่งสามารถตั้งกราฟิกสูงสุดพร้อมเฟรมเรต 60fps แล้วเล่นได้ลื่นไหลสบาย ๆ มีเพียงอาการโหลดภาพไม่ทันบ้างตอนหมุนกล้องเร็ว ๆ กับกระตุกเล็กน้อยตอนโหลดฉาก ซึ่งเป็นสิ่งที่พบได้แม้ในมือถือสเปกสูงหลายรุ่น แต่ที่น่าประทับใจคือเฟรมเรตแทบไม่ตกต่ำกว่า 40-50fps เลย และที่สำคัญไม่มีอาการดรอปเพราะความร้อน ตัวเครื่องควบคุมอุณหภูมิได้ดีมากในเกมนี้

ส่วน ZZZ แม้จะตั้งกราฟิกสูงสุดและเล่นได้จริง แต่ตัวเกมมีโหลดเอฟเฟกต์หนักกว่า ทำให้ความร้อนพุ่งเร็วกว่า Genshin พอสมควร โดยเฉพาะฉากต่อสู้ที่มีแสงและพาร์ติเคิลเยอะ ๆ เราจะเห็นจังหวะเฟรมไทม์แกว่ง หรือกระตุกเล็กน้อยเป็นช่วง ๆ แต่โดยรวมยังถือว่าเล่นได้ดีมาก และดีกว่ารุ่นที่ใช้ชิป Dimensity 9400 แบบรู้สึกได้ เพราะใน 9400 การต่อคอมโบหรือสลับตัวเร็วมักมีอาการสะดุด แต่บน Dimensity 9500 ปัญหาเหล่านี้แทบหายไป ทำได้ใกล้เคียง iPhone A19 Pro เลย แม้ว่าโดยรวมจะยังไม่เท่า Snapdragon 8 Elite แต่ก็มากเกินพอสำหรับสมาร์ตโฟน และในหลายช่วงให้ประสบการณ์ดีกว่าเรือธงบางค่ายด้วยซ้ำ ส่วนหนึ่งก็ต้องชมการปรับแต่งของ HoYoverse ที่ทำได้ดีมาก

เรื่องความร้อน เมื่อรีดประสิทธิภาพเต็มที่ เครื่องมีอุณหภูมิสูงสุดราว 55 องศา ซึ่งถือว่าร้อนใช้ได้ แต่จุดที่ดีคือความร้อนกระจายสม่ำเสมอทั่วทั้งฝาหลัง ไม่ได้ร้อนเป็นจุด ๆ เพราะมี Vapor Chamber ขนาดใหญ่ช่วยกระจายความร้อน ทำให้เฟรมเรตไม่ตกแม้เครื่องจะร้อนก็ตาม
ฟีเจอร์ที่ช่วยเรื่องเกมได้มากจนรู้สึกได้คือ Bypass Charging ซึ่งเป็นสิ่งที่คอเกมรู้กันดี เพราะเมื่อเปิดโหมดนี้ เครื่องจะดึงไฟจากอะแดปเตอร์โดยตรง ไม่ผ่านแบตเตอรี่ ทำให้ความร้อนลดลงอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเทียบกับมือถือรุ่นอื่นที่ไม่มีฟีเจอร์นี้ ช่วยถนอมแบตในระยะยาว
โดยรวมแล้ว vivo X300 อาจไม่ใช่มือถือเกมมิ่งโดยตรง แต่ประสบการณ์เล่นเกมทำออกมาได้ดีมาก อัปเกรดชัดเจนจาก Dimensity 9400 เฟรมเสถียร และมีระบบช่วยจัดการความร้อนที่ดีพอจะเล่นเกมหนัก ๆ ได้สบาย ๆ เพียงแค่รอ vivo แก้ปัญหา Ultra Game Mode ให้สมบูรณ์กว่านี้ เท่านี้ก็แทบจะเป็นเรือธงตัวเล็กที่เล่นเกมได้ดีมาก ๆ แล้ว

เสียงลำโพง
เสียงลำโพงของ vivo X300 ถือเป็นหนึ่งในจุดอ่อนที่ยังเห็นได้ชัดเจน แม้จะมีการอัปเกรดขึ้นจากรุ่น X200 อยู่บ้าง แต่ก็ยังไปไม่ถึงระดับที่เรือธงส่วนใหญ่ทำได้ เสียงมีโทนใสและเคลียร์ รายละเอียดกลางกับแหลมถือว่าดี ฟังพูดคุย ดูคลิปสั้น ๆ หรือคอนเทนต์ทั่วไปทำได้โอเค
แต่เมื่อถึงจังหวะที่ต้องการพลังเสียงจริงจัง เช่นดูหนังแนวแอ็กชัน ฟังเพลงเบสหนัก หรือเล่นเกมที่ต้องการอรรถรสเต็ม ๆ เราจะรู้สึกทันทีว่า เบสค่อนข้างแห้ง มิติเสียงแบน และขาดความหนักแน่น ทำให้บรรยากาศโดยรวมไม่เต็มอิ่มเท่าที่ควร

เมื่อเทียบกับรุ่น X300 Pro ความต่างหลัก ๆ จะอยู่ที่ระดับความดังและความคมชัดช่วงเร่งเสียงดังสุด รุ่น Pro จะให้แรงปะทะและไดนามิกที่ดีกว่า ขณะที่คาแรกเตอร์เสียงกลาง แหลมของทั้งสองรุ่นยังมีความคล้ายกันอยู่มาก ดังนั้นถ้าใครคาดหวังลำโพงที่อัดแน่นแบบเรือธงจริง ๆ X300 อาจยังไม่ตอบโจทย์เท่าไหร่ แต่ถ้าใช้งานทั่วไปหรือพึ่งหูฟังเป็นหลัก ก็ไม่ได้เป็นข้อเสียที่กระทบหนักจนรับไม่ได้ครับ
แบตเตอรี่อึด ใช้งานได้เต็มวัน
แบตเตอรี่ของ vivo X300 ถือว่าเป็นหนึ่งในจุดเด่นที่ทำให้รุ่นนี้ใช้งานได้สนุกขึ้นอย่างชัดเจน เพราะรอบนี้ให้แบตความจุ 6,040mAh แบบ BlueVolt ซึ่งใช้เทคโนโลยี Silicon Carbon ที่แบรนด์จีนหลายรายเริ่มนำมาใช้ จุดดีของมันคือสามารถบรรจุความจุได้มากกว่าแบตลิเธียมแบบเดิม โดยที่ไม่เพิ่มความหนาหรือเพิ่มน้ำหนักของตัวเครื่องจนเกินไป ทำให้ X300 เป็นมือถือเครื่องเล็กที่ให้แบตใหญ่ในบอดี้ที่ยังคงบาง เบา และพกพาง่ายอยู่เหมือนเดิม

ประสบการณ์จริงจากการใช้งานวันต่อวัน ใส่ซิม 5G เปิดความสว่างแบบ Auto เปิด Always-On Display ใช้โซเชียล ฟังเพลง ถ่ายรูปเป็นระยะ ๆ และเล่นเกมบ้าง พบว่ากลับถึงบ้านแบตยังเหลืออยู่ประมาณ 50% แบบสบาย ๆ เรียกได้ว่าใช้งานได้ครบวันแน่นอน โดยไม่ต้องลุ้นว่าจะต้องหาที่ชาร์จระหว่างวัน แต่ถ้าใช้งานหนักมาก ๆ เช่นเล่นเกมยาว ดูสตรีมต่อเนื่อง ถ่ายวิดีโอบ่อย ตัวเลขอาจลงมาเหลือราว ๆ 30% ซึ่งก็ยังถือว่าอยู่ในเกณฑ์ดีมากสำหรับมือถือเครื่องเล็ก
แม้จะอึดมาก แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นใช้งานได้สองวันแบบรุ่นใหญ่ X300 Pro ซึ่งต้องเข้าใจว่าขนาดตัวเครื่องของ X300 เล็กกว่า จึงมีพื้นที่ใส่แบตน้อยกว่าอยู่แล้ว แต่สำหรับคนทั่วไปที่ใช้งานปกติ วันเดียวเอาอยู่ชิล ๆ และเป็นหนึ่งในมือถือเครื่องเล็กที่แบตอึดที่สุดในตลาดตอนนี้เลยก็ว่าได้

การชาร์จ
การชาร์จของ vivo X300 ทำได้ครบและแรงตามมาตรฐานเรือธงยุคนี้ รองรับชาร์จแบบมีสาย 90W และชาร์จไร้สาย 40W ซึ่งถือว่าเป็นครั้งแรกของรุ่นเล็กในซีรีส์ที่ให้ชาร์จไร้สายมาด้วย เพราะรุ่นก่อนหน้านี้ไม่ได้มีให้ รอบนี้จึงตอบโจทย์การใช้งานได้กว้างขึ้นมากไม่ว่าคุณจะชอบชาร์จแบบไหน
การชาร์จด้วยสาย 90W ให้ประสบการณ์ที่คุ้นเคยจากรุ่นก่อน คือเร่งเร็วมากในช่วงแรก แล้วค่อย ๆ ลดกำลังลงเมื่อแบตเริ่มใกล้เต็มเพื่อรักษาอุณหภูมิและยืดอายุแบต ถึงตัวเลขจะไม่ได้วิ่งเต็ม 90W ตลอด แต่ก็ยังเร็วพอสำหรับชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะคนที่ลืมชาร์จตอนกลางคืน ตื่นมาเสียบสายไม่กี่นาทีก็มีแบตพอออกจากบ้านได้สบาย

หากใช้หัวชาร์จ PD มาตรฐานทั่วไปที่ไม่ใช่ของ vivo เอง ความเร็วจะอยู่ประมาณ 40-50W ซึ่งก็เพียงพอสำหรับการเดินทางหรือวันที่ไม่ได้ต้องการชาร์จแบบเร่งด่วน เป็นความเร็วที่ใช้งานได้จริง ไม่ช้า ไม่ทำให้รู้สึกหงุดหงิด และสะดวกมากสำหรับคนที่ไม่อยากพกหัวชาร์จหลายอัน
ภายในกล่อง vivo ยังแถมอะแดปเตอร์กำลังสูงและสายชาร์จที่รองรับมาตรฐานพิเศษของแบรนด์มาให้แบบไม่ต้องซื้อเพิ่ม แต่ข้อจำกัดก็ยังเหมือนเดิม คือถ้าอยากชาร์จเร็วสุด ต้องใช้หัวและสายของ vivo เท่านั้น เพราะเป็นมาตรฐานเฉพาะทาง ใช้หัวชาร์จยี่ห้ออื่นจะได้ความเร็วลดลง และนำหัวชาร์จ vivo ไปใช้กับมือถือแบรนด์อื่นก็จะได้ความเร็วไม่เต็มเช่นกัน
สรุปจบที่ X300 ธรรมดาได้ไหม หรือต้องขยับไปรุ่น X300 Pro
vivo X300 รอบนี้ไม่ได้อัปเกรดจาก X200 รุ่นธรรมดา แต่ต่อยอดจาก X200 Pro Mini ที่ไม่ได้เข้าไทยปีที่แล้วมากกว่า ทำให้เห็นความต่างจากเดิมชัดเจนหลายจุด เพราะฟีเจอร์หลายอย่างกระโดดขึ้นมาอยู่ระดับใกล้เคียงรุ่น Pro และพอใช้งานจริง ฟีลลิ่งโดยรวมแทบไม่รู้สึกว่าถูกลดทอนอะไรลงมากนัก
ดีไซน์ใหม่ที่เปลี่ยนมาใช้หน้าจอ Flat ทำให้จับถือถนัดขึ้น และตัวเครื่องที่บางเบาอยู่แล้วก็ยิ่งพกง่ายขึ้นอีก ขณะที่ชิป Dimensity 9500 และ OriginOS รุ่นใหม่ช่วยให้การใช้งานลื่นแบบรู้สึกได้ทันที ไม่ว่าจะเป็นการสลับแอป เล่นโซเชียล หรือใช้งานทั่วไป ทุกอย่างให้ประสบการณ์ที่นิ่งและเสถียรในแบบที่คาดหวังจากมือถือตัวท็อปเครื่องเล็ก ที่เล็กแค่หน้าจอ แต่ประสบการณ์ใช้งานอื่น ๆ ไม่ได้เล็กตามเลย

ด้านกล้องยังคงเป็นจุดขายอันดับหนึ่งเช่นเดียวกับตัว Pro จุดเด่นคือความง่ายในการถ่าย ยกขึ้นมาก็ได้ภาพที่สวยพร้อมโพสต์ โทนภาพดี รายละเอียดครบ และมีความเนียนกำลังพอดีตามสไตล์ vivo ส่วนเลนส์ซูมก็ใช้งานจริงได้ดี โดยเฉพาะระยะ 3x ที่ให้มิติภาพแบบกล้องใหญ่ และซูม 10x ที่คุณภาพยังใช้งานได้ดีเกินคาด แม้จะไม่เท่าตัว Pro แต่ก็ดีกว่ามือถือส่วนใหญ่ในตลาดแล้ว และหากต้องการเพิ่มประสิทธิภาพการซูมขึ้นไปอีก ก็สามารถใช้ชุดอุปกรณ์เสริมอย่างเลนส์ซูมมาต่อเพิ่มได้ เพียงแต่ช่วงรีวิวอุปกรณ์ยังไม่เข้าไทยเท่านั้นเอง
แบตเตอรี่เป็นอีกหนึ่งจุดที่ทำได้ยอดเยี่ยม ตัวเครื่องเล็กแต่ให้แบตใหญ่ถึง 6,040mAh ใช้งานได้ทั้งวันได้ รองรับชาร์จไว 90W และชาร์จไร้สาย 40W ซึ่งเป็นครั้งแรกของรุ่นเล็กในซีรีส์นี้ ทำให้การใช้งานจริงสะดวกขึ้นมาก

สำหรับใครที่ยังลังเลอยู่ว่าต้องขยับไปตัว Pro เลยหรือไม่ หลัก ๆ แล้วให้ดูที่ขนาดหน้าจอก่อน ถ้าชอบมือถือจอเล็ก พกง่าย จับถนัด รุ่นนี้ตอบโจทย์สุด แต่ถ้าชอบจอใหญ่ก็ขยับไป Pro ได้เลย เรื่องกล้องซูมในชีวิตจริงไม่ได้เป็นปัจจัยใหญ่ขนาดนั้น อยู่ที่ว่าใช้บ่อยแค่ไหนและซีเรียสกับคุณภาพระดับไหน สีเครื่องก็มีผลเหมือนกัน ยอมรับเลยว่าสีชมพู Halo Pink สวยที่สุดทั้งในรุ่นธรรมดาและรุ่น Pro และแน่นอนว่าถ้าเน้นแบตอึด รุ่น Pro ก็อาจจะตอบโจทย์กว่า
โดยรวมแล้ว vivo X300 คือมือถือขนาดเล็กที่ให้ความครบในระดับเรือธง ใช้งานลื่น กล้องดี ถ่ายง่าย ซูมสนุก แบตอึด และรองรับฟีเจอร์ร่วมกับรุ่น Pro หลายอย่าง ถ้าไม่ได้ซีเรียสเรื่องความสมจริงสุด ๆ ของโทนภาพหรือความคมระดับโปรของเลนส์ซูม รุ่นธรรมดานี้ถือว่าเป็นตัวจบได้เลย และเป็นหนึ่งในมือถือไซซ์กะทัดรัดที่น่าใช้ที่สุดของปีนี้ ตัวเล็ก จอเล็ก แต่ครบมาก ซึ่งในตลาดตอนนี้หายากมากที่จะมีมือถือเครื่องเล็กที่ทั้งแบตอึดและกล้องสวยได้ถึงระดับนี้ครับ

ข้อดี
- ขนาดตัวเครื่องเล็ก พกง่าย จับถนัด แต่ให้สเปกระดับเรือธง
- เลนส์กล้องไมค่อยนูนออกมามาก
- หน้าจอ Flat สว่างมาก สีสวย ใช้งานกลางแจ้งได้ดี
- เซ็นเซอร์สแกนนิ้ว Ultra Sonic แบบเดียวกับรุ่น Pro ติดง่าย แม่นยำ
- กล้องหลักคุณภาพดี ถ่ายง่าย เหมาะกับคนไม่ได้ถ่ายรูปเก่งก็ได้ภาพสวยเลย
- เลนส์ซูม 3x 10x ใช้งานจริงได้ดี ใกล้เคียงรุ่น Pro
- ซอฟต์แวร์ OriginOS ลื่นขึ้นมาก
- ชิป Dimensity 9500 ประสิทธิภาพดี เล่นเกมลื่น
- แบต 6,040mAh อึด ใช้งานได้ครบวัน
- รองรับชาร์จไว 90W
- ใช้อุปกรณ์เสริมได้ (รอเข้าไทย)
ข้อสังเกต
- โทนภาพจากกล้องยังคงสไตล์ vivo ที่มีการปรับแต่งมาให้ อาจไม่ถูกใจคนชอบความธรรมชาติ
- ลำโพงเสียงแย่
- ฟีเจอร์ Virtual RAM ถูกเปิดมาให้ตั้งแต่แรก ต้องเข้าไปปิดด้วย เพราะทำให้เครื่องช้ากว่าเดิม
- ถ้าจะซูมสุดคุณภาพสูงจริง ๆ รุ่น Pro ยังทำได้ดีกว่า
- เครื่องร้อนเร็วกว่ารุ่น Pro ชัดเจน
- ระบบชาร์จเป็นแบบปิด ใช้สายหรือหัวชาร์จมาตรฐานอื่นแล้วชาร์จช้าลงมาก
- โฆษณาแถมมาให้บ้าง แต่ปิดได้

Comment