Xiaomi 13T Series เรียกได้เปิดตัวมาอย่างร้อนแรงสุด ๆ เพราะสเปคที่ได้ กับราคาวางจำหน่ายในไทยนั้น จะเรียกว่านักฆ่าเรือธงในช่วงปลายปีนี้ก็ถือว่าไม่ผิดสักเท่าไหร่ เพราะได้ทั้งชิปแรง ๆ ความจุแน่น ๆ แถมยังได้กล้องครบทุกระยะที่จับมือร่วมงานกับ LEICA ใน T Series เป็นครั้งแรก และจากที่ได้ลองใช้งานทั้งสองรุ่นเป็นระยะสั้น ๆ บอกเลยว่าในงบ 20,000 บาท ถือเป็นรุ่นที่ควรค่าแก่การตำสุด ๆ แล้ว ส่วนประสบการณ์การใช้งานเป็นอย่างไร วันนี้จะมาเล่าให้ฟังกัน

ดีไซน์กระจก vs หนัง Vegan เลือกแบบไหนดี?

Xiaomi 13T และ Xiaomi 13T Pro เปิดตัวมาพร้อมกับตัวเครื่องที่มีให้เลือกวัสดุทั้งหมด 2 แบบ ซึ่งเครื่องที่เราได้มาในรอบนี้มีทั้ง Xiaomi 13T รุ่นมาตรฐาน ที่มาในตัวเครื่องสีฟ้า Alpine Blue ที่มาในวัสดุฝาหลังแบบหนัง Vegan สัมผัสนุ่มมือ และ Xiaomi 13T Pro ที่มาในสีเขียว Meadow Green ที่ใช้กระจกเงางามเล่นกับแสงแบบสุด ๆ

หากถามว่าวัสดุไหนสวยกว่ากัน ต้องบอกว่าขึ้นกับรสนิยมส่วนบุคคลจริง ๆ แต่ส่วนตัวแล้วชอบวัสดุกระจกมากกว่า เพราะดูมีความพรีเมียมให้ความรู้สึกเดียวกับซีรีส์หลัก แต่ก็ต้องแลกมาด้วยลายนิ้วมือที่ติดเครื่องสุด ๆ ถ้าใช้งานแบบไม่ใส่เคสอาจต้องขยันเช็ด อีกทั้งมีโอกาสเป็นรอยขีดข่วน รวมถึงมีโอกาสแตกถ้าร่วงหล่นด้วย

ส่วนวัสดุหนัง Vegan นั้นจะมีข้อดีที่ช่วยพรางลายนิ้วมือได้ดีมาก ๆ ฟีลลิ่งการจับถือดี ใช้งานแบบไม่ต้องใส่เคสก็เซฟ ๆ ไม่ต้องห่วงว่าเวลาเครื่องตกแล้วจะแตก แต่จริง ๆ ตัวโมดูลกล้องก็เป็นจุดที่ยังน่ากังวลอยู่เหมือนกัน เพราะมีขนาดค่อนข้างใหญ่และยื่นออกจากตัวเครื่องเยอะมาก ๆ เวลาวางก็ต้องระวังเป็นรอย

ตัวเครื่องทั้งสองรุ่นนั้นมาในขนาดเดียวกัน มาในขนาดตัวเครื่องที่เท่ากัน พร้อมช่องพอร์ตต่าง ๆ ที่เหมือนกันแบบ 100% ต่างกันเพียงน้ำหนักที่ห่างกันไม่ถึง 10 กรัม สามารถใส่เคสร่วมกันได้พอดี มาพร้อมมาตรฐานทนน้ำ ทนฝุ่นระดับ IP68 ส่วนขอบเฟรมตัวเครื่องข้อมูลหลาย ๆ แห่งบอกว่าเป็นโลหะ แต่พอได้ลองสัมผัสจริง ๆ แล้วให้ความรู้สึกเหมือนพลาสติกชุบสีมากกว่า

จอสว่างขอบบาง ได้ลำโพงคู่ Dolby Atmos

ใครที่ชอบดูคอนเทนต์ผ่านมือถือบ่อย ๆ น่าจะถูกใจกันไม่น้อย เพราะ Xiaomi 13T Series ไม่ว่าจะรุ่นเล็ก หรือรุ่นใหญ่ก็มาพร้อมจอแสดงผล Dot Display ขนาด 6.67 นิ้ว ใช้พาเนล CrystalRes AMOLED ความละเอียด 2712 x 1220 พิกเซล ซึ่งสีสันความคมชัดถือว่าทำได้ดีมาก ๆ แถมยังรองรับการแสดงผล Dolby Vision และ HDR10+ ที่ช่วยยกความสวยของภาพขึ้นไปอีกระดับ

เรื่องของความสว่างบอกเลยว่าจัดเต็ม เพราะเมื่อออกแดดจัด ๆ แล้วตัวจอสามารถเร่งความสว่างได้สูงสุดถึง 2600 nits ซึ่งเป็นค่าความสว่างที่สูงเป็นอันดับต้น ๆ ของวงการเลยทีเดียว ดังนั้น การใช้งานกลางแดดจ้า ๆ ก็ไม่มีปัญหา แถมยังได้จอลื่นไหล 144Hz ที่ทัชลื่นติดนิ้วมาก ๆ

ด้านลำโพงในรุ่นนี้เป็นลำโพงคู่สเตอริโอ ที่มาพร้อมกับระบบเสียง Dolby Atmos ที่สามารถเปิดใช้งานผ่านตัวลำโพงได้เลย ไม่ต้องใช้หูฟัง ช่วยให้การดูคอนเทนต์ต่าง ๆ เต็มอิ่มยิ่งขึ้น และยังมี Equalizer สามารถเข้าไปปรับจูนเสียงได้ตามใจชอบ แต่ส่วนตัวจากที่ได้ลองฟังมา คิดว่าลำโพงรุ่นนี้ยังขาดเสียงทุ้มไปพอสมควร การเปิด Dolby Atmos ถือว่าช่วยได้ดีในระดับหนึ่งเลย

ประสิทธิภาพรุ่นไหนดีกว่ากัน

สเปค / รุ่นXiaomi 13TXiaomi 13T Pro
ขนาด / น้ำหนัก162.2 มม. x 75.7 มม. x 8.49 มม. / 197 กรัม (วัสดุกระจก)
– 162.2 มม. x 75.7 มม. x 8.62 มม. / 193 กรัม (วัสดุหนัง Vegan)
– 162.2 มม. x 75.7 มม. x 8.49 มม. / 206 กรัม (วัสดุกระจก)
– 162.2 มม. x 75.7 มม. x 8.62 มม. / 200 กรัม (วัสดุหนัง Vegan)
จอแสดงผลCrystalRes AMOLED ขนาด 6.67 นิ้ว
ความละเอียด 2712 x 1220 พิกเซล
สว่างสูงสุด 2,600 nits (HDR)
อัตรารีเฟรช 144Hz รองรับ HDR10+, Dolby Vision
ชิปเซ็ตDimensity 8200 UltraDimensity 9200+
ความจุRAM LPDDR5 : 12GB
ROM UFS 3.1 : 256GB
RAM LPDDR5x : 12GB, 16GB
ROM UFS 4.0 : 512GB / 1TB
กล้องหลังชุดเลนส์ LEICA VARIO-SUMMICRON

กล้องหลัก:
IMX707 50MP (f/1.9), ระบบกันสั่น OIS

Ultrawide: 12MP (f/2.2)

Telephoto: 50MP (f/1.9), ซูม Optical X2
กล้องหน้า20MP (f/2.2)
การถ่ายวิดีโอ4K แบบ HDR10+ ที่ 30 เฟรมต่อวินาที– ถ่ายวิดีโอสูงสุด 4K แบบ HDR10+ ที่ 30 เฟรมต่อวินาที
– ถ่ายวิดีโอสูงสุด 8K ที่ 24 เฟรมต่อวินาที
– รองรับการถ่ายวิดีโอไฟล์ 10-bit LOG
การเชื่อมต่อWi-Fi 6E
Blutooth 5.4
NFC
Wi-Fi 7
Blutooth 5.4
NFC
เซนเซอร์สแกนนิ้วใต้จอ, accelerometer, gyro, proximity, compass, color spectrum
ลำโพงลำโพงคู่ Stereo
รองรับ Dolby Atmos
มาตรฐานทนน้ำทนฝุ่นIP68
USB-CUSB-C 2.0
แบตเตอรี่5,000 mAh
ชาร์จไว67W
0 – 100% ใช้เวลา 42 นาที
120W
0 – 100% ใช้เวลา 19 นาที
ตารางเทียบสเปค Xiaomi 13T และ Xiaomi 13T Pro

ด้านประสิทธิภาพนั้นถือเป็นจุดที่แตกต่างที่สุดของทั้งสองรุ่น เพราะ Xiaomi 13T จะมาพร้อมกับชิปเซ็ตระดับกลางอย่าง Dimensity 8200 Ultra แต่ในส่วนของรุ่น Pro นั้น จะมาพร้อมกับชิประดับเรือธงรุ่นใหม่ล่าสุด อย่าง Dimensity 9200+ ที่ความแรงสูสีกับ Snapdragon 8 Gen 2 แถมยังมาพร้อม RAM ความจุสูงถึง 16GB ทำให้ความแรงห่างกันพอสมควร แถมรุ่น Pro ยังได้เทคโนโลยีการเชื่อมต่อใหม่ ๆ อย่าง Wi-Fi 7 ด้วย

ด้านประสบการณ์การใช้งานทั่วไป เล่นโซเชียล ดู YouTube ส่วนตัวคิดว่าต่างกันน้อยมาก ๆ ถ้าไม่ได้เล่นเกมหนัก ๆ หรือถ่ายวิดีโอคุณภาพสูง ๆ แต่สำหรับเหล่าเกมเมอร์นั้น บอกเลยว่าต่างอย่างเห็นได้ชัดเจน และจากที่ได้ทดสอบลองเล่นกันทั้งหมด 2 เกมนั้น ผลออกมาดังนี้

Genshin Impact

ทดสอบ Xiaomi 13T Genshin Impact

สำหรับรุ่นมาตรฐานนั้น การเล่น Genshin Impact แบบปรับกราฟิกสูงสุดทุกอย่างนั้น ถือว่าค่อนข้างเป็นที่น่าพอใจ ถ้าไม่มีการต่อสู้ ปล่อยเอฟเฟกต์อะไรมากมาย จะสามารถทำเฟรมเรตได้ประมาณ 60 – 55FPS แต่เมื่อไหร่ถ้ามีการต่อสู้ มีเอฟเฟกต์พลัง และมีศัตรูปรากฏเยอะ ๆ บนจอเฟรมเรตจะดิ่งลงไปเป็นหลัก 45 – 40FPS ทันที ถ้าอยากได้ประสบการณ์แบบลื่น ๆ ปรับกราฟิกไว้ในระดับกลางจะให้ประสบการณ์ที่ดีกว่า

ทดสอบ Xiaomi 13T Pro Genshin Impact

ส่วนในรุ่น Pro นั้น เนื่องจากเป็นชิปเรือธงตัวที่แรงเป็นอันดับต้น ๆ ของฝั่ง Android ดังนั้น การเล่น Genshin Impact จึงสามารถปรับกราฟิกไว้ในระดับสูงสุดทุกช่อง และเล่นได้ลื่น ๆ โดยที่เฟรมเรตอยู่ที่ระหว่าง 58 – 60FPS เท่านั้น ดังนั้นถ้าใครจะซื้อมาเล่นเกมกราฟิกโหด ๆ ยังไงก็ต้องตัว Pro เท่านั้น

ROV

สำหรับ ROV ในยุคนี้ถือว่าไม่ใช่เกมที่กินสเปคเท่าแต่ก่อน ดังนั้น ไม่ว่าจะชิประดับกลาง หรือระดับเรือธง ก็ให้ประสบการณ์การเล่นที่ไม่มีจุดที่ทำให้รู้สึกว่าแตกต่างกันมากเท่าไหร่ เมื่อปรับกราฟิกแบบสุดทุกอย่างแล้ว สามารถเล่นได้ลื่น ๆ 60FPS ที่โหมดกราฟิกสูงสุดเหมือนกันเลย

ไม่ว่ารุ่นเล็ก รุ่นใหญ่ก็ได้กล้อง LEICA

กล้องหลัง

ทั้ง Xiaomi 13T และ Xiaomi 13T Pro มาพร้อมกล้องชุดเซนเซอร์เดียวกัน เลนส์ LEICA VARIO-SUMMICRON เหมือนกันหมดทุกตัว ซึ่งประกอบไปด้วยกล้องหลัก 50MP พร้อมกันสั่น OIS + กล้อง Telephoto 50MP รองรับการซูมแบบ Optical 10 เท่า + กล้อง Ultrawide 12MP

แต่ด้วความที่ชิปประมวลผลแตกต่างกัน มีหน่วยประมวลผลภาพที่ต่างกัน ทำให้ภาพที่ออกมามีโทนสี และการขุดรายละเอียดในภาพแตกต่างกันนิดหน่อย โดยภาพที่ออกมาจากกล้องของ Xiaomi 13T จะมาในโทนที่มีความติดเขียวอยู่เล็กน้อย และดันความสว่างขึ้นมานิดหน่อย ส่วนตัว Pro จะขุดพวกรายละเอียดต่าง ๆ ในภาพออกมาได้ดีกว่า นอกเหนือจากนั้นทั้งสองรุ่นมาในสไตล์ภาพที่คล้ายกันมาก ๆ ไม่ค่อยต่างกันเท่าไหร่

และความพิเศษของรุ่นนี้คือ ซอฟต์แวร์กล้องที่มีการเปลี่ยนไปใช้ซอฟต์แวร์ที่ทาง Xiaomi ร่วมพัฒนาขึ้นกับ LEICA ทำให้มาพร้อมกับโหมดถ่ายภาพสนุก ๆ ที่เหมือนกับซีรีส์เรือธงอย่าง Xiaomi 13 Series ไม่มีผิด สามารถเลือกโทนภาพเป็น LEICA Authentic ที่เน้นความสมจริงเหมือนตาเห็น และ LEICA Vibrant ที่มากับโทนสีจัดจ้าน ซึ่งส่วนตัวค่อนข้างชอบ LEICA Vibrant มาก ๆ เพราะถ่ายสนุกทำให้ภาพดูมีชีวิตชีวามากขึ้น

นอกจากเรื่องของโทนภาพ LEICA Look ทั้งสองแบบแล้ว Xiaomi 13T Series ยังมาพร้อมกับฟิลเตอร์พิเศษจาก LEICA ถึง 6 แบบด้วยกัน ช่วยสร้างอารมณ์ให้แต่ละรูปถ่ายในรูปแบบที่แตกต่างกัน โดยฟิลเตอร์ใหม่ที่มีการเพิ่มเข้ามาในรุ่นนี้คือ LEICA Sepia ให้ความรู้สึก Retro ย้อนยุค และ LEICA Blue ที่ให้ภาพขาวดำที่มีสีอมฟ้า ๆ ติดมานิดหน่อย

ส่วนโหมดภาพถ่ายแบบบุคคลนั้น ก็มีโหมดพิเศษ Master-lens system ที่มีให้เลือก 3 สไตล์ 3 ระยะเลนส์ โดยระยะแรกเป็น Documentary Lens 35 มม. ให้ภาพถ่ายเบลอหลังแบบสมจริงเหมือนตาเห็น / Swirly Bokeh Lens 50 มม. เน้นการถ่ายวัตถุ และบุคคลให้เด่นมากขึ้น / Soft Focus Lens 90 มม. เน้นความฟุ้งเหมือนอยู่ในฝัน ส่วนตัวคิดว่า 2 ระยะแรก เป็นสไตล์ที่น่าจะเหมาะกับการใช้ถ่ายภาพมากที่สุด ส่วนแบบ Soft Focus ค่อนข้างฟุ้งจนโอเวอร์ หาโอกาสถ่ายได้ค่อนข้างยาก

ภาพถ่ายกลางคืนนั้น ทั้งสองรุ่นสามารถดึงแสงกลับคืนมาได้อย่างยอดเยี่ยม ลด Noise ไปได้เยอะมาก ๆ แต่ถ้าเลนส์ Utrawide ส่วนตัวไม่แนะนำให้ใช้ถ่าย เพราะถึงแม้ว่าจะมีการเปิด Night Mode แต่ Noise จะยังพอมีให้เห็น และรายละเอียดจะหายไปค่อนข้างเยอะพอสมควร นอกจากนี้ ตัวกล้องอาจจะยังเคลือบลดแสงสะท้อนได้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เพราะถ้าหากในพื้นที่นั้นมีดวงไฟนิดหน่อย อาการ Lens Flare แสงรบกวนก็มีโอกาสติดเข้ามาในภาพได้บ้าง

ตัวอย่างภาพถ่ายจาก Xiaomi 13T

ตัวอย่างภาพถ่ายจาก Xiaomi 13T Pro

กล้องเซลฟี่

สำหรับกล้องเซลฟี่นั้น ทั้งสองรุ่นให้มาที่ความละเอียด 20MP ส่วนภาพที่ได้ออกมาน่าจะถูกใจใครหลาย ๆ คน เพราะว่าแค่เปิดกล้องสดก็เหมือนตบบิวตี้ให้ 1 ระดับ สำหรับคนที่ชอบก็ชอบเลย แต่ถ้าใครที่ชอบความเรียลก็อาจจะรู้สึกว่ามันดูหลอกไปเสียหน่อย อีกทั้งยังมีการดัน Sharpness ของภาพที่เยอะมาก ๆ พวกเส้นผมก็อาจจะดูคมไปสักนิด และสำหรับใครที่ผิวเข้ม ๆ หน่อย ส่วนตัวว่ารุ่นนี้ไม่ตอบโจทย์ เพราะใบหน้าของเราจะออกมาในสีแดงแปร๊ดเหมือนคนตากแดดเลยทีเดียว

งานวิดีโอ

นอกจากนี้ ในรุ่น Pro ยังรองรับโหมดการถ่ายวิดีโอที่คุณภาพสูงถึง 8K@24FPS รวมถึงรองรับการถ่ายวิดีโอแบบ 10-bit log สามารถนำเอาไปเกรดสีเองผ่านโปรแกรมตัดต่อเทพ ๆ ได้ รวมถึงรองรับการ Import ค่าสี LUT มาใช้ในการถ่ายด้วย ส่วนตัวมาตรฐานจะรองรับแค่ 4K@60FPS เท่านั้น ไม่รองรับการถ่าย 10-bit log ส่วนตัวอย่างงานวิดีโอนั้น สามารถเข้าไปดูเต็ม ๆ ในคลิปได้เลย

ปัญหากล้องฝ้าขึ้นเลนส์ เราเจอมั้ย?

ปัญหาเรื่องฝ้าขึ้นเลนส์ ถือน่าจะเป็นเรื่องที่หลาย ๆ คนกังวลมากที่สุดใน Xiaomi 13T และ Xiaomi 13T Pro จากข้อมูลที่รวบรวมมาจากกลุ่มผู้ใช้งานในรุ่นนี้ อาการจะขึ้นเมื่อใช้งานกล้องไปประมาณ 2 – 4 นาที ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะเกิดขึ้นเมื่อถ่ายวิดีโอความละเอียดสูง 4K หรือ 8K หลังจากนั้นจะมีฝ้าเกิดขึ้นที่ตัวกล้อง

โดยเครื่องที่เราได้มาทดสอบทั้งสองรุ่นนั้น ได้ผ่านทั้งการถ่ายภาพและวิดีโอทั้งกลางแจ้งและในที่ร่มเปิดแอร์ หรือแม้กระทั่งขณะฝนตกปรอย ๆ ก็ไม่เจอปัญหากล้องฝ้าขึ้นที่เลนส์ นอกจากนี้ เราก็ได้ทดสอบแบบจริงจัง นำ Xiaomi 13 T Pro ไปทดสอบถ่ายวิดีโอ 8K ในห้องแอร์เป็นเวลาเกือบ ๆ 10 นาที หลังจากนั้นก็นำออกไปถ่ายในพื้นที่แดดจัด ๆ ทันทีก็ยังไม่เจอปัญหาที่ว่านี้

รวมปัญหา Xiaomi 13T Series หลังผู้ใช้งานพบปัญหาฝ้าขึ้นเลนส์กล้อง แบรนด์ชี้แจง “เป็นแค่ชั่วคราว” พร้อมแนะนำวิธีแก้ไขปัญหาเบื้องต้น

อย่างไรก็ตาม หากใครกังวลเรื่องปัญหาที่ว่านี้ ทาง Xiaomi ก็ได้ออกมาชี้แจงพร้อมแนะวิธีแก้ปัญหาแล้ว แต่อย่างไรก็ตาม ขั้นตอนที่ทาง Xiaomi แนะนำมา เป็นเพียงแค่การแก้ไขเฉพาะหน้าเท่านั้น และอาจมีโอกาสกลับมาเป็นได้อีก ใครที่ไม่สบายใจ สามารถติดต่อกับศูนย์บริการของ Xiaomi เพื่อขอคำแนะนำได้โดยตรง

แบตเตอรี่ และการชาร์จ

Xiaomi 13T และ Xiaomi 13T Pro มาพร้อมแบตเตอรี่ขนาด 5,000 mAh เท่ากัน แต่จะแตกต่างกันที่สเปคการชาร์จเร็ว โดยรุ่นมาตรฐานนั้นจะรองรับการชาร์จไว 67W โดยทางแบรนด์ได้เคลมว่าสามารถชาร์จจาก 0 – 100% ใช้เวลาเพียง 42 นาที ส่วนในรุ่น Pro จะรองรับชาร์จไวติดสปีด 120W ใช้เวลาชาร์จจาก 0 – 100% เพียง 19 นาทีเท่านั้น แต่น่าเสียดายที่รุ่นนี้ตัดหัวชาร์จออกจากกล่องเป็นที่เรียบร้อย ถ้าของแถมหมดจะต้องซื้อแยกเท่านั้น

Xiaomi 13T

สำหรับความอึดนั้น ทั้ง Xiaomi 13T และ Xiaomi 13T Pro สามารถใช้งานได้ตลอดทั้งวันแน่นอน โดยในรุ่นมาตรฐานนั้นจากที่ได้นำออกไปทดสอบถ่ายรูป ถ่ายวิดีโอทั้งวัน หลังจากนั้นก็ได้ปล่อยสแตนด์บายเป็นระยะเวลา 2 วัน เต็ม ๆ หลังจากนั้นก็ได้หยิบมาทดสอบเกมทั้ง Genshin Impact และ ROV และนำไปถ่ายรูปเพิ่มเติมต่อ ในระยะเวลาสแตนด์บายทั้งหมดเกือบ 70 ชั่วโมง แบตเตอรี่เหลืออยู่ที่ 32%

Xiaomi 13T Pro

Xiaomi 13T Pro จากที่ได้ลองใส่ซิม ใช้งานจริงจังโดยเปิดแสงจอไว้ที่ 100% ตลอดทั้งวัน ระหว่างการทดสอบมีการเล่นเกม ทั้ง Genshin Impact, ROV และ PUBG Mobile แบบปรับกราฟิกสูงสุดทุกแอป ใช้กล้องถ่ายรูปถ่ายวิดีโอ หลังจากนั้นเปิดดู YouTube ความละเอียด 4K@60FPS HDR เป็นเวลาอีกกว่า 4 ชั่วโมง ในระยะเวลาสแตนด์บายเกือบ 12 ชั่วโมง แบตเตอรี่เหลืออยู่ที่ 19% ดังนั้นไม่ว่างานหนัก หรืองานเบาทั้งสองรุ่นก็เอาอยู่

สรุปการใช้งาน

จากที่ได้ลองเล่นเป็นระยะเวลาสั้น ๆ Xiaomi 13T Series ถือว่าเป็นมือถือในกลุ่ม Mid-Range – Budget Flagship ที่ลงตัว และคุ้มค่าที่สุดแล้วในปี 2023 นี้ (ถ้าไม่ติดปัญหาเรื่องเลนส์กล้อง) เพราะสเปคที่ได้เรียกว่าจัดเต็มที่สุดในกลุ่มราคาเดียวกัน ทั้งด้านดีไซน์ที่เขยิบมาใช้ฝาหลังที่มีวัสดุที่พรีเมียมขึ้น ได้กล้อง LEICA ครบทุกระยะเหมือนรุ่นใหญ่ กับซอฟต์แวร์ที่ปรับจูนสีภาพออกมาได้ดูดี โหมดถ่ายภาพเยอะ ถ่ายสนุกมาก ๆ แถมยังได้สเปคที่แรงจัดเต็ม กับการการันตีซอฟต์แวร์ที่นานมาก ๆ ถ้าไม่เจอปัญหาอะไร ซื้อครั้งเดียวใช้งานกันได้ยาว ๆ เลย

จุดที่ชอบ

  • ได้กล้องครบทุกระยะ ในราคาเริ่มต้นแค่ 15,699 บาท
  • กล้องหลังคุณภาพดี โทนสีสวย รายละเอียดครบ
  • ได้ซอฟต์แวร์กล้องระดับมืออาชีพจาก LEICA
  • โหมดกล้องหลากหลาย ถ่ายสนุก
  • ถ่ายวิดีโอคุณภาพสูงได้ทั้ง 8K และ 10-bit LOG (เฉพาะรุ่น Pro)
  • จอแสดงผลคุณภาพดีมาก สว่างเทียบชั้นเรือธง ลื่นไหล 144Hz
  • ได้ชิปประสิทธิภาพดี เล่นได้ทุกเกม
  • ความจุเยอะ ไม่ว่าจะรุ่นเริ่มต้น หรือรุ่น Pro
  • มีลำโพงคู่ Dolby Atmos
  • การันตีอัปเกรดซอฟต์แวร์ให้ยาวนาน (อัปเดตข้ามเวอร์ชั่น 4 ปี อัปเดตแพทช์ความปลอดภัย 5 ปี)
  • รุ่น Pro ชาร์จเร็วทันใจ เต็ม 100% ใช้เวลาไม่ถึง 20 นาที

จุดพิจารณา

  • ผู้ใช้งานหลายรายเจอปัญหาฝ้าขึ้นกล้อง (ตามที่ Xiaomi ชี้แจง)
  • ไม่มีหัวชาร์จแถมมาในกล่องทุกรุ่น
  • วิดีโอ 8K ถ่ายออกมาแล้วค่อนข้างกระตุกพอสมควร
  • ภาพถ่ายกลางคืน อาจเจอ Lens Flare บ้างในบางครั้ง
  • กล้อง Telephoto ไม่มีเซนเซอร์กันสั่น OIS เวลาซูมไกลอาจลำบากนิดหน่อย
  • ลำโพงคุณภาพเสียงค่อนข้างธรรมดา

ราคา และการวางจำหน่าย

Xiaomi 13T Series ทั้งสองรุ่นเข้ามาวางจำหน่ายในประเทศไทยครบทั้ง 3 สี 2 วัสดุ ได้แก่ สีดำ Black และ สีเขียว Meadow Green ที่ใช้กระจกเงางาม ส่วนสีฟ้า Alpine Blue จะมาในวัสดุหนัง Vegan ส่วนราคา และรุ่นความจุ ดังนี้

  • Xiaomi 13T รุ่นมาตรฐาน (12GB + 256GB) ราคา 15,990 บาท
  • Xiaomi 13T Pro (12GB + 512GB) ราคา 19,990 บาท
  • Xiaomi 13T Pro (16GB + 1TB) ราคา 23,990 บาท