หลังจาก Xiaomi เริ่มเข้ามาในขายไทยผ่านทางไบรท์สตาร์ (Brightstar) ซึ่งในช่วงแรกยังมีแค่เพียงสมาร์ทโฟนอย่าง Xiaomi Mi 4 เท่านั้น แต่ได้ยินแว่วๆ ว่าในครึ่งปีหลังจะมีเข้ามาอีกหลายรุ่น และในวันนี้ก็มาถึงคิวแท็บแล็ตอย่าง Mi Pad (รุ่น 16 GB) ที่ EZ Commerce (Thailand) นำเข้ามาขายในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ โดยราคาเปิดตัวอยู่ที่ 8,900 บาทที่มาพร้อมกับการรับประกัน 1 ปีเต็ม ซึ่งในวันนี้ผมจะมาบอกเล่าประสบการณ์หลังจากที่มีโอกาสได้ทดลองใช้มากว่าเกือบสามสัปดาห์
สเปก
- CPU NVIDIA Tegra K1 Quad-core 2.2GHz
- GPU NVIDIA 192 Kepler™
- RAM 2GB
- หน่วยความจำภายใน 16GB
- รองรับ microSD card สูงสุด 128 GB
- หน้าจอ IPS ขนาด 7.9 นิ้ว อัตราส่วน 4:3 ความละเอียด 2048 x 1536 pixels
- กล้องหลัง 8 MP
- กล้องหน้า 5 MP
- แบตเตอรี่ 7600 mAh
- MIUI 6 (Android 4.4.4)
แกะกล่อง
ตัวกล่องจะเป็นกระดาษสีน้ำตาลแบบไม่ฟอกสี ภายในกล่องจะมีเพียงตัวเครื่อง Mi Pad, คู่มือ, ที่เสียบช่องใส่ microSD card, สาย micro USB, adapter สำหรับชาร์จไฟแบบธรรมดา (5V/2A) และใบรับประกัน Mi Pad โดย EZ Commerce เท่านั้น โดยตัว Mi Pad สามารถรองรับที่ชาร์จไฟแบบเร็วได้ด้วย แต่ไม่ได้แถมอุปกรณ์มากับในกล่องต้องหาซื้อแยกเอง
ตัวเครื่อง
ตัวเครื่อง Mi Pad ใช้วัสดุเป็นพลาสติกโพลีคาร์บอเนตเคลือบเงา ส่วนบริเวณหน้าจอใช้วัสดุเป็นกระจกที่ถูกเคลือบด้วย Gorilla® Glass 3
ด้านล่างจะมีช่องสำหรับเชื่อมต่อสาย micro USB
ทางด้านซ้ายบนจะทีช่องสำหรับใส่ microSD card
ด้านบนใกล้ๆ กับโลโก้จะมีช่องเสียบหูฟังขนาด 3.5 มม.
ด้านขวาจะเป็นปุ่ม เพิ่ม/ลด เสียง กับปุ่ม เปิด/ปิด เครื่อง
ถึงหน้าจอที่ดูเหมือนใหญ่ถึง 7.9 นิ้ว แต่ก็สามารถจับด้วยมือเดียวได้สบายๆ
หน้าของระบบ (UI)
MIUI บน Mi Pad นั้นไม่ค่อยมีลูกเล่นอะไรเท่าไร เพราะตัดฟีเจอร์ MIUI ที่มีอยู่บนสมาร์ทโฟนออกไปเกือบหมด เช่น ระบบธีม (theme) ระบบจำกัดสิทธิการเข้าถึงของแอพ (app permission) และอื่นๆ เป็นต้น ถ้าเอา Launcher ตัวอื่นมาลงแทน Launcher เดิมของเครื่อง ความรู้สึกตอนใช้งานแทบไม่ต่างจากแท็บแล็ต Nexus เลย
โดยหน้าตา Launcher ของ MIUI บนแท็บแล็ตจะต่างจากหน้าตาของ MIUI บนสมาร์ทโฟนอยู่หน่อยนึง โดยจะแบ่งออกเป็น 2 ฟาก โดยฟากซ้ายเป็นฟากของวิตเจ็ต ส่วนฟากขวาเป็นฟากของแอพทั้งหมดที่มีในตัวเครื่อง ซึ่งจะไม่เหมือนกับบนสมาร์ทโฟนที่จะไม่มีการแบ่งฟาก ทั้งวิตเจ็ตจะรวมกันอยู่กับแอพทั้งหมด
ROM MIUI ที่ติดมากับ Mi Pad เป็นเวอร์ชันแบบ Global ที่มาพร้อมกับ Google Services (รวมถึง Google Play Store) ไม่จำเป็นต้องมาลงเองทีหลัง โดย Mi Pad นั้นมาพร้อมกับ MIUI 6 บนระบบปฏิบัติการ Android 4.4.4 (Kitkat) แต่ยังไร้วี่แววที่จะได้รับการอัพเดต Android 5.0 (Lollipop) และดูเหมือนว่า Mi Pad จะไม่ได้รับการอัพเดตเป็น MIUI 7 อีกด้วย
แต่ถึงจะไม่ได้รับอัพเดตเป็น Lollipop แต่ทาง Xiaomi ก็ยังปล่อยอัพเดตแก้บั๊กและเรื่องความปลอดภัยมาอยู่เรื่อยๆ ยกตัวอย่างเช่นเรื่องช่องโหว่ร้ายแรงอย่าง stagefright ไม่มีโผล่ให้เห็นใน Mi Pad แล้ว
หมายเหตุ MIUI 6 นั้นมีสองเวอร์ชัน ระหว่างเวอร์บนระบบปฏิบัติการ Android เวอร์ชัน Kitkat และ Lollipop (4.4.x – 5.1.x)
ความบันเทิง เกม และ เสียง
เนื่องจาก Mi Pad มาพร้อมกับหน่วยประมวลผลทางกราฟิก Kepler ที่มีจำนวน core สูงถึง 192 core ทำให้การเล่นเกมค่อนข้างลื่นไหล ประกอบกับความสดของหน้าจอ IPS และหน้าจอที่มีขนาดใหญ่ถึง 7.9 นิ้ว ทำให้อรรถรสของการเสพสื่อบันเทิงนั้นเต็มตาเต็มอารมณ์มากยิ่งขึ้น แต่ยังมีข้อเสียแอพเล่นไฟล์วิดีโอที่ติดมากับ Mi Pad เวลาเล่นไฟล์มีเดียบางไฟล์แล้วมีอาการหน่วงเวลาเราเลื่อนวิดีโอไปในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง จนบางครั้งมันค้างจนเกิดอาการ force close ไปเลย แต่เปิดกับแอพอื่นบน Play Store หรือแอพเล่นไฟล์มีเดียที่ติดมากับ Google+ กลับไม่มีปัญหาในเรื่องนี้
การเล่นเกมชิปเซ็ตของ NVIDIA ขึ้นชื่อเรื่องนี้อยู่แล้ว ยิ่งบางเกมที่ถูกออกแบบมาให้รองรับชิปเซ็ตนี้โดยเฉพาะทำให้แอฟเฟคในเกมต่างๆ ดูสวยงามยิ่งขึ้น (เกมที่ลองในรูปด้านบนมาจาก Dead Triger 2 ซึ่งรองรับชิปเซ็ต NVIDIA) และเมื่อได้ควบคุมเกมผ่านจอยคอนโทรเลอร์ยิ่งทำให้สนุกยิ่งขึ้นเหมือนกำลังเล่นเกมผ่านเครื่องคอนโซลขนาดพกพา
แต่เรื่องเสียงผ่านลำโพงอาจจะไม่ดีเลิศเท่าแท็บแล็ตราคาแพงๆ แต่ก็ถือว่าดีในระดับหนึ่ง (ตามราคา) ส่วนเสียงผ่านหูฟังก็ขึ้นอยู่กับคุณภาพของหูฟังที่เราใช้ โดยในหน้าการตั้งค่าเราสามารถโปรไฟล์หูฟังตามประเภทหูฟังที่เราใช้หรือเลือกตามรุ่นของหูฟังที่ Xiaomi ขาย
ประสิทธิภาพและ Benchmark
เนื่องด้วยหน้าจอ Mi Pad มีความละเอียดสูงถึง 2048×1536 เกือบเท่าความละเอียด 2K (2560 × 1440) ทำให้เวลารันแอพแต่ละแอพตัว Mi Pad จำเป็นต้องใช้หน่วยความจำใน RAM ที่มากขึ้น ทำให้การทำงานแบบ multi-tasking มีปัญหา เพราะถ้าเปิดแอพพร้อมกันหลายๆ ตัว จน RAM ที่มีอยู่ไม่พอ ตัวระบบ Android จะทำการปิดแอพบางตัวเพื่อให้มี RAM เหลือในการรันแอพที่กำลังทำงานอยู่บนหน้าจอ ทำให้เวลาสลับหน้าแอพไปมาเราจะพบว่าแอพบางส่วนได้ถูกปิดไป ต้องเสียเวลารอให้แอพนั้นเปิดตัวขึ้นมาใหม่อีกรอบ
และนั่นอาจเป็นเหตุผลที่ Xiaomi จำเป็นต้องตัดฟีเจอร์ใน MIUI ออกจาก Mi Pad ไปแทบเกือบจะหมด แต่ถึงอย่างนั้น การใช้งานโดยรวมไม่ได้พบอาการหน่วงหรืออาการกระตุกแม้แต่อย่างใด แต่อาจจะรำคาญหน่อยตอนช่วงสลับแอพ ถ้าหากเปิดแอพค้างไว้ในระบบมาก
ดังนั้นจึงไม่ต้องแปลกใจเมื่อคะแนน benchmark ที่ได้ออกมาของ Mi Pad ได้สูงพอสมควรอย่างใน Antutu ได้คะแนน 50322 ส่วนของ 3DMark ได้คะแนนไป 26566
ปล. เรื่องความสัมพันธ์กันระหว่างความละเอียดของหน้าจอและ RAM สามารถไปอ่านเพิ่มเติมได้ที่ blog ของพี่เนยในเรื่อง รู้ไว้ใช่ว่า ความละเอียดจอมือถือแอนดรอยด์ส่งผลต่อจำนวนแอปที่เปิดค้างไว้ได้
แบตเตอรี่
เรื่องความถึกของแบตเตอรี่ทนหายห่วง เพราะ Mi Pad มาพร้อมกับความจุที่สูงถึง 6700 mAh ซึ่งถือว่าเยอะมากสำหรับแท็บแล็ต จากเท่าที่ทดสอบดูหนังผ่านอินเตอร์สองเรื่องติดกัน (Youtube) แบตเตอรี่ลดลงไปแค่ 45% เท่านั้น ซึ่งถือว่าสมราคาคุยเพราะ Xiaomi การันตีมาว่า Mi Pad สามารถดูหนังได้ยาวนานถึง 11 ชม.
แต่ข้อเสียอย่างเดียวของ Mi Pad อยู่ที่การชาร์จไฟ เนื่องด้วยความจุที่เยอะบวกกับอุปกรณ์การชาร์จที่แถมมาให้ในกล่องนั้นยังไม่ได้รองรับเทคโนโลยีชาร์จเร็ว (5V/2A) ทำให้ในการชาร์จแต่ละครั้งใช้เวลายาวนานมาก จาก 1% – 100% ใช้เวลาการชาร์จกว่า 4 ถึง 5 ชม. แต่ถึง Mi Pad จะรองรับอุปกรณ์ที่รองรับการชาร์จเร็ว (9V/1.2A) แต่ก็ถือว่ายังใช้เวลานานอยู่ดีเพราะใช้เวลาในการชาร์จกว่า 3.5 ชม.
ปล. สามารถเสียบกับคอมพิวเตอร์แล้วชาร์จได้ด้วย แต่เปอร์เซ็นแบตขึ้นช้ามากกกกกก
สรุป
ถึงแม้ราคาที่นำเข้าไทยอาจจะแพงไปนิดนึง (เมื่อเทียบกับเครื่องหิ้วต่างกันพันนิดๆ) แต่ได้ความอุ่นใจในการรับประกัน โดยรวมแล้วอาจจะมีข้อเสียให้ขัดใจบ้างในเรื่องการชาร์จที่ต้องใช้เวลานานมาก แต่สิ่งที่ได้กลับมาคือว่าอึดของแบตเตอรี่ที่อยู่ได้นานมากเช่นกัน เหมาะกับการเดินทางไกล ดูหนัง ฟังเพลง ได้เป็นเวลานานๆ โดยไม่ต้องกังวลกับปัญหาแบตเตอรี่ว่าจะหมด
ส่วนข้อเสียอีกอย่างคือ Mi Pad นั้นไม่มีฮาร์ดแวร์ที่เกี่ยวกับการนำทาง GPS ดังนั้นใครคิดที่จะซื่อแท็บแล็ตมาเพื่อติดรถไว้นำทาง Mi Pad ไม่เหมาะ เพราะ Mi Pad ถูกออกแบบมาเพื่อตอบสนองความบันเทิงซะมากกว่า ถ้าหากใครสนใจ Mi Pad ที่มาพร้อมกับการรับประกันสามารถเข้าไปดูรายละเอียดหรือสั่งซื้อผ่านออนไลน์ได้ที่ mipad.in.th
เห็นแฟนๆบอกว่าโหมดกล้องขาด HDR Pro ที่เป็นจุดเด่นของมือถือ Mi ในรุ่นใหม่ๆ เสียดายเหมือนกันครับ
HDR โปร นี่เจ๋งจิงครับ
เบื่อกูเกิ้ล ชักพา ให้ ใช้หน้าจอ 4:3
ผมเลยต้องซื้อ Tab S 8.4 มือสองมาใช้
รุ่นนี้ไม่น่าสนใจซักนิด Ipad mini ดีกว่า
น่าจะมาพร้อม Android 5 เลย แต่ spec กับราคา โดยรวมน่าสน
no sim
เรื่องการชาร์จ ถ้าใช้ที่ชาร์จที่แถมมากันเครื่อง จาก 1X ถึง 100% ประมาณ 3 ชั่วโมงกว่าเอง แต่เคยลองใช้ที่ชาร์จNote3 +สายชาร์จโนเนม ใช้เวลา 5 ชั่วโมงเต็ม
ผมว่าตัวนี้กับ IPad ซื้อ IPad With Cellurar ดีกว่า
มันก็ดีกว่าแน่นอนครับ ถ้ามันราคาเท่ากัน
แต่สำหรับหลายๆคนที่นี้ ต่อให้ ipad ถูกแสนถูกก็ไม่ซื้อ
ปัจจุบันร้านรับหิ้ว 5พันกว่าเองครับ ซื้อได้เกือบ 2 เครื่อง ipad wifi
ผมอยากจะถามครับ HDR Pro ดีไหมครับบน Mi4 พอดีเห็นมีโหมดนี้
อยากได้จนเลิกอยากจนไปซื้อ tab s8.4 มาใช้แทนและ
ไม่มีรูปด้านหลังเลยครับ
แปะให้แล้วครับ ขอโทษครับลืมมมมม
"ครึ่งปีหลังจะมีหลายรุ่นจัดจำหน่าย " นี่ก็เดือน10แล้วเห็นมีแค่สองรุ่นเอง
+1
ช้ามาก ในไทยขายแค่ 2 รายการ ทั้งที่ค่าย Mi มีมือถือ, เครื่องใช้ไฟฟ้ากับแก็ดเจ็ตรวมกันกว่า 50 รายการไปแล้ว
แบตขนาดนี้ น้ำหนักเครื่องหนักมากไหมครับ
แฟนซื้อ Tab S2 มา เครื่องเบากว่า Grand1 มาก