หลังจากเปิดตัวอย่างเป็นทางการในงาน Galaxy Unpacked ทาง DroidSans ก็ไม่พลาดที่จะหยิบ Samsung Galaxy Z Fold7 มารีวิวให้เพื่อน ๆ ได้ชมกันแบบจัดเต็ม ซึ่งรอบนี้ถือว่า Samsung ได้ปรับปรุงหลายจุดตามเสียงเรียกร้องของผู้ใช้งาน โดยเฉพาะเรื่องดีไซน์ที่บางเฉียบขึ้น และการอัปเกรดความละเอียดเซนเซอร์ของกล้องหลักที่ดีขึ้นจากรุ่นก่อนหน้าอย่าง Z Fold6 แบบเห็นได้ชัด จะน่าสนใจแค่ไหน ไปดูกันเลย!

Galaxy Z Fold7 - All Color

ดีไซน์โดยรวมของ Galaxy Z Fold7 – Blue Shadow

ในงานเปิดตัว Galaxy Unpacked ครั้งนี้ Galaxy Z Fold7 มาพร้อมกับสีใหม่สุดโดดเด่น Blue Shadow ซึ่งเป็นเฉดเดียวกับ Navy Blue ที่เคยใช้ใน Galaxy S25 Series ตัวเครื่องใช้ฝาหลังกระจกแบบด้านดูพรีเมียม แต่หากใช้งานแบบไม่ใส่เคสก็จะเห็นรอยนิ้วมือค่อนข้างชัดพอสมควร ส่วนวัสดุที่เลือกใช้สำหรับเฟรมเครื่องจะเป็น Advanced Armor Aluminum ที่มีความแข็งแรงทนทานมากขึ้นจากรุ่นก่อนหน้า แต่ก็ยังให้ภาพรวมของดีไซน์ที่ดูหรูหรา และมินิมอลขึ้นกว่าเดิมครับ

ด้านการจัดวางพอร์ตเชื่อมต่อและปุ่มต่างๆ ยังอยู่ในตำแหน่งเดิมเหมือนกับรุ่นก่อนหน้า ไม่ว่าจะเป็นถาดใส่ซิมแบบ Dual Slot ปุ่มปรับระดับเสียง และปุ่มเปิด-ปิดที่รองรับการสแกนนิ้วมือด้านข้างตัวเครื่อง รวมถึงดีไซน์ของลำโพงแบบขีดยาวที่กลายมาเป็นเอกลักษณ์ใหม่ของสมาร์ทโฟน Samsung ไปแล้วในตอนนี้

แต่ไฮไลต์สำคัญของ Galaxy Z Fold7 ปีนี้ ก็ต้องยกให้เป็นเรื่อง “ความบาง” ซึ่งถูกปรับลดลงอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้าอย่าง Galaxy Z Fold6 ตัวเครื่องเมื่อกางออกจะบางเพียง 4.2 มม. และเมื่อพับจะอยู่ที่ 8.9 มม. เท่านั้น นอกจากนี้บานพับ Armor FlexHinge ยังได้รับการปรับปรุงให้บางและเบาลง ส่งผลทำให้ตัวเครื่องมีน้ำหนักเบาลงไปด้วยเพียงแค่ 215 กรัม เท่านั้น! แถมยังเบากว่า Galaxy S25 Ultra ด้วย

Galaxy Z Fold7 - Hinge

เมื่อเอามาวางเทียบกับ Galaxy Z Fold6 จากปีที่แล้ว ต้องบอกว่าบางลงจนรู้สึกเห็นได้แบบชัดเจนเลยครับ ซึ่งตรงจุดนี้เองที่เชื่อว่าแฟนๆ สมาร์ทโฟนจอพับของ Samsung จะต้องปลื้มกันอย่างแน่นอน (เพราะตัวของผู้เขียนเองก็ชอบเอามากๆ) เพราะเมื่อน้ำหนักกับตัวเครื่องบางลงแล้ว ก็ช่วยให้การพกพาและการถือใช้งานในชีวิตประจำวันสะดวกขึ้นกว่าเดิมเยอะมาก

Galaxy Z Fold7

และถึงแม้ตัวเครื่องจะบางลง แต่ความแข็งแกร่งยังคงจัดเต็มเหมือนเดิม Galaxy Z Fold7 รองรับมาตรฐาน IP48 สามารถทนฝุ่น และทนน้ำลึก 1.5 เมตรได้นานถึง 30 นาที มั่นใจได้เลยว่าไม่ใช่แค่สวยบางอย่างเดียว แต่ยังอึดใช้งานได้จริงในทุกวัน

Galaxy Z Fold7 - IP Rating
ทนน้ำทนฝุ่น IP48

หน้าจอใหญ่ขึ้น รอยพับน้อยลง เสพคอนเทนต์เต็มตากว่าเดิม

นอกจากเรื่องความบางที่เป็นจุดเด่นหลักแล้ว Galaxy Z Fold7 ยังมาพร้อมกับหน้าจอภายนอกอัตราส่วนใหม่ โดยมีการปรับอัตราส่วนหน้าจอให้กว้างขึ้น จากเดิมที่ในรุ่นก่อนๆ เราจะรู้สึกว่าหน้าจอด้านนอกของ Z Fold นั้นแคบเกินไป ดูผอมยาวเป็นพิเศษ ทำให้เวลาใช้งานแอปหรือพิมพ์ข้อความแล้วรู้สึกอึดอัดได้ง่าย ปีนี้ Samsung เลยแก้เกมด้วยการขยายหน้าจอด้านนอกจาก 6.3 นิ้ว (บน Z Fold6) ให้ใหญ่ขึ้นเป็น 6.5 นิ้ว ส่วนหน้าจอหลักด้านในก็อัปไซซ์ขึ้นเป็น 8 นิ้วแบบเต็มตา

Galaxy Z Fold7 - Screen
หน้าจอแสดงผลขนาด 8 นิ้ว (อัตราส่วน 6:5)

หน้าจอทั้งสองฝั่งใช้พาเนล Dynamic AMOLED 2X รองรับรีเฟรชเรตสูงสุด 120Hz พร้อมความสว่างจอที่ไต่ไปได้สูงสุด 2,600 นิต กับเทคโนโลยี Vision Booster ทำให้สามารถใช้งานกลางแดดได้แบบไม่ต้องเพ่งให้ปวดตา และอีกจุดที่น่าชื่นชมก็คือ รอยพับของหน้าจอที่จางลงกว่าเดิม เวลาลากนิ้วผ่านบริเวณบานพับก็แทบจะไม่รู้สึกถึงรอยพับแล้วครับ สมูทสุด ๆ

  • หน้าจอแสดงผลด้านนอกใช้กระจก Corning Gorilla Glass Ceramic 2
  • หน้าจอหลักด้านในปรับโครงสร้างให้บางและเบาลง พร้อมกับเพิ่มชั้นแผ่นไทเทเนียม และ Ultra‑Thin Glass (UTG) ที่หนากว่าเดิมถึง 50% เพื่อเพิ่มความทนทานให้หน้าจอ

แต่ก็มีสิ่งที่ต้องแลกมาอีกหนึ่งอย่างครับ เพราะการออกแบบให้เครื่องบางเฉียบแค่ 4.2 มม. ทำให้ Galaxy Z Fold7 ไม่รองรับการใช้งาน S Pen แล้ว คาดว่าได้มีการถอดฮาร์ดแวร์ S Pen Digitizer ออกไป ดังนั้นหากใครจำเป็นต้องใช้ปากกา อาจต้องหันไปใช้ Capacitive Stylus แทนครับ ซึ่งถึงแม้จะเขียนได้ แต่ความแม่นยำและแรงกดอาจไม่สู้ S Pen แบบเดิม

ฟีเจอร์ใหม่น่าสนใจบน Galaxy Z Fold7 มีอะไรบ้าง?

หลังจากที่ Samsung ปล่อยอัปเดต One UI 7 มาตั้งแต่ช่วงต้นปี 2025 ล่าสุดในงาน Galaxy Unpacked ครั้งนี้ ก็ได้เปิดตัว One UI 8 ที่พัฒนาบนพื้นฐานของ Android 16 อย่างเป็นทางการเรียบร้อยครับ โดยการเปลี่ยนแปลงรอบนี้จะเน้นไปที่การเสริมประสบการณ์การใช้งานในจุดเล็กๆ น้อยๆ โดยเฉพาะการใช้งาน Multitasking บนจอพับ ให้สะดวกและลื่นไหลมากยิ่งขึ้น รวมถึงการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์สวมใส่ (Wearables) ที่ไร้รอยต่อกว่าเดิม

Galaxy Z Fold7 - One UI 8

ใครที่ใช้งาน Galaxy Z Fold อยู่เป็นประจำ ก็คงคุ้นเคยกับการแบ่งหน้าจอ (Multi-window) กันอยู่แล้วใช่มั้ยครับ? รอบนี้ Samsung ยังคงให้ผู้ใช้งานสามารถแบ่งจอหรือสลับแอปไปมาได้อย่างอิสระเหมือนเดิม แต่ที่เพิ่มเข้ามาคือรูปแบบการแบ่งหน้าจอแบบใหม่ในสัดส่วน 90:10 โดยที่แอปหลักจะกินพื้นที่หน้าจอเกือบทั้งหมด ส่วนอีกแอปจะซ่อนอยู่มุมข้างๆ ของจอ ทำให้สามารถเรียกใช้งานแอปที่ 2 ได้ง่ายกว่าเดิมด้วยการแตะเพียงครั้งเดียว แถมยังสามารถเปิด Pop-up View ได้สูงสุดรวมกันถึง 5 แอป อีกด้วย

Galaxy Z Fold7 - Multi Window (Pop-Up View)

ในส่วนของ Flex Mode ก็ได้รับการพัฒนาให้ใช้งานได้คล่องตัวยิ่งขึ้น โดยที่เราสามารถวาง Galaxy Z Fold7 ตั้งไว้บนโต๊ะ แล้วพับหน้าจอให้คล้ายกับโน้ตบุ๊กเพื่อใช้งานได้หลายวิธี เช่น เปิดเว็บเบราว์เซอร์โดยใช้จอล่างเป็น Trackpad ได้ทันที หรือเวลาใช้กล้องหน้าในการถ่ายวิดีโอหรือเซลฟี่ หน้าจอด้านล่างก็จะกลายเป็น หน้าควบคุมกล้องและตั้งค่าต่างๆ ได้แบบเรียลไทม์เลย

Galaxy Z Fold7 - Flex Mode

Galaxy AI ตีบวกให้เก่งขึ้นบน Z Fold7

สำหรับใครที่รอดูฟีเจอร์ใหม่สุดล้ำของ Galaxy AI บน Galaxy Z Fold7 บอกเลยว่ารอบนี้ Samsung ก็ยังจัดเต็มเหมือนเคยครับ ด้วยการอัปเกรดฟีเจอร์ต่างๆ ให้ทำงานได้หลากหลายมากขึ้น โดยไฮไลต์หลักก็คือ Gemini ผู้ช่วย AI อัจฉริยะ ที่สามารถทำงานร่วมกับแอประบบของ Samsung ได้โดยตรง หรือแม้แต่การเปิดกล้องแล้วพูดคุยแบบเรียลไทม์กับ Gemini Live

ฟีเจอร์แก้ไขรูปภาพสุดครีเอทอย่าง Portrait Studio ก็ได้รับการอัปเกรดความสามารถใหม่เข้ามาเพิ่มเติมอย่าง Pet Portrait ที่คราวนี้เราสามารถสร้างภาพจากรูปถ่ายของสัตว์เลี้ยงได้ด้วย เพียงแค่เลือกรูปน้องหมาน้องแมว แล้วเลือกสไตล์ภาพที่ต้องการ เช่น 3D Cartoon, Fisheye Lens หรือ Oil Painting จากนั้น Galaxy AI จะทำการแปลงโฉมรูปให้โดยอัตโนมัติ งานนี้ทาสหมาทาสแมวต้องเลิฟกันอย่างแน่นอนครับ

  • Live Effect Photo : เปลี่ยนภาพนิ่งธรรมดาให้กลายเป็นแบบสามมิติ
  • Audio Eraser : ฟีเจอร์สำหรับลบเสียงรบกวนที่ไม่ต้องการออกไปจากคลิปวิดีโอที่ถ่ายมา
  • Chat Translation : สามารถพิมพ์แชทด้วยภาษาหลัก แล้ว Galaxy AI จะทำการแปลเป็นภาษาที่ต้องการให้โดยอัตโนมัติแบบพร้อมกดส่งทันที
  • Interpreter : ล่ามแปลภาษาอัจฉริยะ สำหรับการสนทนาต่างภาษาแบบเรียลไทม์ที่ UI จะทำการแบ่งหน้าต่างออกเป็นสองฝั่ง
  • Now Brief : รับข้อมูลที่เป็นประโยชน์ในแต่ละช่วงเวลาของวัน เช่น ระดับสุขภาพ เพลย์ลิสต์เพลงแนะนำ สภาพอากาศ เป็นต้น โดยสามารถให้ Galaxy AI อ่านสรุปเป็นเสียงให้ได้ด้วย

กล้องหลักความละเอียด 200MP ครั้งแรกของ Z Fold Series

Samsung Galaxy Z Fold7 ยังคงมาพร้อมกับกล้องหลัง 3 ตัวเหมือนเดิม โดยประกอบไปด้วยกล้องหลัก กล้องอัลตราไวด์ และกล้องซูมเทเลโฟโต้ แต่รอบนี้มีการอัปเกรดครั้งใหญ่ด้วยการเพิ่มความละเอียดเซนเซอร์กล้องหลักขึ้นจากเดิม 50MP ไปเป็นความละเอียดสูงสุดถึง 200MP ซึ่งนับเป็นครั้งแรกของ Galaxy Z Fold Series ที่ได้กล้องความละเอียดสูงขนาดนี้

Galaxy Z Fold7 - Camer Module

สเปคกล้อง Samsung Galaxy Z Fold7

  • กล้องหลัก 200MP (f/1.7)
  • กล้องอัลตราไวด์ 12MP (f/2.2)
  • กล้องเทเลโฟโต้ 10MP (f/2.4) ออปติคัลซูม 3 เท่า

การที่ Galaxy Z Fold7 เลือกหยิบเซนเซอร์ 200MP มาใช้งาน ก็ช่วยให้คุณภาพของภาพถ่ายโดยรวมนั้นมีการพัฒนาไปอีกขั้น ไม่ว่าจะเป็นความคมชัด รายละเอียดในส่วนของแสงและเงา หรือโทนสีที่ดูสมจริงมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อเปิดใช้โหมด 200MP เต็มความละเอียด ภาพที่ได้จะสามารถซูมดูรายละเอียดแบบตาแตกได้ทุกจุด เหมาะกับสายถ่ายภาพที่ต้องการความคมชัดของรูปภาพสูงเป็นพิเศษครับ

ถึงแม้กล้อง Ultra-Wide และ Telephoto จะยังมีความละเอียดเท่าเดิม แต่ก็ได้รับการปรับปรุงในเรื่องของคุณภาพภาพผ่านอัลกอริธึมประมวลผลภาพ ProVisual Engine รุ่นใหม่ ที่ทำให้สามารถประมวลผลภาพได้รวดเร็วขึ้น ภาพจึงคมชัด คอนทราสต์สดใส เก็บครบทุกรายละเอียดของแสงและ Dynamic Range โดยเฉพาะกับการถ่าย โหมด Portrait ที่ละลายฉากหลังได้เนียนตาแบบมืออาชีพ

ตัวอย่างภาพจากกล้องเทเลโฟโต้ 10MP

ตัวอย่างภาพจากกล้องอัลตราไวด์ 12MP

โดยจุดเด่นของสมาร์ทโฟนจอพับคือ เราสามารถใช้กล้องหลังคุณภาพสูงทั้ง 3 ตัวในการเซลฟี่ได้ ด้วยการพรีวิวภาพผ่านหน้าจอด้านนอก (Cover Screen) พอกางเครื่องออกมาก็สามารถถ่ายเซลฟี่ด้วยกล้องหลักได้เลยทันที จะใช้ ปุ่มชัตเตอร์ หรือยกมือขึ้นเพื่อถ่ายแบบ Palm Selfie ก็รองรับทั้งหมด

ตัวอย่างภาพเซลฟี่จากกล้องหลัง

สุดท้ายคือกล้องหน้าทั้งสองตัวครับ โดยกล้องเซลฟี่ที่จอด้านนอก (Cover Screen) มีความละเอียดอยู่ที่ 10MP และกล้องเซลฟี่ที่จอแสดงผลด้านในความละเอียด 10MP ซึ่งเป็นการเปลี่ยนจากกล้องซ่อนใต้หน้าจอมาเป็นกล้องเจาะรู (Infinity-O) ในรอบหลายปีนับตั้งแต่ Galaxy Z Fold3 ช่วยให้สามารถเก็บรายละเอียดของภาพได้ดียิ่งขึ้น ภาพมีความเป็นวุ้นน้อยลง โดยเฉพาะเวลาใช้งานในที่ที่มีแสงน้อย

เปรียบเทียบภาพกล้องหน้า Z Fold6 และ Z Fold7

การใช้งานถ่ายงานวิดีโอบน Galaxy Z Fold7

ในส่วนของการถ่ายวิดีโอบน Galaxy Z Fold7 ก็ได้มีฟีเจอร์ Smooth Zoom มาให้ใช้งานด้วย โดยสามารถใช้งานผ่านโหมดปกติได้เลย ไม่จำเป็นต้องเข้าโหมด Pro Video พร้อมรองรับการถ่ายวิดีโอแบบ 10-bit HDR ทำให้วิดีโอนั้นมีคอนทราสต์ที่ชัดเจน และแสดงรายละเอียดได้อย่างเป็นธรรมชาติ ไม่ว่าตอนกลางวันหรือกลางคืน

Galaxy Z Fold7 - Smooth Zoom

แต่ถ้าใครที่อยากจะจริงจังกับงานวิดีโอ อยากนำไฟล์ไปแต่งต่อในโปรแกรมตัดต่อแบบมืออาชีพ ก็สามารถเข้า โหมด Pro Video เพื่อเปิดใช้งาน โหมด LOG ที่รองรับการถ่าย 4K 60FPS ได้ทันทีด้วยนะครับ พร้อมให้เราดึงไฟล์ออกไปปรับสีต่อในโปรแกรมอื่นๆ ได้แบบไม่เสียคุณภาพ

ชิปเซ็ต Snapdragon 8 Elite for Galaxy จอพับที่เร็วแรงที่สุด

สำหรับชิปเซ็ตประมวลผล ที่เป็นหัวใจหลักของ Samsung Galaxy Z Fold7 รอบนี้ก็ไม่ทำให้ผิดหวัง เพราะเลือกใช้ชิปเซ็ตตัวแรงสุดจาก Qualcomm อย่าง Snapdragon 8 Elite for Galaxy ซึ่งขึ้นชื่อในเรื่องของ ความเร็วและความแรง พร้อมความสามาถในการจัดการพลังงานที่ดีอยู่แล้ว

แต่แน่นอนว่าคำว่า แรง บนสเปคกระดาษอาจยังไม่พอสักเท่าไหร่ ทีมงาน DroidSans เลยขอทดสอบด้วยการนำ Galaxy Z Fold7 ไปลองเล่นเกมยอดฮิตเพื่อดูว่า การใช้งานจริงจะออกมาลื่นไหลแค่ไหน บนหน้าจอใหญ่ขนาด 8 นิ้วของสมาร์ทโฟนจอพับรุ่นนี้

Genshin Impact

ใช้ชิปเซ็ตตัวท็อปอย่าง Snapdragon 8 Elite for Galaxy ทั้งที ก็ขอเริ่มด้วยเกมอย่าง Genshin Impact กันก่อน สำหรับการเล่นในระยะเวลากว่า 30 นาทีติดต่อกัน Galaxy Z Fold7 สามารถมอบประสบการณ์การเล่นที่ดีทั้งในแง่ของเฟรมเรต และการควบคุมความร้อน ในการเล่นแบบปรับกราฟิกสูงสุด และเฟรมเรต 60FPS เรียกได้ว่าไม่มีปัญหาเลยครับ ถึงแม้ตัวเครื่องจะมีความร้อนที่สูงขึ้น แต่ Performance และความเสถียรก็ไม่ได้ดรอปลงไปเลย

RoV

เกมระดับพื้นฐานอย่าง ROV กับพลังของชิปเซ็ต Snapdragon 8 Elite นั้น แรงล้นเหลือเฟือครับ สามารถปรับการแสดงผล HD ไปที่ระดับสูงสุด เปิดเอฟเฟกต์หมอกหรือซอฟต์ไลท์ 60FPS เล่นแบบเฟรมเรตเกาะ 59-60FPS ได้อย่างต่อเนื่อง ลื่นไหลไม่มีสะดุด แม้จะเป็นจังหวะไฟต์หนักหรือมีการปล่อยเอฟเฟคกันแบบต่อเนื่อง

PUBG Mobile

PUBG Mobile รองรับการปรับตั้งค่ากราฟิกสูงสุดที่ Ultra HDR และเฟรมเรต Ultra (45FPS) แต่เราสามารถปรับกราฟิกให้ไปอยู่ที่ Smooth เพื่อดันให้เฟรมเรตทะลุไปได้สูงถึง Extreme+ (90FPS) ตลอดการเล่นสามารถทำเฟรมเรตได้เฉลี่ยอยู่ที่ 85-90FPS อาจจะมีในช่วงเริ่มต้นแมตช์ที่จะรู้สึกได้ถึงอาการกระตุกเพียงเล็กน้อย แต่หลังจากนั้นไม่นานก็กลับมาลื่นตามปกติ

สำหรับใครที่ต้องการเล่นเกมด้วยการใช้หน้าจอด้านใน แล้วเจอปัญหาอัตราส่วนหน้าจอแบบสี่เหลี่ยมทำให้ UI หรือการแสดงผลของเกมผิดเพี้ยน คอนเทนต์บนหน้าจอโดนครอปหายไปเยอะ เราก็สามารถทำการตั้งค่าได้ตามต้องการเลยครับว่าเมื่อกางหน้าจอแล้วเปิดแอปพลิเคชันแต่ละตัว ต้องการให้หน้าจอแสดงผลในอัตราส่วนเท่าไหร่ (ค่าเริ่มต้น, เต็มหน้าจอ, 4:3 และ 16:9)

ในเรื่องของอุณหภูมิถึงแม้ว่าชิปเซ็ต Snapdragon 8 Elite จะมีคสามแรงในการประมวลที่สูง แต่ก็ไม่ทำให้ตัวเครื่องร้อนขึ้นมาจนเยอะเกินไปแต่อย่างใดครับ โดยอุณหภูมิที่เราวัดได้สูงสุดขณะเล่นเกมจะอยู่ที่ประมาณ 41.1 – 42 องศา

เครื่องบางลง แต่แบตเตอรี่ไม่น้อยลง

แม้ตัวเครื่องของ Galaxy Z Fold7 จะบางลงอย่างเห็นได้ชัด แต่ความจุแบตเตอรี่ก็ยังคงอยู่ที่ 4,400mAh เท่าเดิมครับ ไม่ได้ถูกลดขนาดลงแต่อย่างใด พร้อมรองรับการชาร์จไว 25W แบบเดิม ซึ่งในการใช้งานจริงต้องบอกว่า สามารถใช้งานทั่วไปได้ครบทั้งวัน แบบไม่ต้องพก Power Bank ให้หนักกระเป๋า ไม่ว่าจะเป็นการเล่นโซเชียล ทำงาน ดูคลิป ฟังเพลง หรือเล่นเกมเบาๆ สลับใช้งานทั้งหน้าจอด้านในและด้านนอกก็เอาอยู่

Galaxy Z Fold7 - Battery

อีกหนึ่งจุดเด่นที่ช่วยให้ Galaxy Z Fold7 ประหยัดพลังงานได้ดียิ่งขึ้น ก็คือการที่ Samsung ใส่เทคโนโลยี mDNIe (mobile Digital Natural Image engine) เข้ามาช่วยในการจัดการการใช้พลังงานให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ลดการใช้พลังงานโดยไม่กระทบต่อคุณภาพหน้าจอ และประสบการณ์ในการใช้งานทั่วไป ทำให้ Galaxy Z Fold7 สามารถมีระยะเวลการใช้งานที่นานกว่า Galaxy Z Fold6 ถึงแม้จะมีความจุแบตเท่าเดิมก็ตาม

สรุปการใช้งาน Samsung Galaxy Z Fold7

แม้จะเป็นแค่ช่วงเวลาสั้นๆ ที่ได้ลองใช้งาน Galaxy Z Fold7 แต่ผู้เขียนก็สัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน รวมถึงความตั้งใจของ Samsung ที่พยายามจะทำตามเสียงเรียกร้องของกลุ่มผู้ใช้งานในหลายๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นดีไซน์ที่บางเฉียบและน้ำหนักที่เบาลง ช่วยให้จับถือได้สะดวกและคล่องตัวมากยิ่งขึ้น

หน้าจอด้านนอกที่ถูกออกแบบให้กว้างขึ้นกว่าเดิม ส่งผลให้การแสดงผลดูเต็มตามากขึ้นและใช้งานได้ง่ายขึ้น ส่วนระบบปฏิบัติการ One UI 8 ก็ถือเป็นอีกหนึ่งจุดแข็ง ด้วยความเสถียรในระดับท็อปของฝั่ง Android และที่สำคัญคือแอปพลิเคชันหรือฟีเจอร์การใช้งานต่างๆ ก็มีการปรับแต่งมาให้รองรับกับการใช้งานบนจอพับได้อย่างลื่นไหลและมีประสิทธิภาพอีกด้วย

สำหรับก้าวต่อไปของ Galaxy Z Fold Series สิ่งหนึ่งที่หลายคน—รวมถึงตัวผู้เขียนด้วย—อยากเห็นใน Galaxy Z Fold8 คือการปรับปรุงในเรื่องของแบตเตอรี่และความเร็วในการชาร์จ เพราะในยุคที่แอปพลิเคชันและฟีเจอร์ต่างๆ ใช้พลังงานแบตเตอรี่มากขึ้นเรื่อยๆ การมีแบตเตอรี่ความจุที่มากขึ้นก็จะช่วยให้สามารถใช้งานได้แบบต่อเนื่องตลอดวันมั่นใจยิ่งขึ้นครับ

และในขณะเดียวกัน ความเร็วในการชาร์จในปัจจุบันที่ยังคงอยู่ที่ 25W ซึ่งถือว่าน้อยไปหน่อยเมื่อเทียบกับมาตรฐานของสมาร์ทโฟนระดับเรือธงในปี 2025 โดยเฉพาะในยุคที่พวกเราต่างก็มีไลฟ์สไตล์ที่เร่งรีบ การต้องรอนานๆ เพื่อให้แบตเต็มอาจกลายเป็นจุดที่ทำให้ประสบการณ์ใช้งานสะดุดได้ ถ้า Samsung สามารถอัปเกรดทั้งขนาดแบตเตอรี่และความเร็วการชาร์จให้สมกับความเป็น Flagship Foldable ได้สำเร็จ เชื่อว่า Galaxy Z Fold8 จะกลายเป็นรุ่นที่ครบเครื่องและตอบโจทย์ผู้ใช้ได้ดียิ่งขึ้นอย่างแน่นอนครับ

ราคาและการวางจำหน่าย

Galaxy Z Fold7 - All Design and Color

Samsung Galaxy Z Fold7 เปิดตัวมาพร้อมกับดีไซน์สีที่มีให้เลือกถึง 3 สีได้แก่ สีน้ำเงิน (Blue Shadow) สีเทา (Silver Shadow) สีดำ (Jedt Black) และสีพิเศษสำหรับการสั่งซื้อผ่าน Samsung Online Store โดยเฉพาะอีก 1 สี ได้แก่ สีเขียว (Mint Green) โดยมีราคาและตัวเลือกความจุดังนี้

  • 12GB + 256GB : ราคา 67,900 บาท
  • 12GB + 512GB ราคา 72,900 บาท
  • 16GB + 1TB ราคา 85,900 บาท