Galaxy S24 FE ของซัมซุง และ iPhone 16 ของแอปเปิล น่าจะถือเป็นคู่ชกที่น่าสนใจที่สุดคู่หนึ่งในเวลานี้ เนื่องด้วยทั้งสองรุ่นเปิดตัวไล่เลี่ยกันในเดือนกันยายน และต่างฝ่ายต่างชูจุดขายในทิศทางเดียวกัน คือ ‘ฟีเจอร์ AI’ และ ‘การถ่ายวิดีโอ’ แม้ว่าฝ่ายแรกจะแบกน้ำหนักค่อนข้างมาก จากค่าตัวที่ห่างกันประมาณ 10,000 บาท (±) ก็ตาม แต่ก็มีหลายอย่างที่พอฟัดพอเหวี่ยง จับเอามาสู้กันได้แบบไม่เคอะเขิน
สเปค Galaxy S24 FE, iPhone 16 และ iPhone 16 Plus
Galaxy S24 FE | iPhone 16 | iPhone 16 Plus | |
จอภาพ | Dynamic AMOLED 2X ขนาด 6.7 นิ้ว ความละเอียด 2340 x 1080 พิกเซล อัตรารีเฟรช 120 Hz ความสว่าง HDR 1900 นิต | Super Retina XDR ขนาด 6.1 นิ้ว ความละเอียด 2556 x 1179 พิกเซล อัตรารีเฟรช 60Hz ความสว่าง HDR 1600 นิต | Super Retina XDR ขนาด 6.7 นิ้ว ความละเอียด 2796 x 1290 พิกเซล อัตรารีเฟรช 60Hz ความสว่าง HDR 1600 นิต |
ชิป | Exynos 2400e | A18 | A18 |
หน่วยความจำ | 8GB | 8GB | 8GB |
สตอเรจ | 128 / 256GB | 128 / 256 / 512GB | 128 / 256 / 512GB |
กล้องหลัง | 50MP (หลัก) 12MP (อัลตราไวด์) 8MP (เทเล) ซูมออปติคัล 3 เท่า ซูมดิจิทัล 30 เท่า | 48MP (หลัก) 12MP (อัลตราไวด์) รองรับการถ่ายมาโคร ซูมในเซนเซอร์ 2 เท่า ซูมดิจิทัล 10 เท่า | 48MP (หลัก) 12MP (อัลตราไวด์) รองรับการถ่ายมาโคร ซูมในเซนเซอร์ 2 เท่า ซูมดิจิทัล 10 เท่า |
กล้องหน้า | 10MP | 12MP | 12MP |
การถ่ายวิดีโอ | 8K ที่ 30 fps | 4K ที่ 60 fps รองรับ Spatial Audio รองรับ Audio Mix | 4K ที่ 60 fps รองรับ Spatial Audio รองรับ Audio Mix |
การเชื่อมต่อ | Wi-Fi 6E Bluetooth 5.3 NFC USB 3.2 Gen 1 รองรับ Samsung DeX | Wi-Fi 7 Bluetooth 5.3 NFC USB 2 Ultra Wideband 2 รองรับ DisplayPort | Wi-Fi 7 Bluetooth 5.3 NFC USB 2 Ultra Wideband 2 รองรับ DisplayPort |
แบตเตอรี่ | 4700mAh ชาร์จไว 25W ชาร์จไร้สาย 15W | 3561mAh ชาร์จ 50% ใน 30 นาที ชาร์จ MagSafe 25W ชาร์จ Qi2 15W | 4674mAh ชาร์จ 50% ใน 30 นาที ชาร์จ MagSafe 25W ชาร์จ Qi2 15W |
ทนน้ำทนฝุ่น | IP68 | IP68 | IP68 |
ขนาด | 162 x 77.3 x 8 มม. | 147.6 x 71.6 x 7.8 มม. | 160.9 x 77.8 x 7.8 มม. |
น้ำหนัก | 213 กรัม | 170 กรัม | 199 กรัม |
ราคาเริ่มต้น | 22,900.- | 29,900.- | 34,900.- |
จอภาพ
ปีนี้ซัมซุงขยายหน้าจอ Galaxy S24 FE มาเป็น 6.7 นิ้ว จากเดิม 6.4 นิ้ว ทำให้มีขนาดเท่ากับหน้าจอของ iPhone 16 Plus พอดิบพอดี แต่จุดแตกต่างที่สำคัญคือ Galaxy S24 FE มาพร้อมอัตรารีเฟรช 120Hz ในขณะที่ iPhone 16 ยังติดแหง่กอยู่กับ 60Hz ต่อไปอีกอย่างน้อย 1 ปี
ทั้งนี้ อาจมีบางคนที่มองว่าหน้าจอ 60Hz ไม่ได้แย่อะไรนักก็จริง แต่ด้วยความที่ iPhone 16 และ iPhone 16 Plus มีค่าตัวระดับ 30,000 บาท มาค้ำคออยู่ จึงเป็นการยากที่จะไม่ถูกวิจารณ์ และนำไปสู่คำถามที่ว่า ‘อย่างน้อยทำไมไม่ใส่ 90Hz มาให้ ?’ ซึ่งเราก็ได้เห็นกันมาซ้ำ ๆ ในทุกปี และคงไม่มีใครทราบคำตอบที่แท้จริง นอกจากแอปเปิลที่เป็นผู้ผลิต
อย่างไรก็ดี อัตรารีเฟรชไม่ใช่จุดชี้ขาดในการเลือกซื้อมือถือ Galaxy S24 FE และ iPhone 16 ยังมีอะไรให้กล่าวถึงอีกมาก ในหัวข้อถัด ๆ ไป
ชิปประมวลผล
Galaxy S24 FE เปิดตัวพร้อมชิปใหม่ Exynos 2400e ซึ่งซัมซุงยังไม่เปิดเผยรายละเอียดอะไรออกมามากนัก ยกเว้นความเร็วสูงสุดของซีพียูแกนหลัก 3.1 GHz ที่ต่ำกว่า Exynos 2400 ใน Galaxy S24 อยู่ 0.1 GHz ส่วนแกนอื่น ๆ ที่เหลือ ได้ความเร็วเท่ากัน
จากข้อมูลข้างต้น ประกอบกับตัวอักษร ‘e’ ในชื่อ ที่เคยปรากฏใน Galaxy S10e มือถือเรือธงรุ่นเล็ก ทำให้พอเดาได้ว่า Exynos 2400e คือชิปที่ปรับลดประสิทธิภาพลงมาจาก Exynos 2400 เล็กน้อย
ส่วน iPhone 16 มากับชิป A18 ที่แรงเป็นอันดับ 2 ในตลาด หากวัดด้วย Geekbench จะเป็นรอง A18 Pro บน iPhone 16 Pro เพียงรุ่นเดียว หรือต่อให้วัดด้วย AnTuTu ก็ยังอยู่ในลำดับต้น ๆ อยู่ดี
แต่ประสิทธิภาพที่แท้จริงของ Exynos 2400e และ A18 จะเป็นอย่างไร คงต้องรอดูหลังจากนี้อีกที เพราะล่าสุดบน Geekbench ยังมีข้อมูลการทดสอบ Exynos 2400e โผล่มาแค่หนเดียว และโผล่มาตั้งแต่เดือนสิงหาคม ไม่สามารถนำมาใช้อ้างอิงได้ และต้องไม่ลืมข้อเท็จจริงว่า ‘คะแนนทดสอบ เป็นแค่คะแนนดิบ’ บ่อยครั้งที่ตัวเลขเหล่านี้ไม่ได้สะท้อนถึงการใช้งานจริงเสมอไป เนื่องจากมีปัจจัยอื่นมาเกี่ยว เช่น ความร้อน
กล้องหลัง
ช่วงหลังมานี้ กล้องเทเลโฟโตเริ่มถูกหยิบมาใช้งานบ่อยขึ้นเรื่อย ๆ สังเกตได้จากการที่ผู้ผลิตหลายค่ายหันมาให้ความสำคัญกับทั้งขนาดเซนเซอร์และระยะการซูม ซึ่ง Galaxy S24 FE ก็ให้เลนส์มาครบช่วง กล้องหลัก กล้องอัลตราไวด์ และกล้องเทเล รองรับซูมออปติคัล 3 เท่า เป็นระยะที่เหมาะแก่การถ่ายพอร์เทรต
นอกจากนี้ Galaxy S24 FE ยังรองรับซูมดิจิทัลสูงสุด 30 เท่า ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ยุคใหม่ที่หลายคนมักพกมือถือไปถ่ายศิลปินในงานคอนเสิร์ต (หลายงานไม่ให้พกกล้องใหญ่เข้าไป) หรือจะเอาไปถ่ายหมูเด้งที่กำลังเป็นมีมไปทั่วโลกก็ดี
ข้อนี้จึงเป็นอีกหนึ่งจุดที่ซัมซุงถือไพ่เหนือกว่า iPhone 16 ที่แอปเปิลใส่กล้องมาเพียง 2 ตัว เป็นกล้องหลัก กับกล้องอัลตราไวด์ ซูมดิจิทัลไกลสุดได้แค่ 10 เท่า
(แต่ถ้ามองในแง่ดีสำหรับคนไม่คิดจะใช้งานอยู่แล้ว คือ ตัวเครื่องก็เบาลงไปได้อีกหน่อย เพราะทั้ง iPhone 16 และ iPhone 16 Plus น้ำหนักเบากว่า Galaxy S24 FE ทั้งคู่)
การถ่ายวิดีโอ
เดินทางมาถึงหัวข้อที่เป็นไฮไลต์ เพราะแอปเปิลและซัมซุง ต่างโปรโมตว่ามือถือของตัวเองโดดเด่นด้านการถ่ายวิดีโอ โดย Galaxy S24 FE ยกเรื่องการถ่ายวิดีโอ 8K ที่ 30 fps มาขิง ซึ่งมีมือถือเพียงหยิบมือในตลาดที่สามารถทำได้ แม้แต่ iPhone 16 Pro ก็ทำไม่ได้ และสิ่งที่ทำให้รุ่นนี้ยิ่งพิเศษขึ้นไปอีกคือ สามารถทำได้ ในราคา 20,000 กว่าบาทเท่านั้น
หลายคนอาจสงสัยว่า ‘เราจะถ่าย 8K ไปทำไม ?’ หน้าจอมือถือความละเอียดไม่ถึงอยู่แล้ว ส่วนทีวีกับมอนิเตอร์มีให้เห็นบ้าง แต่ราคาก็แพงระดับสร้างตึก คนทั่วไปคงเข้าไม่ถึงแน่ ๆ แล้วจะดึงวิดีโอ 8K มาใช้ประโยชน์ทางไหน
คำตอบคือ นำมาใช้ประโยชน์สำหรับงาน post-production เพราะในวงการนี้ เหลือย่อมดีกว่าขาด ยิ่งความละเอียดสูง ยิ่งนำมาทำงานต่อได้ยืดหยุ่น ซึ่งไม่จำเป็นต้องเป็นนักตัดต่อวิดีโอมืออาชีพก็ได้ ตัวอย่างง่าย ๆ อย่างการครอปวิดีโอแนวนอนเป็นแนวตั้ง โดยที่คุณภาพไฟล์ยังสูงอยู่ แค่นี้ก็นับว่าได้ใช้ประโยชน์แล้ว
ในขณะที่ iPhone 16 มีการอัปเกรดไมโครโฟน เป็นไมโครโฟนระดับสตูดิโอ 4 ตัว มีฟีเจอร์ตัดเสียงลมในตัว รองรับการถ่ายวิดีโอแบบ Spatial เพื่อนำไปแสดงผลบน Apple Vision Pro
และของใหม่ที่มาคู่กับการยกเครื่องไมค์ คือ ฟีเจอร์ Audio Mix ถ่ายเสร็จแล้วมาเลือกทีหลังได้ว่าจะให้วิดีโอโฟกัสเสียงตรงจุดไหน เช่น การถ่าย vlog ก็จะเน้นเสียงพูดภายในเฟรมเป็นหลัก และลบเสียงรบกวนรอบข้างออก โดยที่ฟีเจอร์นี้ ปิดจบได้จากบนเครื่อง ไม่ต้องต่อพีซีให้วุ่นวาย ถ่ายเสร็จปุ๊บ อัปโหลดลงโซเชียลได้ทันที
…ก็เรียกได้ว่าแลกกันไปคนละหมัด แบบไม่มีใครยอมใคร
ฟีเจอร์ AI
ปัจจุบัน ฟีเจอร์ Galaxy AI พร้อมให้ใช้งานในไทยแล้ว มีมาใน Galaxy S24 FE ตั้งแต่ออกจากโรงงาน แกะกล่องมา ใช้งานได้ทันที ส่วน Apple Intelligence ก็อย่างที่หลายคนคงทราบกันดี คือ ปีนี้เปิดให้ใช้งานแค่บางฟีเจอร์ เช่น Clean Up และบรรดาฟีเจอร์เกี่ยวกับภาษา (การเขียน – การสรุปเนื้อหา) แต่อย่างหลังก็ต้องเจอกับข้อจำกัดตรงที่ยังไม่รองรับภาษาไทย และแอปเปิลยังไม่ประกาศด้วยว่าจะมาเมื่อไหร่ อย่างเร็วหน่อยคงเป็นปี 2025 หรือถ้าช้ากว่านั้นก็อาจเป็นปี 2026
ดังนั้นถ้าพูดถึงความพร้อมใช้งาน Galaxy AI ตอนนี้นำห่างไปหลายช่วงตัว ใครที่มอง iPhone 16 เป็นตัวเลือก โดยคาดหวังเรื่องฟีเจอร์ AI ก็ต้องทำใจยอมรับในจุดนี้
ฟังก์ชันและลูกเล่นอื่น ๆ
นอกเหนือจากทั้งหมดที่กล่าวมา Galaxy S24 FE และ iPhone 16 ยังมีฟีเจอร์อีกบางส่วนที่น่าสนใจ ดังนี้
Galaxy S24 FE
- พอร์ต USB 3.2 Gen 1 เร็วกว่า USB 2 สิบเท่า ช่วยประหยัดเวลาถ่ายโอนข้อมูลไปได้มาก (สายต้องรองรับด้วย)
- รองรับ Samsung DeX ส่งภาพขึ้นมอนิเตอร์หรือทีวี แสดงผลในโหมดเดสก์ท็อปได้ เหมือนมีพีซีขนาดย่อมที่พกติดตัวไปได้ทุกที่
iPhone 16
- มี Camera Control สำหรับช่วยควบคุมกล้องโดยไม่ต้องแตะหน้าจอ ให้ความรู้สึกแปลกใหม่ และในอนาคตจะรองรับคำสั่งอื่น ๆ เพิ่มเติม โดยขึ้นอยู่กับแต่ละแอป
- รองรับ Wi-Fi 7 และ Qi2 ที่เป็นมาตรฐานการเชื่อมต่อใหม่ และมาตรฐานการชาร์จไร้สายใหม่ ตามลำดับ
สรุปการเปรียบเทียบ
มือถือทั้งสองรุ่น ต่างมีความโดดเด่นในแบบของตน Galaxy S24 FE ได้หน้าจอประสิทธิภาพสูง กล้องหลังครบระยะ รองรับวิดีโอความละเอียดสูง และมีฟีเจอร์ AI ที่พร้อมใช้งาน รวมถึงโหมดเดสก์ท็อป ส่วน iPhone 16 มีชิปที่ทรงพลัง ไมโครโฟนเกรดสตูดิโอ พร้อมระบบปฏิบัติการลื่นไหล และฟีเจอร์ที่ออกแบบมาให้ทำงานร่วมกับสินค้าในเครือของตนได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเลือกรุ่นไหน ก็ดูจะเป็นตัวเลือกที่เข้าท่าในเวลานี้ทั้งคู่
ราคา Galaxy S24 FE, iPhone 16 และ iPhone 16 Plus
Galaxy S24 FE | iPhone 16 | iPhone 16 Plus | |
128GB | 22,900.- | 29,900.- | 34,900.- |
256GB | 25,900.- | 33,900.- | 38,900.- |
512GB | – | 41,900.- | 46,900.- |
แต่สุดท้ายต้องไม่ลืมว่า Galaxy S24 FE เปิดตัวมาด้วยค่าตัวที่ย่อมเยากว่า iPhone 16 อยู่มาก ยิ่งถ้าซื้อก่อนวันที่ 2 ตุลาคม ทางซัมซุงมีโปรฯ อัปเกรดความจุฟรี ส่วนต่างจะยิ่งมากไปอีก ซึ่งปัจจัยเรื่องราคาอาจเป็นปัจจัยสำคัญลำดับต้น ๆ ของหลายคน ในระดับที่ว่าอาจเป็นจุดชี้ขาดในการเลือกซื้อได้เลยทีเดียว ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับการพิจารณา
เหมือนเมื่อคืน 14T series เปิดตัวหรือเปล่าครับ เช้ามากะมาอ่านเรื่องนี้ เจอแต่ S24FE Tab 10 series
หรือผมจำผิด