ช่วงนี้เห็นกระแสข่าวลือ และข่าวหลุดเกี่ยวกับ iPhone SE 4 รุ่นถัดไปออกมากันเยอะ ทำให้เรานึกถึงต้นกำเนิดของ iPhone Series นี้ โดยเฉพาะ iPhone SE (Gen 1) ที่เปิดตัวเมื่อปี 2016 และมีอายุเกือบ 8 ปีแล้ว วันนี้เราจะพาไปทดสอบว่า iPhone SE รุ่นแรกยังสามารถในชีวิตประจำวันได้หรือไม่ในปี 2024 รวมถึงทดสอบการใช้งานแอปพลิเคชันสำคัญอย่างแอปธนาคาร ว่ามือถือเก่า ๆ เครื่องนี้ยังไหวอยู่ไหม และจะต่างจาก iPhone รุ่นล่าสุดมากแค่ไหนกัน

ดีไซน์สุดคลาสสิก

iPhone SE เครื่องนี้ใช้ชิป Apple A9 มีแรม 2 GB แบบเดียวกับ iPhone 6s เลย หน่วยความจำเริ่มต้น 16 GB สูงสุด 128 GB หน้าจอ IPS ขนาด 4 นิ้ว ยังมีขอบหน้าจอ หนาตามแบบฉบับ iPhone รุ่นเก่า พร้อมปุ่ม Toch ID Gen 1 ที่สแกนไม่ค่อยจะติด ต่างกับ iPhone 6s ที่เป็น Toch ID Gen 2 ที่แก้ปัญหาเรื่องนี้มาแล้ว

หน้าจอยังแสดงผลได้ปกติ เพียงแต่บริเวณขอบจอสีจะเริ่มเปลี่ยนไปเป็นสีเขียวแล้ว ตามอาการประจำรุ่นของ iPhone ยุคนี้ และที่ด้านหน้ายังมีลำโพงสนทนาที่ใช้เปิดเพลงฟังไม่ได้ กล้องหน้าความละเอียด 1.2 ล้านพิกเซล และเซนเซอร์ปิดหน้าจอเวลาคุยโทรศัพท์ (Proximity Sensor)

บอดีอะลูมิเนียมทรงเหลี่ยมสุดคลาสสิก ที่ขอบตัวเครื่องยังมีความคมอยู่มาก ลูปไปบอกเลยรู้สึกว่ามันเหลี่ยมมากกว่า iPhone รุ่นปัจจุบันเยอะเลย ตอนจับถืออาจจะรู้สึกว่าบาดมือบ้าง แต่ด้วยความที่ตัวเครื่องมีน้ำหนักที่เบาทำให้น้ำหนักที่กดลงบนมือของเราน้อย เลยพอที่จะมองข้ามเรื่องนี้ไปได้

ปุ่ม Power ของรุ่นนี้อยู่ด้านบน ก่อนที่ Apple จะเปลี่ยนบอดี้ และย้ายปุ่มไปไว้ด้านข้างแทน จำได้เลยว่าวันที่เปลี่ยนเป็น iPhone 12 Mini ยังไม่คุ้นตำแหน่งของปุ่ม Power เลยกดผิดกดถูกบ่อยมาก คือขนาดตัวเครื่องมันพอ ๆ กัน iPhone 12 Mini ใหญ่กว่านิดเดียว เลยยังเคยชินกับตำแหน่งของปุ่ม iPhone SE

ด้านข้างมีปุ่มปรับระดับเสียง และ สวิตช์เปิด/ปิดเสียง ส่วนด้านขวาของตัวเครื่องจะเป็นช่องใส่ซิมการ์ดแบบ Nano เพียงซิมเดียวเท่านั้น พร้อมปุ่มพาวเวอร์ที่อยู่ขอบด้านบน ที่จับไปแล้วรู้สึกถึงความคลอนได้ชัดเจน เป็นปัญหาประจำรุ่นก็ว่าได้ คือถ้าจับไปแล้วไม่คลอนแสดงว่าได้ของปลอมเลยก็ว่าได้

ด้านใต้ตัวเครื่องมีช่องหูฟัง 3.5 ที่ใช่ง่าย สะดวกสุด ๆ และโคตรจะดี ไมโครโฟนหลักของตัวเครื่อง ช่องชาร์จ Lightning เจ้าประจำที่ใช้จนเริ่มเสื่อม เสียบชาร์จยากแล้ว ริ้วรอยเพียบ และลำโพงหลักของตัวเครื่อง

การออกแบบด้านหลังแบบ Two-Tone สุด Iconic ของยุคนั้น สีขาวตัดกับสีเทา สีทอง สีชมพู Rose Gold หรือ ดำตัดกับเทา แล้วแต่ว่าเราเลือกตัวเครื่องสีอะไร กล้องหลังความละเอียด 12.2 ล้านพิกเซล f/2.2 รองรับการถ่ายวิดีโอ 4K 30 FPS เป็นรุ่นแรก ๆ ของ iPhone ก็ว่าได้ ไฟแพลช์แบบ dual-tone และไมโครโฟนตัดเสียงรบกวน

เป็น iPhone รุ่นสุดท้ายที่ไม่มีมาตรฐานการกันน้ำ IP Rating ก่อนที่ iPhone 7 จะเป็นรุ่นแรกที่ใส่มา ภาพรวมเป็นบอดี้ iPhone ที่ผมชอบที่สุดของ iPhone เลยก็ว่าได้ แม้ว่าบอดี้ภายนอกจะเหมือนกับ iPhone 5 และ iPhone 5s แบบเป๊ะ ๆ เพราะใช้ร่วมกันก็ตาม

คือต้องบอกว่าพอกลับมาใช้ iPhone SE เครื่องเก่าแล้วสิ่งที่รู้สึกได้เลยถึงความเปลี่ยนแปลงคือ ขนาดตัวเครื่องเล็กกะทัดรัดมาก หน้าจอเล็กมาก น้ำหนักเบามาก เมื่อก่อนเราใช้จอขนาดนี้ไปได้ยังไง แม้ว่าตัวเครื่องที่มีความหนาพอ ๆ กัน

จากที่ก่อนหน้านี้ตอน iPhone 6,7,8 เปลี่ยนดีไซน์ให้ตัวเครื่องบางลง จนทำให้กล้องหลังปูดออกจากบอดี้ตัวเครื่อง และไม่เคยกลับมาเรียบเสมอตัวเครื่องแบบ iPhone SE อีกเลย

วัสดุฝาหลังที่ยังเป็นอะลูมิเนียมอยู่ ตอนนี้เป็นกระจกหมดแล้ว ขอบเครื่องแบบเหลี่ยมที่จับไปแล้วรู้สึกถึงความคมมากกว่า iPhone ในปัจจุบันมาก ภาพรวมเป็นดีไซน์ที่จับแล้วนึกถึงอดีตมาก ๆ และทำให้ย้อนนึกกลับไปว่าที่ผ่านมาสมาร์ทโฟนนั้นมีการเปลี่ยนแปลงไปขนาดไหนแล้วด้วย

การใช้งาน ผ่านไป 8 ปี ยังเสถียรเหมือนเดิม

การใช้งานทั่วไปยังทำได้ลื่นไหลดีอยู่ตามแบบฉบับของ iOS ไม่ว่าจะใช้เล่นโซเชียลอย่าง Facebook ไถ TikTok เล่น Instragram ใช้ดูคลิป YouTube หรือใช้ท่องเว็บก็ทำได้โอเค ไม่มีอาการค้างเลย แต่จะมีอาากรหน่วง ๆ อยู่บ้างตามอายุ คือไม่ได้เร็วเท่า iPhone รุ่นใหม่ ๆ อยู่แล้ว ถ้าใช้แบบสลับแอปไม่มาหลาย ๆ แอปจะรู้สึกได้ว่าเครื่องเริ่มมีอาการกระตุก และแอปบางตัวต้องเปิดใหม่

การใช้แอปธนาคารสามารถใช้ได้ทุกแอปเพราะ iOS รุ่นสุดท้ายของของ iPhone SE คือ : iOS 15.8.3 ซึ่งแอปธนาคารในปี 2024 ส่วนใหญ่ต้องการ iOS 12 ขึ้นไป เลยสามารถใช้ได้ไม่มีปัญหา มีของธนาคารไทยพาณิชย์ที่ต้องการ iOS 14 และธนาคารกรุงเทพที่ต่องการ iOS 13 ซึ่งก็ผ่าน ใช้ได้สบาย ๆ อยู่แล้ว

แต่ก็มีแอปบางตัวอย่าง Line ที่ไม่สามารถใช้เวอร์ชันล่าสุดได้ ใช้ได้เฉพาะเวอร์ชันเก่าเท่านั้น และแอปโซเชียลจากทางฝั่ง Meta ส่วนใหญ่ก็ต้องการ iOS 15.0 ขึ้นไปด้วย ทำให้ในอนาคตอีก 1-2 ปี ก็อาจจะใช้เวอร์ชันล่าสุดแบบ Line ไม่ได้แล้ว

การเล่นเกม อย่าหาทำ

การเล่นเกมนั้นเล่นไหวแค่เกมเบา ๆ แคชชวล พวกเกมเรียงเพชร หรือเกมที่ไม่ได้มีกราฟิกสูง 2D มากพอได้ คือเมื่อก่อนมันสามารถเล่นเกมแนว E-Sport อย่าง ROV หรือ PUBG ได้สบาย ๆ แต่ด้วยเวลาที่ผ่านไปทำให้ตัวเกมมีการปรับปรุงกราฟิกให้สวยขึ้น เลยกินสเปคขึ้นจนเครื่องนี้เล่นได้ไม่ดีแล้วนั่นเอง เอาจริง ๆ แค่การใช้งานทั่วไป ก็ทำให้เครื่องร้อนจนรู้สึกได้แล้ว ดังนั้นก็ไม่ควรฝืนเล่นเกมอะไรมากนัก

ซอฟต์แวร์ หยุดอัปเดตไปนานแล้ว

UI แบบเก่าตามสไตล์ iOS 15 ยังไม่รองรับการปรับแต่งอะไรมากนัก ผนวกกับสัดส่วนหน้าจอที่เป็นแบบ 16:9 แบบเก่าก่อนที่จะเปลี่ยนไปใช้จอติ่ง ทำให้ UI และการแสดงผลเป็นแบบเก่าที่ในยุคสมัยนี้ได้ถูกปรับให้รองรับหน้าจอสัดส่วนใหม่ 19.5:9 แล้ว พอมาอยู่ในจอ 16:9 เลยรู้สึกว่าไม่ค่อยสวยแล้ว และด้วยหน้าจอขนาดเล็ก 4 นิ้ว เมื่อเจอกับ UI แบบใหม่เลยรู้สึกว่าฟิต เต็มจอไปหน่อยด้วย

คือต้องบอกว่า iOS ยังไงก็เป็น iOS จะผ่านไปกี่ปีก็ยังคงเป็น iOS จะรุ่นเก่ารุ่นใหม่ จอเล็กจอใหญ่ก็ใช้ซอฟต์แวร์ชุดเดียวกันหมด ทำให้หน้าตา UI ส่วนหลัก ๆ แทบไม่เปลี่ยนไปเลย ใช้รุ่นใหม่ ๆ มาพอกลับไปใช้รุ่นเก่าก็รู้ว่าอะไรอยู่ตรงไหนเหมือนเดิม

ข้อจำกัดใหญ่ ๆ ของการใช้ iPhone SE ในปี 2024 คงเป็นเรื่องการอัปเดตซอฟต์แวร์ และความปลอดภัยเป็นจุดใหญ่ ๆ เลย เพราะแอปหลายตัวต้องการ iOS 16 ขึ้นไปแล้ว แต่เราอัปเดตไปไม่ได้ และช่องโหว่ต่าง ๆ ก็ไม่ได้รับการแพตช์แก้ด้วย ทำให้ใครที่กังวลเรื่องของความปลอดภัย หรือใครที่อยากใช้แอปเวอร์ชันใหม่ล่าสุดเสมอไม่เหมาะที่จะใช้ iPhone รุ่นนี้

กล้อง บางรูปถ่ายดีกว่ารุ่นใหม่อีก

กล้องหลังความละเอียด 12 ล้านพิกเซล ยังคงใช้งานได้ดีในระดับที่น่าพอใจอยู่ ถ่ายรูปออกมาชัด แต่เรื่องของความหน้าชัดหลังเบลออาจจะสู้รุ่นใหม่ ๆ ไม่ได้ คือภาพที่ถ่ายได้จะมีความชัดเท่ากันทั้งภาพ เหมือนกับว่า iPhone SE ใช้กล้องที่มีค่ารูรับแสง f 4.0 ส่วน iPhone รุ่นใหม่ ๆ มีค่ารูรับแสง f 1.8 อะไรประมาณนั้น

ส่วนเรื่องของการเฉลี่ยแสง Dynamic Range ก็ทำได้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ต้องเลือกให้ส่วนใดมืดหรือสว่าง ทำให้เวลาถ่ายภาพต้องอยู่ในที่แสงสว่างเพียงพอ ไม่เช่นนั้น Noise จะขึ้นเยอะมาก หรือไม่รายละเอียดภาพก็หายไปเลย

สิ่งที่ต่างกับ iPhone รุ่นใหม่ ๆ นอกจากความคมชัด และรายละเอียดของภาพถ่ายแล้ว ยังมีเรื่องของระยะเลนส์ที่มีแค่ระยะเดียว ทำให้มีข้อจำกัดการถ่ายภาพที่เยอะกว่า และระยะเลนส์ก็ยังเป็นแบบเก่าด้วยทำให้ขอบภาพของ iPhone SE ค่อนข้างแคบกว่า

กล้องหน้าความละเอียด 1.2 ล้านพิกเซล แบบเดียวกับ iPhone 5s แม้ว่า iPhone SE จะเปิดตัวตอนสมัย iPhone 6s ก็ตาม ทำให้ภาพที่ได้ไม่ค่อยคมชัดเท่าไหร่ ถ่ายออกมาจะมีความเป็นวุ่น ๆ เบลอ ๆ รายละเอียดเก็บมาไม่ค่อยดีเท่าไหร่ การเฉลี่ยแสง Dynamic Range ยังทำได้ไม่ดี บอกเลยว่าไม่ควรใช้กล้องหน้าตัวนี้ถ่ายรูปลง Instagram เลย แต่พอจะใช้วิดีโอคอลได้

แบตเตอรี่ลดเปอร์เซ็นต์ละนาที

สำหรับหัวข้ออายุการใช้งานของแบตเตอรี่ บอกเลยว่าใช้งานได้ประมาณ 1-2 ชม. เท่านั้น เรียกได้ว่าเพิ่งชาร์จเต็ม ไปไม่เท่าไหร่ เล่นแป๊บเดียวแบตลดฮวบ ๆ คือ 1 นาที 1 เปอร์เซ็นต์ ก็ไม่ได้เวอร์เกินไป เพราะด้วยอายุของตัวเครื่องทำให้แบตเตอรี่นั้นเสื่อมเป็นที่เรียบร้อย แม้ว่าผมจะเปลี่ยนแบตน้องเขามาหลายครั้งแล้วก็ตาม รวมถึงขนาดแบตเตอรี่ที่เล็กเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แม้ว่าแบตจะไม่เสื่อม แต่ก็หมดเร็วอยู่ได้ไม่ครบวันอยู่แล้ว

และนอกจากแบตจะหมดเร็วแล้วยังชาร์จไฟกลับเข้าไปช้าด้วย iPhone SE รองรับการชาร์จไฟที่ 5W เท่านั้น ซึ่งเมื่อเทียบกับความจุแบตแล้วก็อาจจะไม่รู้สึกว่าช้าอะไร แต่การใช้งานจริงมีเรื่องของปัจจัยของแบตเตอรี่ที่เสื่อมเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ทำให้การอัดประจุไฟฟ้ากลับเข้าไปทำได้ยากขึ้น

แล้วใช้ทำอะไรได้บ้างในปัจจุบัน

แม้ว่า iPhone SE จะดูไม่น่าใช้เป็นโทรศัพท์เครื่องหลักแล้วในปัจจุบัน แต่ถ้านำมาใช้เป็นโทรศัพท์สำรองติดรถเอาไว้ใช้ในตอนฉุกเฉินก็ยังพอจะไว้ใจได้อยู่ หรือใช้เป็นโทรศัพท์ประจำรถสำหรับ Apple Car Play แบบเสียบสายทิ้งไว้เลยก็เป็นอะไรที่น่าสนใจเพราะตัวเครื่องยังสามารถใช้นำทาง หรือใช้เปิดฟังเพลงแบบสตรีมมิ่งได้ดีอยู่

หรือใครจะเอาไว้เป็นเครื่องฟังเพลงพกพา เอาไว้เปิดเบิร์นหูฟังก็น่าสนใจ ดูวิดีโอ หรือนำไปใช้งานเฉพาะด้านเช่นเป็นรีโมทสำหรับอุปกรณ์สมาร์ทโฮมก็ได้เช่นกัน

สรุป ผ่านไป 8 ปี เราเคยใช้มือถือเครื่องนี้ด้วยเหรอ

การใช้งาน iPhone SE ในปัจจุบันอาจจะไม่เหมาะเท่าไหร่แล้วด้วยข้อจำกัดต่าง ๆ ทั้งชิปที่แรงไม่พอจะใช้งานหลาย ๆ แอปได้ลื่นไหล iOS ที่อัปเดตไม่ได้ และแบตเตอรี่ที่หมดเร็วมาก ยังไม่ทันได้หายใจก็หมดแล้ว ส่วนเครื่องหน้าจอที่เล็กส่วนตัวมองว่าเป็นเรื่องของความเคยชินของแต่ละคนมากกว่าที่ปัจจุบันเราชินตากับมือถือจอใหญ่ไปแล้ว ทั้ง ๆ ที่สมัยก่อนก็ยังใช้จอเล็กแบบนี้ได้ไม่มีปัญหา

สำหรับใครที่ยังเก็บเครื่องเอาไว้ก็ยังใช้เป็นโทรศัพท์เครื่องสำรองกรณีฉุกเฉินได้ ส่วนคนที่คิดจะซื้อมือสองบอกเลยว่าไม่แนะนำ แม้ว่าประสิทธิภาพต่อราคาจะดี เพราะเริ่มต้นประมาณ 1,000 – 2,000 บาท เท่านั้นแล้วแต่ความจุ แต่ถ้าเป็นผมคงหา Android เครื่องใหม่แบรนด์ชั้นนำในราคาไม่เกิน 3,000 บาท มากกว่า

ยกเว้นอยากย้อนวันวาน อยากลองกลับไปใช้มือถือเครื่องเล็ก พกสะดวกก็อีกเรื่อง แต่สุดท้ายก็จะหยิบมาเล่นได้ไม่กี่วันแล้วก็เอาวางไว้เฉย ๆ แน่นอน

อ้างอิง : apple