สร้างเสียงฮือฮาไปพอสมควรกับการเปิดตัว iPhone 17 ด้วยสเปคที่อัปเกรดขึ้นมาแต่ละอย่างเรียกได้ว่าทำคนที่เพิ่งซื้อ iPhone 16 หลังหักกันเพียบ แถมราคาเปิดตัวก็ถูกกว่าเดิมกับรุ่นความจุ 256GB ซึ่งเริ่มต้นที่ 29,900 บาท วันนี้พวกเรา DroidSans ขอหยิบเอา iPhone 16 กับ iPhone 17 มาเทียบกันให้เห็นแบบชัดๆ ไปเลยว่ามีการอัปเกรดอะไรบ้าง และคุ้มค่ามากน้อยแค่ไหนที่จะขยับมาใช้ iPhone 17

เปรียบเทียบสเปค iPhone 16 กับ iPhone 17
รายละเอียด | iPhone 16 | iPhone 17 | |
จอภาพ | พาเนล | Super Retina XDR (OLED) | |
ขนาด | 6.1 นิ้ว | 6.3 นิ้ว | |
ความละเอียด | 2556 x 1179 พิกเซล | 2622 x 1206 พิกเซล | |
ความสว่างสูงสุด | 2000 นิต | 3000 นิต | |
อัตรารีเฟรช | 60Hz | ProMotion อัตรารีเฟรช 120Hz | |
อื่นๆ | HDR กระจกหน้าจอ Ceramic Shield เคลือบสารกันรอยนิ้วมือ | HDR และ Always-On display กระจกหน้าจอ Ceramic Shield 2 เคลือบสารกันแสงสะท้อน เคลือบสารกันรอยนิ้วมือ | |
ประสิทธิภาพ | ชิปเซต | A18 | A19 |
หน่วยความจำ | 8GB | 8GB | |
ความจุ | 128GB / 256GB / 512GB | 256GB / 512GB | |
ระบบปฏิบัติการ | iOS 18 | iOS 26 | |
กล้อง | กล้องหลัก | กล้องหลัก Fusion Camera 48MP (f/1.6) รองรับภาพถ่ายความละเอียดสูงพิเศษ (24MP และ 48MP) รองรับการถ่ายเทเลโฟโต้ 2 เท่า (คุณภาพระดับออปติคัล 12MP) ระบบป้องกันภาพสั่นไหวแบบออปติคัล รองรับการบันทึกวิดีโอ Dolby Vision ระดับ 4K ที่ 60 fps | |
กล้องอัลตราไวด์ | กล้องอัลตราไวด์ 12MP (f/2.2) มุมมองกว้าง 120 องศา รองรับการถ่ายภาพมาโคร | กล้องอัลตราไวด์ Fusion Ultrawide 48MP (f/2.2) รองรับภาพถ่ายความละเอียดสูงพิเศษ (48MP) มุมมองกว้าง 120 องศา รองรับการถ่ายภาพมาโคร | |
กล้องหน้า | กล้องหน้า TrueDepth 12MP (f/1.9) ระบบออโต้โฟกัสด้วย Focus Pixels รองรับการบันทึกวิดีโอ Dolby Vision ระดับ 4K ที่ 60 fps | กล้องหน้า Center Stage 18MP (f/1.9) ระบบออโต้โฟกัสด้วย Focus Pixels รองรับการบันทึกวิดีโอ Dolby Vision ระดับ 4K ที่ 60 fps | |
ระบบเสียง | ลำโพง | ลำโพงสเตอริโอ | |
การเชื่อมต่อ | เครือข่าย | 5G (sub‑6 GHz) | |
ชิปเครือข่ายไร้สาย N1 | Wi-Fi 7 Bluetooth 5.3 NFC Ultra Wideband รุ่นที่ 2 เทคโนโลยีระบบเครือข่าย Thread | Wi-Fi 7 Bluetooth 6 NFC Ultra Wideband รุ่นที่ 2 เทคโนโลยีระบบเครือข่าย Thread | |
พอร์ต | USB 2 (สูงสุด 480Mb/s) รองรับ DisplayPort | ||
แบตเตอรี่ | ความจุ | ดูวิดีโอสูงสุด 22 ชั่วโมง | ดูวิดีโอสูงสุด 30 ชั่วโมง |
การชาร์จ | ชาร์จได้สูงสุด 50% ใน 30 นาที (ด้วยอะแดปเตอร์ขนาด 20 วัตต์หรือสูงกว่า) รองรับชาร์จไร้สาย MagSafe สูงสุด 25W รองรับชาร์จไร้สายแบบ Qi2 สูงสุด 25W | ชาร์จได้สูงสุด 50% ใน 20 นาที (ด้วยอะแดปเตอร์ขนาด 40 วัตต์หรือสูงกว่า) รองรับชาร์จไร้สาย MagSafe สูงสุด 25W รองรับชาร์จไร้สายแบบ Qi2 สูงสุด 25W | |
ตัวเครื่อง | ทนน้ำทนฝุ่น | IP68 | |
ขนาด | 147.6 x 71.6 x 7.8 มม. | 149.6 x 71.5 x 7.95 มม. | |
น้ำหนัก | 170 กรัม | 177 กรัม |
หน้าจอใหญ่ขึ้น 6.3 นิ้ว ProMotion 120Hz
การเปลี่ยนแปลงสำคัญของ iPhone 17 ก็คือ หน้าจอขนาด 6.3 นิ้ว ที่มาพร้อมเทคโนโลยี ProMotion รีเฟรชเรต 120Hz เป็นครั้งแรก หลังจากที่ก่อนหน้านี้ iPhone 16 มีหน้าจออยู่ที่ขนาด 6.1 นิ้ว และรองรับอัตรารีเฟรชเรตเพียงแค่ 60Hz เท่านั้น ความสว่างสูงสุดก็เพิ่มขึ้นมาจากเดิม 2,000 นิต เป็น 3,000 นิต สำหรับการใช้งานเพื่อดูคอนเทนต์บนหน้าจอในที่กลางแจ้งหรือที่ที่มีแดดจ้ามาก

หนึ่งฟีเจอร์ที่เพิ่มเข้ามาจากผลพวงของการรองรับเทคโนโลยีหน้าจอ ProMotion บน iPhone 17 ก็คือ Always-on Display ที่ทำให้หน้าจอขณะล็อกเครื่องติดอยู่ตลอดเวลา แล้วลดอัตรารีเฟรชเรตเหลือเพียงแค่ 1Hz เพื่อไม่ให้เสียพลังงานแบตเตอรี่เยอะเกินไป ดีไซน์หน้าจอเจาะรูทรงแคปซูล Dynamic Island เหมือนเดิม
สุดท้ายสำหรับรายละเอียดสเปคหน้าจอของ iPhone 17 ได้มีการอัปเกรดวัสดุกระจกหน้าจอเป็น Ceramic Shield 2 ที่ทนต่อรอยขีดข่วนได้ดีกว่าเดิม 3 เท่า (เมื่อเทียบกับ iPhone 16 ที่ใช้ Ceramic Shield) และมีการเคลือบสารกันสะท้อนบนหน้าจอเข้ามาให้ด้วย
ชิปเซ็ต A19 แรงกว่าเดิม ดีกว่าเดิม แบเตอรี่ใช้งานได้นานขึ้น
ชิปเซ็ต A19 บน iPhone 17 ในแง่ของประสิทธิภาพเรียกได้ว่าดีขึ้นจาก iPhone 16 อย่างแน่นอน โดยเฉพาะ GPU แบบ 5-core ที่ประมวลผลกราฟิกได้เร็วกว่า A16 Bionic (iPhone 15) มากถึง 80% และเร็วขึ้น 20% เมื่อเทียบกับ iPhone 16 ที่ใช้ชิป A18 ซึ่งช่วยให้การประมวลผลโมเดล Generative AI บนอุปกรณ์ทำได้ในเวลาอันสั้น

แบตเตอรี่บน iPhone 16 จากเดิมที่ดูวิดีโอได้ต่อเนื่องนานสูงสุด 22 ชั่วโมง ในขณะที่ iPhone 17 ได้อัปเกรดแบตเตอรี่พร้อมกับประสิทธิภาพการจัดการพลังงานของชิป A19 ที่ดีกว่าเดิม ทำให้ใช้งานเพื่อดูวิดีโอได้นานสูงสุดถึง 30 ชั่วโมง การชาร์จก็ทำได้เร็วขึ้น 1-50% ได้ภายใน 20 นาที (ด้วยอะแดปเตอร์ขนาด 40 วัตต์หรือสูงกว่า) รองรับการชาร์จไร้สาย MagSafe และ Qi2 สูงสุด 25W
นอกจากนั้นแล้ว iPhone 17 ยังมาพร้อมชิประบบเชื่อมต่อไร้สาย N1 ที่ออกแบบด้วยตัวเอง ที่ช่วยให้ประสิทธิภาพการเชื่อมต่อกับ Wi-Fi 7, Bluetooth 6 ไปจนถึงการเชื่อมต่อ AirDrop กับการกระจายสัญญาณฮอตสปอตสเถียรยิ่งขึ้น

กล้องอัลตราไวด์ 48MP เก็บภาพมุมกว้างได้แบบมั่นใจ
กล้องหลักความละเอียด 48MP ระบบ Fusion Camera เป็นสเปคเดียวที่ยกเครื่องมาจาก iPhone 16 โดยกล้องหลักรองรับการถ่ายภาพที่ระยะ 2X ด้วยการครอปเซนเซอร์อีกทีหนึ่ง (Optical Quaity) ส่วนเลนส์ที่สองเป็นกล้องอัลตราไวด์จากเดิมความละเอียด 12MP ก็อัปเกรดขึ้นมาเป็น 48MP มุมมองกว้าง 120 องศา

กล้องหน้าแบบใหม่เซนเซอร์สี่เหลี่ยมจัตุรัส 18MP
สลับมาดูกล้องหน้า 18MP Center Stage Camera ที่ปรับมาใช้เซนเซอร์ภาพอัตราส่วนแบบสี่เหลี่ยมจัตุรัส จากเดิมที่ใช้เป็นเซนเซอร์แบบ 3:4 มาโดยตลอด รองรับการใช้งานฟีเจอร์ Center Stage แบบเดียวกับบน MacBook หรือ iPad ที่จะคอยจับโฟกัสใบหน้าของเราให้อยู่กลางเฟรมตลอด

ผลพวงของการใช้เซนเซอร์รับภาพแบบสี่เหลี่ยมจัตุรัส ส่งผลให้การเซลฟี่ของ iPhone 17 จะมีระยะหรือมุมมองของภาพที่กว้างขึ้น การเก็บรายละเอียดความคมชัดของภาพถ่ายก็ทำได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย 18MP สามารถถ่ายเซลฟี่แนวนอนได้ในขณะที่ถือเครื่องเป็นแนวตั้ง ไม่จำเป็นต้องหมุนตัวเครื่องไป-มาให้วุ่นวาย หรือถ้าจะเซลฟี่เป็นกลุ่มแบบหลายคน ฟีเจอร์ Center Stage ก็จะขยายเฟรมภาพโดยอัตโนมัติเพื่อไม่ให้มีใบหน้าของใครหลุดออกจากเฟรม สุดท้ายคือ Dual Capture ที่ทำให้เราสามารถบันทึกวิดีโอกล้องหน้ากับกล้องหลังพร้อมกันที่ความละเอียดสูงสุด 4K ที่ 30fps

ดีไซน์เดิมสีใหม่ ราคาถูกกว่าเดิมความจุเริ่มต้น 256GB
ด้วยความที่เพิ่งปรับดีไซน์ครั้งใหญ่ไปเมื่อ iPhone 16 รูปร่างหน้าตาดีไซน์ของ iPhone 17 จึงไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงอะไรเพิ่มเติมนอกเหนือจากตัวเลือกสีโทนพาสเทลแบบใหม่ในปีนี้ ซึ่งประกอบไปด้วยกันถึง 5 สี ได้แก่
- สีม่วง (Lavender)
- สีเขียว (Sage)
- สีฟ้า (Blue)
- สีดำ (Black)
- สีขาว (White)

iPhone 17 เปิดตัวมาพร้อมกับราคาเริ่มต้น 29,900 บาท กับความจุ 256GB ในขณะที่ปีที่แล้ว iPhone 16 ราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 29,900 บาท แต่ได้ความจุเพียงแค่ 128GB เท่านั้น เมื่อเทียบกับ iPhone 16 ในรุ่นความจุ 256GB ซึ่งมีราคาสูงถึง 33,900 บาท ก็ถือว่ามีส่วนต่างราคาที่ถูกลงมาอยู่พอสมควรเลยครับ
รายละเอียด | iPhone 16 | iPhone 17 | ส่วนต่างถูกลง |
128 GB | 29,900 บาท | – | – |
256 GB | 33,900 บาท | 29,900 บาท | 4,000 บาท |
512 GB | 41,900 บาท | 37,900 บาท | 4,000 บาท |
ควรเปลี่ยนหรืออัปเกรดมาใช้ iPhone 17 เลยดีไหม
การมาถึงของ iPhone 17 ถือเป็นอีกหนึ่งการอัปเกรดครั้งสำคัญที่ทำให้หลายคนลังเลพอสมควรว่า จะเปลี่ยนมาใช้เป็น iPhone 17 ดีหรือเปล่า โดยเฉพาะกับคนที่กำลังถือ iPhone 16 อยู่แล้ว คำตอบก็ขึ้นอยู่กับว่าผู้อ่านให้ความสำคัญกับฟีเจอร์ไหนเป็นพิเศษหรือเปล่า ถ้าต้องการได้หน้าจอที่ขนาดใหญ่กว่าเดิมเล็กน้อย รองรับเทคโนโลยี ProMotion 120Hz และฟีเจอร์ Always-On Display ไปจนถึงกล้องหน้า 18MP Center Stage และกล้องอัลตราไวด์ 48MP ที่คมชัดกว่าเดิม
พร้อมกับชิป A19 และแบตเตอรี่ที่สามารถใช้งานได้ยาวนานขึ้น ทั้งหมดนี้ก็ถือว่าคุ้มค่าที่จะเปลี่ยนมาใช้ iPhone 17 ครับ นอกจากนั้นแล้วราคาเปิดตัวกับความจุเริ่มต้น 256GB ในราคา 29,900 บาท ก็เป็นราคาที่น่าสนใจไม่ใช่น้อย

หรือใครที่ยังใช้ iPhone รุ่นเก่าที่ยังเป็นดีไซน์รอยบากหน้าจอ (Notch) เช่น iPhone 14, iPhone 13 และรุ่นที่เก่ากว่านั้น การเปลี่ยนมาใช้ iPhone 17 นับเป็นประสบการณ์ที่ดีพอสมควรเลยครับ ไม่ว่าจะเป็น กล้องหลักและกล้องอัลตราไวด์ Fusion Camera ความละเอียด 48MP ได้หน้าจอดีไซน์ Dynamic Island และเทคโนโลยี ProMotion 120Hz แบตที่อึดกว่าเดิมมากพร้อมกับชิปเซ็ต A19 ซึ่งรองรับการใช้งาน Apple Intelligence เหมาะสำหรับคนที่ต้องการจะลงทุนซื้อ iPhone รุ่นมาตรฐานสักเครื่องมาใช้งานยาวๆ
ซื้อเถอะมันคุ้มกว่า 16 มาก ๆ จ้า
ส่วนคนที่ไม่ค่อยได้ใช้กล้องหน้า และ รับได้กับการใช้ของมือ2
แนะนำ 16pro มือ2ก็ดีครับ ถ้า256 ก็ราคาราวๆ 32000 เพิ่มอีกนิดนึงได้กล้องตัวที่3
แต่ถ้าไม่ค่อยได้ใช้ ก็17 นี่แหละ