ช่วงสองสามปีที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน กระแสรถยนต์ไฟฟ้าเกิดขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง จนมีหลายคนที่คิดอยากจะเปลี่ยนมาใช้รถยนต์ไฟฟ้า แต่อยากให้รู้ก่อนจะเปลี่ยนว่ามันคุ้มค่ากว่าจริงหรือ? การใช้งานแบบไหนถึงเรียกว่าควรเปลี่ยน ซึ่งวันนี้เราได้นำสูตรที่คิดและคำนวณมาแล้ว มากางให้ทุกคนคำนวณตามดู เพื่อพิจารณาก่อนจะตัดสินใจว่าจะเปลี่ยนจากรถยนต์น้ำมันไปใช้รถยนต์ไฟฟ้าดีหรือไม่
ปัจจัยที่ทำให้คนเปลี่ยนไปใช้รถยนต์ไฟฟ้า
ขอเกริ่นก่อนว่าในการใช้งานรถยนต์แบบน้ำมันทุกวันนี้ นอกจากเรื่องของรูปแบบการใช้งานทั่วไปตลอดจนเรื่องความคุ้มค่าที่มีส่วนให้ต้องการเปลี่ยนมาใช้รถ EV แล้วนั้น ยังมีปัจจัยหลาย ๆ ด้านที่ทำให้หลายคนหันมาใช้รถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น อย่างเช่น
- ราคาน้ำมันที่พุ่งสูงขึ้น – ตอนนี้ราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 31 – 47 บาท/ลิตร และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
- เทคโนโลยี – ปัจจุบันรถยนต์ไฟฟ้ามาพร้อมกับเทคโนโลยีที่มีไว้เพื่ออำนวยความสะดวก, เป็นตัวช่วยในการขับขี่ ตลอดจนให้ความบันเทิงแก่ผู้โดยสาร
- รักษาสิ่งแวดล้อม – รถไม่มีการปล่อยคาร์บอนออกมา ซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้เกิดภาวะโลกร้อน
- ปลอดภัย เข้าไปนอนในรถได้ -ที่ผ่านมาหลายคนมักเห็นข่าวคนนอนในรถแล้วเสียชีวิต เนื่องจากเครื่องยนต์จะเกิดการเผาไหม้ที่ไม่สมบูรณ์และทำให้เกิดก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ขึ้นโดยไม่มีการถ่ายเทออกไป ทำให้อากาศเสียไหลเวียนอยู่ภายในไม่ไปไหน เมื่อสูดดมหายใจเข้าไป จึงก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกาย
- ประหยัดค่าบำรุงรักษา – เนื่องจากว่ารถยนต์ไฟฟ้าไม่ต้องเปลี่ยนน้ำมันเครื่องหรือของเหลวอื่น ๆ
ใครที่ดูคลิปจากลองให้แล้วยังนึกภาพตามไม่ออก เราได้สรุปข้อมูลออกมาเป็นตัวอักษรให้ทุกคนได้อ่านและนึกตามแบบง่าย ๆ โดยอิงการคำนวนจาก Google Sheets ที่ทางทีมงานลองให้ได้จัดทำขึ้นตามด้านล่างนี้
กดทำสำเนาไฟล์จาก Google Sheet ก่อนคำนวณ!!
ไฟล์คำนวณจริงจัง เราเหมาะจะซื้อรถยนต์ไฟฟ้ารึเปล่า ซึ่งจะเป็นไฟล์ที่ไม่สามารถแก้ไขได้ ให้ไปที่ ไฟล์ > ทำสำเนา เพื่อคัดลอกข้อมูลไปที่บัญชีของตัวเองก่อน แล้วจึงทำการแก้ไขต่อไปนะ และก่อนที่เราจะเข้าพาร์ทคำนวณกันอย่างจริงจัง มาดูสิ่งที่เราต้องเตรียมกันก่อนตามด้านล่างนี้ค่ะ
ดาวน์โหลดไฟล์ : ที่นี่
ข้อมูลที่ใช้คำนวณ ก่อนเปลี่ยนใจใช้รถ EV
- ระยะทางที่ใช้รถในแต่ละวัน
- อัตราการสิ้นเปลืองพลังงาน (กม./ลิตร)
- ข้อมูลของรถยนต์ไฟฟ้าที่สนใจ
- ที่บ้านเราเองติดตั้งเครื่องชาร์จได้มั้ย
- มีโปรโมชันส่งเสริมการขายหรือไม่
ค่าใช้จ่ายรถยนต์ รถน้ำมัน หรือรถที่ใช้งานปัจจุบัน
ลักษณะการใช้รถในชีวิตประจำวัน
ในขั้นแรกลองสังเกตการใช้รถในชีวิตประจำวันของเราดูก่อนเลย ว่าทุกวันนี้ขับรถมากน้อยแค่ไหน ขับทุกวัน หรือขับแค่บางวัน, ระยะทางจากบ้านไปทำงานทุกวันไกลหรือไม่ ซึ่งการสังเกตในข้อนี้ก็จะทำให้เราได้ข้อมูลในส่วนแรกก็คือ “ระยะทางที่ใช้รถในแต่ละวัน” นั่นเอง ซึ่งให้เติมตัวเลขระยะทางกับจำนวนวันที่ใช้รถเข้าไปคำนวณในตารางลักษณะการใช้รถที่เราแปะไว้ได้เลย
ข้อมูลที่ได้ออกมาก็จะเป็นระยะทางที่ขับต่อเดือนและต่อปี อันนี้ก็เก็บเป็นข้อมูลส่วนแรกไว้เลย
รถที่ขับปัจจุบัน กินน้ำมันมากน้อยแค่ไหน
อีกหนึ่งสิ่งที่สำคัญสำหรับผู้ใช้งานรถสันดาปเลย ก็คือเรื่องของอัตราสิ้นเปลืองของรถ คันที่เราใช้ปัจจุบันนี่แหละ ที่อาจจะเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้หลายคนตัดสินใจซื้อรถยนต์ไฟฟ้ามาใช้ แต่ขอให้ใจเย็นแล้วลองคำนวณในขั้นตอนอื่น ๆ ดูก่อน… ให้ลองดูว่ารถที่เราใช้เก่าแค่ไหน เพราะส่วนมากรถยิ่งเก่าก็ยิ่งกินน้ำมันมากขึ้น โดยวิธีเช็กก็ไม่ยาก
วิธีเช็กอัตราสิ้นเปลืองของรถ
- เติมน้ำมันรถให้เต็มถัง
- ดูที่เกจ์ (Oil Gauges) หรือมาตรวัดระดับน้ำมันบนรถ
- รีเซ็ต Trip A หรือ Trip B เพื่อจับระยะทางที่วิ่งได้
- **ถ้ารถบางคนเก่ามาก ๆ อาจจะไม่มี Trip A หรือ Trip B หรือไม่รู้ว่าจะปรับยังไง ให้เข้าไปดูที่ตัวเลขระยะทางรวม (ODO) ก็ได้
- จากนั้นขับทั้งสัปดาห์จนถึงรอบที่ต้องเติมน้ำมันอีกครั้ง
- **อย่าลืมจดระยะทางที่วิ่งไปทั้งหมด (ตัวเลข Trip A ) ก่อนเติมน้ำมันอีกครั้ง
- เมื่อเติมน้ำมันให้ดูข้อมูลปริมาณน้ำมันและราคาจากใบเสร็จ เพื่อที่จะนำตัวเลขมาคำนวณ
- นำระยะทางที่ขับได้ (Trip) หาร จำนวนน้ำมัน (ลิตร) ก็จะได้เป็น “จำนวนกิโลเมตร/ลิตร”
เมื่อได้อัตราสิ้นเปลืองที่เป็น “จำนวนกิโลเมตร/ลิตร” มาแล้ว ก็นำมาใส่ในตารางคำนวณหัวข้อรถปัจจุบันได้เลย ซึ่งก็จะได้คำตอบเป็น ค่าน้ำมันกี่บาท/ 1 กิโลเมตร รวมแล้วเราจ่ายค่าน้ำมันกี่บาทต่อวัน หรือ ต่อเดือน นั่นเอง ซึ่งข้อมูลตรงนี้ก็จะไปลิงก์กันกับพาร์ทลักษณะการใช้รถ ก็จะทำให้เราเห็นถึงค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นของรถคันปัจจุบันอย่างชัดเจนค่ะ
ค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน
สำหรับผู้ใช้รถสันดาปก็จะรู้ดีว่านอกจากค่าใช้จ่ายด้านเชื้อเพลิงและพลังงานแล้ว จริง ๆ ยังมีค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่ตามมาอีก ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับรถของแต่ละคนที่ใช้เลยว่าจำเป็นต้องจ่ายอะไรบ้าง ลองสังเกตดู ดังนี้
- ประกันรถที่จ่ายทุกปี (ราคาแล้วแต่เราเลือก)
- ค่าซ่อมรถ (คนที่ใช้รถเก่าดูว่าซ่อมหนัก ซ่อมบ่อยหรือไม่)
- ค่างวดรถรายเดือน (คนที่ยังผ่อนรถอยู่ ลองดูว่าขายต่อแล้วมาผ่อนคันใหม่ คุ้มจริงหรือไม่)
- ผ่อนหมดแล้ว แต่อยากเปลี่ยนใหม่ ค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นแน่ ๆ (อันนี้แล้วแต่ใจเลยว่าอยากได้มากน้อยแค่ไหน)
จะซื้อรถยนต์ไฟฟ้าคันใหม่ต้องดูอะไรบ้าง
อันนี้ขึ้นอยู่กันรถยนต์ไฟฟ้าแต่ละรุ่นแล้ว เพราะว่าแต่ละคนมีความสนใจรถแต่ละคันไม่เหมือนกัน ทั้งนี้ เบื้องต้นอยากให้ดูที่ความสะดวกของบ้านแต่ละคนก่อนว่า บริเวณบ้านเราติดตั้งเครื่องชาร์จได้มั้ย สาเหตุที่ควรจะมีที่ชาร์จที่บ้าน เพราะว่าจะได้ราคาค่าชาร์จที่คุ้มและสะดวกสุด หรือตอนนี้รถคันดังกล่าวมีโปรโมชันส่งเสริมการขายให้อะไรมากน้อยแค่ไหน ลองเช็กดี ๆ ไม่งั้นอาจจะเสียใจเรื่องนี้ทีหลัง
ค่าใช้จ่ายรถยนต์ไฟฟ้า 1 คัน มีอะไรบ้าง
มาถึงส่วนนี้ จะเป็นทางฝั่งของของรถยนต์ไฟฟ้าแล้ว โดยเราจะมาเปิดค่าใช้จ่ายว่าซื้อรถยนต์ไฟฟ้าใหม่ 1 คัน จะต้องเจอกับค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง เพื่อที่จะนำตัวเลขไปเทียบกับค่าใช้จ่ายรถคันปัจจุบันที่เราต้องเจออยู่ ดังนี้
ราคารถ (ค่าผ่อน ค่าดาวน์รถ)
ในการจะซื้อรถ 1 คัน อันดับแรกที่หลายคนต้องคิดเลยก็คือ “ค่าผ่อนรถ” นี่แหละ คันที่เราอยากได้ราคาเท่าไหร่ และเรามีกำลังในการผ่อนรถคันนี้ขนาดไหน หากพอมีกำลังทรัพย์ก็ดาวน์เยอะหน่อย เพื่อที่จะได้ผ่อนน้อย ๆ ดอกเบี้ยถูกลง หรือใครที่กำลังทรัพย์น้อย แต่โอเคที่จะผ่อนนานหน่อย พร้อมยอมรับดอกเบี้ยที่สูงขึ้นได้ ก็ลองเข้ามาคำนวณตรงจุดนี้ดูก่อน
ค่าชาร์จไฟฟ้า
เรื่องที่สำคัญไม่ต่างจากค่าผ่อนเลยก็คือ “ค่าเชื้อเพลิง” นี่แหละ ที่เป็นอีกหนึ่งส่วนสำคัญที่จะช่วยตัดสินว่าเราควรจะเปลี่ยนมาใช้รถยนต์ไฟฟ้าหรือไม่ และจากที่เราได้คำนวณเรตของค่าชาร์จรถไฟฟ้า สามารถจำแนกได้ 3 รูปแบบ ซึ่งมีราคาโดยประมาณ ดังนี้
- หากชาร์จไฟบ้าน (มิเตอร์แบบ TOU) แบบ Off Peak ราคารวม Vat + ค่า Ft จะอยู่ที่ 3.78 บาท/หน่วย (ขอใส่ข้อมูลเป็น Off Peak เพราะคาดว่าคนส่วนมากชาร์จรถช่วงกลางคืนหลังเลิกงานกัน)
- หากชาร์จด้วยไฟบ้าน (มิเตอร์แบบปกติ) ราคารวม Vat + ค่า Ft จะอยู่ที่ 4.4-5.7 บาท/หน่วย ราคาอยู่ที่ปริมาณการใช้ไฟฟ้าของแต่ละบ้าน
- หากชาร์จตามสถานีต่าง ๆ ราคารวม Vat + ค่า Ft จะอยู่ที่ 7.8 บาท/หน่วย
ค่าชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าจากมิเตอร์ปกติ VS มิเตอร์ TOU
**หมายเหตุ เรตค่าไฟอาจมีการเปลี่ยนแปลงและแตกต่างกันออกไป ตัวเลขที่เราใส่มาเป็นตัวเลขที่เราเจอในปัจจุบัน
อัตราการสิ้นเปลืองไฟฟ้าของรถคันนึง
มาที่การคำนวณอัตราการสิ้นเปลือง เพื่อที่จะเทียบว่าใช้รถยนต์ไฟฟ้าประหยัดกว่าเดิมแค่ไหน ซึ่งเราจะใช้เป็นค่าไฟมิเตอร์ TOU เนื่องจากว่าเป็นเรตที่ต่ำที่สุด และถ้าจะให้คุ้มก็ก็ต้องติดมิเตอร์เป็น TOU นี่แหละ และในการขับรถ EV ถ้าขับแบบกำลังดีเลยน่าจะอยู่ที่ 7.5 กม./หน่วย ค่าไฟจะอยู่ที่ 0.50 บาท/กม. เท่านั้น ใช้วันนึงก็จะอยู่ที่ 126 บาท ใช้เดือนนึงก็จะอยู่ที่ 3,528 บาท ซึ่งทุกคนสามารถดูในตารางได้เลย
ค่าใช้จ่ายแฝงอื่น ๆ
คำนวณค่าใช้จ่ายหลัก ๆ ไปแล้ว ก็อย่าลืมคำนวณค่าใช้จ่ายแฝงกันด้วยนะ ซึ่งรถยนต์ไฟฟ้าจะมีค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่แตกต่างจากรถยนต์สัปดาปอยู่นิดหน่อย ดังนี้
– ค่าประกันภัย
ค่าประกันรถยนต์ไฟฟ้าจะมีราคาที่สูงกว่ารถยนต์สันดาป (ตอนนี้ดูเหมือนจะถูกลงมาบ้างแล้ว) ซึ่งก็มีให้เลือกหลากหลายบริษัท และนี่ก็คือราคาประกันจากบริษัทที่เรารวมข้อมูลมาเพื่อเป็นตัวอย่าง ซึ่งเป็นของรุ่น BYD ATTO 3 ก็จะประมาณนี้
– ค่าเครื่องชาร์จ (EV Charger)
ตอนนี้รถยนต์ไฟฟ้าส่วนมากมักมีโปรโมชันส่งเสริมการขายด้วยการแถมที่ชาร์จ + ติดตั้งฟรีอยู่แล้ว แต่ก็อาจจะมีบางเจ้าที่ไม่ได้แถม ก็อาจจะมีค่าใช้จ่ายแฝงตรงนี้ แต่เดี๋ยวนี้ดูเหมือนว่าจะแถมกันเกือบหมดแล้วล่ะ และอย่าลืมว่าอาจจะมีค่าใช้จ่ายเพื่อเตรียมติดตั้งที่ชาร์จด้วย ตีไว้คร่าว ๆ สักประมาณ 5 พันบาท
– ค่าเปลี่ยนหม้อไฟ กรณีเปลี่ยนไปใช้แบบ TOU
อย่างที่ระบุไปตอนต้นว่ามิเตอร์แบบ TOU คิดค่าไฟ Off Peak ที่ชาร์จช่วงเวลากลางคืนราคาต่ำกว่าเรทชาร์จอื่น ๆ ทั่วไป ซึ่งอาจจะมีหลายคนที่อยากเปลี่ยนหม้อไปใช้แบบ TOU ก็จะมีค่าใช้จ่ายในการเปลี่ยนอยู่ที่ราว ๆ 7 พันบาท
ทำยังไงหากแบตเตอรี่เสื่อม หมดระยะประกัน
แบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าจะมีประกันแถมมาให้อยู่แล้วอยู่ที่ประมาณ 8 ปี ซึ่งสิ่งที่หลายคนกังวลว่า หากใช้งานแบตเตอรี่ครบตามระยะเวลาแล้วหมดประกันพอดี แบตก็จะเสื่อม จากนั้นต้องเสียค่าแบตที่แสนแพงอีกหรือไม่? ขอให้อย่าเพิ่งกังวล เพราะแบตเตอรี่หากจะเสื่อม ก็ไม่ใช่ว่าจะเจ๊งจนต้องเปลี่ยนทันที ผู้ใช้งานรถยนต์ไฟฟ้ายังสามารถใช้รถต่อได้ เพียงแค่สุขภาพแบตจะลดลง ความจุจากเดิมที่ 100% ก็อาจจะลดเหลือ 90%-80% ระยะวิ่งต่อชาร์จก็ลดลงมานิดหน่อย
ใครที่ควรเปลี่ยนมาใช้รถยนต์ไฟฟ้า ?
จากที่ได้ลองคำนวณข้อมูลในแต่ละพาร์ทตาม Sheet ก็อาจจะทำให้หลายคนได้เห็นข้อสรุปแบบชัดเจนมากขึ้น ซึ่งแน่นอนว่าเราก็ได้เห็นว่าคนที่เหมาะสมที่จะเปลี่ยนมาใช้รถยนต์ไฟฟ้ามากที่สุด มีใครบ้าง ดังนี้
- คนที่ใช้รถคุ้ม ๆ หรือต้องขับรถไปทำธุระ ไปทำงานวันละ 100 กม. ++ เสียค่าน้ำมันต่อเดือนเยอะมาก ๆ อาจจะเอาค่าน้ำมันไปจ่ายเป็นค่าผ่อนรถ EV แทน
- คนที่ใช้รถเก่ามาก ๆ แล้วรถที่ใช้กินน้ำมันสุด ๆ
- คนที่รถเก่า แล้วค่าซ่อมเยอะพอ ๆ กับค่าดาวน์รถคันใหม่
- คนที่ต้องการใช้รถคันที่ 2 หรือรถสำรอง
- คนที่มีกำลังทรัพย์และพร้อมที่จะเปลี่ยนรถใหม่
สรุป
ใครที่กำลังคิดจะเปลี่ยนไปใช้เป็นรถยนต์ไฟฟ้า ยังไงก็ต้องลองคำนวณดู เพื่อพิจารณาว่าควรจะเปลี่ยนมาใช้รถยนต์ไฟฟ้าหรือไม่ ส่วนตัวผู้เขียนก็เป็นหนึ่งคนที่ขับรถเหมือนกัน แล้วได้ลองคำนวณตามสูตร ก็สรุปว่า…ยังไม่เปลี่ยนดีกว่า เพราะคันปัจจุบันประหยัดน้ำมันพอใช้ได้ แล้วใช้งานขับไปใกล้ๆ ส่วนเวลาเดินทางมาทำงานก็ใช้บริการรถไฟฟ้า MRT เป็นหลัก ก็ขอเป็นอีกคนนึงที่ยังไม่เปลี่ยนมาใช้ แต่ในอนาคตก็ไม่แน่นะคะ แต่ถ้าใครคำนวณแล้วว่าที่ใช้รถทุกวันนี้ค่าใช้จ่ายแรงจนไม่ไหวจริง ๆ ก็อาจจะต้องเปลี่ยนแล้ว (รึเปล่า)
จริง ๆ มีพาร์ทอื่น ๆ เกี่ยวกับการคำนวณรถยนต์ไฟฟ้าที่น่าสนใจและละเอียดกว่านี้ แนะนำว่าให้เข้าไปฟังคลิปของลองให้ที่เราแปะไปข้างต้นพร้อมกับอ่านบทความของเราไปด้วย
เราคนนึงแหละ เปลี่ยนมาไฟฟ้าแล้วไม่คิดจะกลับไปน้ำมันอีกเลย ขับสนุกกว่าเยอะ ช่วงที่ยังผ่อนอยู่นี่ก็ยอมรับว่าไม่ได้กำไรอะไรมาก พอ ๆ กับคันเก่า แต่ว่าเราได้ความสบายใจมากขึ้น เพราะได้รถใหม่ และเดี๋ยวพอผ่อนหมดก็กะจะขับสักอีก 2-3 ปี เอากำไรตรงนี้นิดนึง ลองคิดดูสิ ถึงตอนนั้นค่าน้ำมันจะไปถึงเท่าไหร่บ้างนะ แล้วรถน้ำมันเวลายิ่งเสื่อมต้องมีค่าใช้จ่ายขนาดไหน
สำหรับคนที่ไม่ได้บรรทุกของ ทำงานในเมือง นานๆ เดินทางไกล ซื้อรถหรือเปลี่ยนใหม่อยากให้พิจารณาใช้รถไฟฟ้า ซึ่งราคามีตั้งแต่หลักแสนกลางๆ ขึ้นไป เพราะเราควรเริ่มตระหนักถึงภาวะโลกร้อน หายนะอันแท้จริงของมนุษยชาติมันกำลังเริ่มขึ้นแล้ว
ถ้าจะเอาคุ้มค่า ก็แค่เอาคันไม่เกินล้าน