เชื่อว่าชาว IT หลายๆ คน หรือจะเป็นคนรักสุขภาพทั้งหลาย น่าจะอยากได้นาฬิกาล้ำๆ หรือที่เรียกกันว่า สมาร์ทวอทช์ (Smartwatch) มาครอบครองกันซักเรือนแน่นอน ซึ่งราคาของสมาร์ทวอทช์แต่ละรุ่นก็ไม่เท่ากัน ที่ถูกๆ ก็มีสเปคต่ำ ฟีเจอร์น้อยนิดแถมยังใช้ระบบปฏิบัติการอะไรก็ไม่รู้ที่ไม่มีแอปให้โหลดมาใช้เพิ่มเติมเลย จะหารุ่นที่สเปคสูงฟีเจอร์ครบๆ ก็มีราคาแพงเป็นหมื่นขึ้นไปอีก…วันนี้เราก็เลยมี “Ticwatch S” สมาร์ทวอทช์สเปคดีฟีเจอร์ครบในราคาไม่ถึงหมื่นบาท มารีวิวให้ดูเป็นตัวเลือกอีก 1 แบรนด์

ก่อนหน้านี้เราได้เคยแนะนำบริษัท Mobvoi จากประเทศจีน ซึ่งตอนแรกเป็นแค่บริษัท IT เล็กๆ พัฒนาระบบ AI สำหรับการสั่งงานด้วยภาษาจีนเท่านั้นเอง แต่เริ่มหันมาพัฒนาสมาร์ทวอทช์อย่าง Ticwatch และไปเปิดระดมทุนในเว็บไซท์ Kickstarter จนได้รับการสมทบทุนอย่างถล่มทลายทั้ง 2 รุ่น อย่าง Ticwatch 2 และ Ticwatch S / E โดยรุ่นล่าสุดอย่าง Ticwatch S ถือเป็นสมาร์ทวอทช์ที่มีฟีเจอร์อะไรต่างๆ ครบครันเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็น เซ็นเซอร์วัดอัตราการเต้นของหัวใจ, GPS ในตัว, กันน้ำระดับ IP67 แถมยังเป็น Wear OS ที่รองรับภาษาไทยเต็มรูปแบบ และยังสามารถโหลดแอปจาก Google Play Store มาใช้ได้อีกด้วย และที่สำคัญ Ticwatch S มีราคาอยู่ที่ 6,900 บาท เท่านั้นเอง…ว่าแล้วก็มาดูกันเลยดีกว่า ว่าสมาร์ทวอทช์ค่าตัวแค่นี้เราจะได้สเปคและฟีเจอร์อะไรบ้าง

สเปค Ticwatch S

  • หน้าจอสัมผัส OLED ขนาด 1.4 นิ้ว ความละเอียด 400 x 400 (287ppi)
  • CPU : MTK MT2601
  • RAM : 512MB
  • ความจุ : 4GB
  • การเชื่อมต่อ : Bluetooth 4.1, WiFi : 2.4GHz 802.11b/g/n
  • เซ็นเซอร์ : Accelerometer, Gyroscope, Dynamic Optical Heart Rate, Proximity, e-Compass
  • GPS, Glonass, BeiDou
  • มาตรฐานกันน้ำ : IP67
  • มีไมค์และลำโพงในตัว
  • น้ำหนัก : 45 กรัม
  • แบตเตอรี่ : 300 mAh
  • ระบบ Wear OS 2.0
  • สีที่วางจำหน่าย : สีดำ สีขาว สีเขียว

วัสดุและดีไซน์

Ticwatch S เป็นสมาร์ทวอทช์ที่มีหน้าปัดเป็นวงกลม ให้อารมณ์แบบนาฬิกาข้อมือดิจิตอลทั่วไป ตรงขอบเรือนนาฬิกาเป็นโลหะขัด มีตัวเลขสีเขียวแบบ 60 วินาที อยู่รอบหน้าปัดซึ่งดูตัดกันดีกับขอบโลหะสีดำ ตรงหน้าปัดเป็นกระจกแบบกันรอยขีดข่วน (ยังไม่เคยทดสอบนะ ว่าทนขนาดไหน) ที่เลอะรอยนิ้วมือง่ายไปนิด

ส่วนสายรัดข้อมือเป็นยาง TPU สไตล์นาฬิกาสปอร์ต ซึ่งเสียอยู่อย่างนึงคือไม่สามารถเปลี่ยนสายรัดได้เอง เนื่องจาก Ticwatch S ฝังตัวรับ GPS เอาไว้ที่สายรัด (Mobvoi บอกว่ามันทำให้รับสัญญาณได้ดีกว่า) ก็เลยยังไม่รู้ว่าถ้าสายขาด ตอนนี้จะมีอะไหล่ให้เปลี่ยนรึเปล่า

Ticwatch S มีปุ่มกดแค่ปุ่มเดียวอยู่ทางด้านซ้ายของตัวเรือนสำหรับกดเข้าแอปหรือเมนูการตั้งค่า พลิกกลับมาจะเป็นพอร์ทเสียบสายชาร์จอยู่ด้านล่าง

Ticwatch S ยังมีน้ำหนักที่เบามากเลย เบากว่านาฬิกาดิจิตอลธรรมดาที่ใส่อยู่ซะอีก

หน้าจอสัมผัสแบบ OLED ที่ให้สีสันสวยงามและคมชัด

หน้าจอของ Ticwatch S เป็นจอสัมผัสแบบ OLED ที่ให้สีสันสดใสสวยงามตามธรรมชาติของ OLED อยู่แล้ว คือเราสามารถอ่านข้อความหรือดูภาพจากพวก News Feed ได้แบบสบายตาเลยล่ะ และเวลาออกแดดจัดๆ ก็สามารถมองเห็นได้ค่อนข้างชัดเจนเลยด้วย

Ticwatch S ยังมีหน้าจอสัมผัสแบบ Multi Touch ที่สามารถกดเลือกเมนูหรือสั่งการได้ด้วยการแตะที่หน้าจอเลย

และแน่นอนว่าการที่มันเป็นสมาร์ทวอทช์ Wear OS ทำให้เราสามารถเปลี่ยนรูปแบบหน้าปัดนาฬิกาได้ตามใจชอบเลยล่ะ โดยสามารถเข้าไปหาโหลด Face Watch หลากหลายแบบได้ใน Google Play Store ที่อยู่ใน Ticwatch S ซึ่งมีให้เลือกแบบมากมายก่ายกองจนเปลี่ยนหน้าปัดเดือนนึงไม่ซ้ำกันซักวันไปเลยก็ยังได้ (มีทั้งแบบฟรี และเสียเงิน) หรือใครยังไม่เจอแบบที่ถูกใจ ก็หาโหลดแอปสำหรับออกแบบหน้าปัดมาทำเองซะเลย

เซ็นเซอร์วัดอัตราการเต้นของหัวใจ

เอาใจผู้รักสุขภาพโดยแท้จริงเลยล่ะ สำหรับฟีเจอร์ Heart Rate Sensor โดยตัวเซ็นเซอร์จะอยู่ที่ด้านล่างของเรือนนาฬิกา เมื่อเราเข้าไปที่แอป Heart Rate เพื่อทำการวัดอัตราการเต้นของหัวใจ ตรงตัวเซ็นเซอร์จะยิงแสง LED สีเขียวออกมาใส่ผิวหนังบริเวณข้อมือของเรา เพื่อวัดการเปลี่ยนแปลงของปริมาณของหลอดเลือดฝอยโดยการใช้ลำแสงและเซนเซอร์วัดขนาดของหลอดเลือดที่อยู่ใต้ผิวหนังนั่นเอง (ความรู้ปึ้กปะล่ะ…)

แบตเตอรี่

เอาจริงๆ ดูเหมือนว่าเรื่องแบตเตอรี่ดูเหมือนจะเป็นจุดอ่อนอย่างเดียวของ Ticwatch S เลยก็ว่าได้ จากสเปคที่เคลมว่าสามารถใช้งานได้ 48+ ชม. แต่จากการใช้งานจริงถ้าหากเปิดโหมด Always on display (โชว์เวลาแบบขาวดำเวลาพักจอ) เอาไว้ จะสามารถใช้งานได้แค่วันเดียว คือต้องชาร์จทุกวัน (ถ้าเปิดความสว่างสุด อาจจะได้ราว 10 ชั่วโมง แต่ถ้าเปิดสัก 1 หรือ 2 อาจจะได้ราวๆ 12 ชั่วโมง)

แต่ถ้าปิดโหมด Always on display ให้หน้าจอดับในบางช่วง จะยืดอายุได้มากขึ้นเป็นเกือบ 2 วัน แต่ถ้าจะเอาประหยัดแบตสุดๆ คือปิดหน้าจอยาวๆ ไปเลย จนกว่าจะกดปุ่ม (เช่นใช้ตอนดูหนัง) หน้าจอถึงจะติด แต่ใช้แบบนั้นก็ไม่น่าเอามาเป็นนาฬิกา

โหมด Always on display (ขวา) ซึ่งทำให้หน้าจอติดอยู่ตลอดเวลา

แต่ถ้าใครที่อยากใส่เป็นนาฬิกาสวยๆ หรูๆ แบบไม่ค่อยจำเป็นต้องใช้ฟีเจอร์แจ้งเตือนอะไรพวกนี้ ก็ปิดระบบ Sync กับมือถือซะ ด้วยการเข้าไปที่ Connectivity และปิดการใช้งาน Bluetooth ก็จะสามารถใช้งานได้ยาวขึ้นจนเกือบ 48 ชม. เลยล่ะ

ปิดการเชื่อมต่อ เพื่อประหยัดแบต

การใช้งาน Ticwatch S ทั่วไป

ก่อนที่เราจะเชื่อมต่อ Ticwatch S เข้ากับมือถือของเรานั้น ก็ต้องดาวน์โหลดแอป Wear OS จาก Google Play มาติดตั้งในมือถือซะก่อน จากนั้นก็ไปโหลด Ticwatch มาติดตั้งเพิ่มอีก 1 แอป เพื่อการใช้งานที่สมบูรณ์แบบ (จริงๆ แล้วแอป Ticwatch จะเน้นใช้งานด้านออกกำลังมากกว่า เพราะมันจะเก็บข้อมูลการเดิน และจำนวนแคลอรี่ที่เผาผลาญไปในแต่ละวันของเราเอาไว้) เมื่อเชื่อม Ticwatch S เข้ากับมือถือแล้ว เวลามีพวก Notification จากแอปต่างๆ เช่น Facebook, Messenger, LINE, SMS มันก็จะเด้งขึ้นมาที่หน้าปัดพร้อมกับสั่นนิดๆ ให้พอรู้สึกตัว ซึ่งเราสามารถอ่านข้อความจากหน้าปัดได้เลย ไม่ต้องหยิบมือถือขึ้นมาดูบ่อยๆ

และที่เจ๋งก็คือเราสามารถตอบกลับได้จากหน้าปัด Ticwatch S ทั้งการพิมพ์ด้วยเสียง (ยังไม่รับภาษาไทย), ตอบกลับด้วย Emoticon หรือจะพิมพ์ตัวอักษรบนหน้าปัดไปเลยก็ได้ (ยังไม่รับภาษาไทยอีกเหมือนกัน)

นอกจากนี้ Ticwatch S ยังมีไมค์และลำโพงในตัวให้เราคุยโทรศัพท์ผ่าน Ticwatch S ได้แบบสายลับในหนังเลยล่ะ แต่ทางที่ดีคุยจากมือถือเอาจะโอเคกว่า เพราะลำโพงของ Ticwatch S ไม่ได้ใหญ่อะไรมากมาย ทำให้เสียงที่ได้ค่อนข้างเบา (ต้องคุยในที่เงียบหน่อยถึงจะฟังรู้เรื่อง)

การใช้งาน Ticwatch S เพื่อออกกำลังกาย

และอย่างที่บอกไปแล้วว่า Ticwatch S มีทั้งเซ็นเซอร์วัดอัตราการเต้นของหัวใจที่สามารถวัดได้ง่ายๆ แค่ใส่ไว้บนข้อมือตามปกติจากนั้นก็เลือกแอป Heart Rate และกดที่รูปหัวใจ จากนั้นก็อยู่นิ่งๆ ซักแป๊บนึง ก็จะได้ค่าอัตราการเต้นของหัวใจออกมาให้เห็นกันแล้ว

Ticwatch S ยังมีระบบ GPS ในตัวอีกด้วย ซึ่งเราสามารถเอาไปใช้งานร่วมกับแอป Ticwatch หรือแอปอื่นๆ เพื่อบันทึกข้อมูลการวิ่ง หรือการเดินในแต่ละวัน

Ticwatch S ได้รับมาตรฐานกันน้ำกันฝุ่นระดับ IP67 ที่สามารถลงน้ำลึกได้ 1 เมตร เป็นเวลาครึ่งชั่วโมง แต่ก็ไม่ได้ให้เอาไปใส่ว่ายน้ำเล่นนะ…เพราะมันไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อใช้กับกีฬาทางน้ำ แต่มีไว้เผื่อฉุกเฉินอย่างฝนตก น้ำกระเด็นใส่ หรือเอาไปล้างเวลาเลอะอะไรแบบนี้มากกว่า

เอาลงน้ำได้ แต่ไม่แนะนำ

Ticwatch S และสมาร์ทวอทช์รุ่นอื่น

สำหรับสมาร์ทวอทช์รุ่นอื่นๆ ที่น่าสนใจในตลาดตอนนี้ก็จะมี Samsung Gear Sport, Xiaomi Huami Amazfit 2 และ Apple Watch ซึ่งแต่ละรุ่นก็จะมีจุดเด่นและราคาที่แตกต่างกันออกไป

Samsung Gear Sport ก็เป็นสมาร์ทวอทช์ที่พัฒนาขึ้นมาเพื่อเอาใจคนรักสุขภาพเหมือนกัน เพราะมีทั้งเซ็นเซอร์วัดอัตราการเต้นหัวใจ, GPS และเซ็นเซอร์อื่นๆ บวกกับความสามารถในการใส่เล่นกีฬาทางน้ำได้ ทำให้เป็นสมาร์ทวอทช์ที่ดูเหมาะที่สุดสำหรับนักกีฬาตัวจริง แต่ก็มาพร้อมกับราคาที่แพงกว่า (9,900 บาท) และระบบปฏิบัติการ Tizen ของ Samsung เอง

Samsung Gear Sport

Xiaomi Huami Amazfit 2 ก็เป็นอีกหนึ่งสมาร์ทวอทช์ที่เน้นการใช้งานด้านออกกำลังกาย แถมยังมีค่าตัวที่พอฟัดพอเหวี่ยงกับ Ticwatch (ประมาณ 4,xxx – 6,xxx บาท แล้วแต่ร้าน) แต่ไม่มีตัวแทนจำหน่ายในประเทศไทย ต้องอาศัยร้านหิ้วกันอย่างเดียว นอกจากนี้ยังเป็นระบบปฏิบัติการ Watch 2.0 ที่ Xiaomi พัฒนาขึ้นเอง ก็เลยมีหน้าปัดนาฬิการวมถึงแอปต่างๆ ให้ใช้น้อยกว่า Wear OS แน่นอน

Xiaomi Huami Amazfit 2

Apple Watch 3 ก็เป็นสมาร์ทวอทช์อีก 1 ตัวเลือกที่มีสเปคและฟีเจอร์ครบๆ แต่ก็มีราคาที่แพงที่สุดเช่นกัน โดยตอนนี้มีขายเฉพาะกับ Truemove H เท่านั้น (เพราะมันใช้ eSIM) ในราคา 14,900 บาท และใช้ได้เฉพาะกับ iOS เท่านั้นด้วย

Apple Watch 3

สรุป

Ticwatch S ถือเป็นสมาร์ทวอทช์ที่มีสเปคและฟีเจอร์ต่างๆ ครบครันจริงๆ ไม่ว่าจะใส่เพื่อใช้งานทั่วไปแบบล้ำๆ หรือจะใส่เพื่อเพิ่มประสิทธิในการออกกำลังกายก็ใช้ได้ดีไม่แพ้สมาร์ทวอทช์รุ่นแพงๆ เลย แถมยังเป็นสมาร์ทวอทช์ระบบ Wear OS ที่มีแอปให้โหลดใน Google Play Store เพียบ บวกกับหน้าปัดนาฬิกาที่มีให้เปลี่ยนกันได้ไม่ซ้ำแต่ละวัน ไหนจะวัสดุที่ใช้+ดีไซน์ที่ดูเท่และดูมีราคาอีกด้วย แต่เสียดายว่ามีข้อให้ติอยู่ข้อนึงเท่านั้น (และเป็นข้อสำคัญซะด้วยสิ) ก็คือแบตเตอรี่ที่หมดเร็วไปนี่แหละ คือต้องชาร์จทุกคืนจริงๆ ถ้าไม่อยากให้นาฬิกาดับระหว่างวันที่เราใช้งาน…แต่ก็ไม่น่าเป็นเรื่องใหญ่อะไรเพราะยังไงเรากลับบ้านไป ก่อนนอนก็ต้องชาร์จมือถือ หรืออุปกรณ์ IT อื่นๆ อยู่แล้ว จะชาร์จนาฬิกาอีกซักเรือนจะเป็นไรไป