ใกล้เข้ามาแล้วกับวันที่ 19 มกราคมนี้ ที่จะเป็นวันชี้ชะตาของแอปฯ TikTok ที่จะมีผลแบนแอปฯ ในสหรัฐอเมริกา ล่าสุดผู้บริหาร TikTok ได้ร่อนจดหมายถึงพนักงานในสหรัฐฯ ว่า มีแผนรับมือกับเหตุการณ์การแบนนี้ เป็นที่เรียบร้อย และยืนยันเปิดสำนักงานต่อไป ไม่ส่งผลกระทบต่อพนักงาน และสวัสดิการใด ๆ ทั้งนั้น

ซึ่งในตอนนี้มีรายงานว่า บรรยากาศภายในของสำนักงาน TikTok สหรัฐฯ นั้นอยู่ในขั้นตึงเครียดเป็นอย่างมาก และพนักงานบางส่วนนี้ก็เริ่มมีความกังวลต่อการแบนแอปฯ TikTok ที่จะมีผล 19 มกราคมนี้ แต่อย่างไรก็ตามล่าสุด ผู้บริหาร TikTok ก็เริ่มส่งสัญญาณว่า บริษัทได้เตรียมแผนรับมือนี้เอาไว้แล้ว และยังคงยืนยันเปิดสำนักงานต่อไปไม่กระทบหน้าที่การงานของพนักงานโดยรวม

อย่างไรก็ตามอำนาจในการพิจารณาขายแอปฯ TikTok ในครั้งนี้ ก็ยังคงเป็นรัฐบาลจีนที่จะอนุมัติว่า ByteDance จะขายแอปฯ ให้ใครได้ และนอกจากนี้ก็ยังมีดีล ‘Project Liberty’ ที่เสนอเข้าซื้อแอปฯ TikTok อีกด้วย

โดย Project Liberty เป็นกลุ่มที่นำโดย แฟรงค์ แม็คคอร์ต (Frank McCourt) ผู้เป็นประธานโครงการไม่แสวงหาผลกำไร และพร้อมด้วยกลุ่ม ‘People’s Bid For TikTok’ ที่ได้รับการสนับสนุนจาก ควิน โอเลียรี (Kevin O’Leary) มหาเศรษฐีชาวแคนาดา และเซอร์ทิม เบอร์เนอร์ส-ลี (Sir Tim Berners-Lee) ผู้ให้กำเนิดเครือข่ายเวิลด์ไวด์เว็บ (World Wide Web)

สำหรับจุดมุ่งหมายของ Project Liberty ที่จะซื้อแอปฯ TikTok ก็คือ เปลี่ยนระบบทั้งหมดให้เป็นรูปแบบ Open-Source เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ใช้งานโดยรวมนั้นมีอำนาจในการควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลมากยิ่งขึ้น

นอกจากนี้ทาง TikTok ก็เคยออกจดหมายต่อต้านกฎหมายการแบนแอปฯ ในสหรัฐฯ ครั้งนี้อาจส่งผลต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ ว่า มีผู้ใช้งาน TikTok ในสหรัฐฯ รวมกว่า 170 ล้านคน และการแบนในครั้งนี้อาจส่งผลต่อธุรกิจรายเล็ก ๆ ที่ทำธุรกิจบนแพลตฟอร์มนี้จะสูญเสียการสร้างรายได้มากกว่า 1,000 ล้านดอลลาร์ และครีเอเตอร์ TikTok อาจสูญเสียรายได้เกือบ 300 ล้านดอลลาร์ในเวลาเพียงแค่ 1 เดือน อีกทั้ง TikTok ก็มีส่วนในการเพิ่ม GDP ของสหรัฐฯ รวม ๆ 8,500 ล้านดอลลาร์

อย่างไรก็ตามก็ต้องรอดูท่าทีในวันที่ 20 มกราคมนี้อีกครั้ง ซึ่งเป็นวันจัดงานพิธีสาบานตนของโดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) ขึ้นรับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ว่าจะยกเลิกกฎหมายแบนแอปฯ ทันทีหรือไม่ เพราะทรัมป์มีท่าทีสนับสนุนยกเลิกกฎหมายแบนแอปฯ TikTok มาโดยตลอดหลังช่วงเลือกตั้งใหญ่สหรัฐฯ

ที่มา : The Verge และ CNBC