เอารีวิวกล้อง Samsung Galaxy Camera มาฝากจ้า


คุณสมบัติเด่น
ความละเอียด 16.3 ล้านพิกเซล (เซ็นเซอร์แบบ BSI CMOS 1/2.3 นิ้ว)
เลนส์ 21X Optical Zoom รูรับแสง F2.8 พร้อมระบบกันสั่น OIS ที่ตัวเลนส์
จอภาพแบบ HD Super Clear Touch ขนาด 4.77 นิ้ว
รองรับซิมการ์ดระบบ 3G และ 4G (HSPA + 21Mbps): 850 / 900 / 1900 / 2100 MHz
CPU 1.4 GHz Quad-Core
ระบบปฏิบัติการ Android 4.1 (Jelly Bean)
หน่วยความจำในตัว 8GB พร้อมช่อง micro SD รองรับทั้ง SDHC, SDXC
รายละเอียดข้อมูลกล้องเพิ่มเติม ดูได้จากเว็บผู้ผลิต http://www.samsung.com/th/


โหมดถ่ายภาพ อย่างง่ายๆ แต่ให้ภาพได้แบบมืออาชีพ (สมาร์ทโปร)

ช่วยให้การถ่ายภาพของเราเป็นเรื่องง่ายขึ้น เพราะมีโหมดถ่ายภาพหลายแบบ ทั้งสำหรับมือใหม่ (อัตโนมัติ , โหมดถ่ายรูป, สมาร์ทโปร) และมือเก๋า (ผู้เชี่ยวชาญ โหมด P, A, S, M) ให้เลือกใช้งานได้ตามความต้องการ และความชำนาญในการถ่ายภาพของแต่บุคคล

โดยเฉพาะในโหมด สมาร์ทโปร ที่มีคำแปล ที่เข้าใจง่ายๆ อย่างเช่น “รอยแสง” , “น้ำตก” ที่ผมว่า ใช้คำอธิบายได้ดี แม้จะออกๆไปทาง ชื่อหนังซีรีย์เกาหลีนิดๆ แต่ก็เข้าใจได้ง่ายๆ ว่าคือโหมดสำหรับถ่ายภาพอะไร พร้อมภาพตัวอย่างที่ชัดเจน เลือกใช้ได้ทันที ตรงนี้ทำได้ดีครับ

เลนส์ 21X Optical Zoom รูรับแสง F2.8 พร้อมระบบกันสั่น OIS ที่ตัวเลนส์

มีหลายๆท่านถามว่า Samsung Galaxy Camera จะต่างกับ กล้องถ่ายภาพในมือถืออย่างไร ก็ตอบได้สั้นๆ ง่ายๆ ทันทีว่า กล้องถ่ายภาพบนมือถือนั้น “ซูมไม่ได้” แต่กล้อง Samsung Galaxy Camera ตัวนี้ สามารถซูมได้มากถึง 21X หรือ 21 เท่า เราจึงสามารถถ่ายภาพ เหตุการณ์ที่อยู่ไกลๆ ได้ในมุมมองที่ใกล้ชิดยิ่งขึ้น ซึ่งมือถือไม่สามารถทำได้ ในขณะที่เลนส์ถ่าภยาพ ก็ถ่ายภาพมุมกว้างๆ ได้ดีเช่นกัน จึงทำให้เป็นกล้องที่ถ่ายภาพได้เอนกประสงค์มากๆ

สำหรับระบบกันสั่นที่ 21X ก็ทำงานได้ดี ภาพทดสอบทั้งหมดที่ถ่ายที่ 21X นี้ ล้วนไม่ได้ใช้ขาตั้งกล้องทั้งสิ้น แต่ก็ยังให้ภาพที่คมชัดมากๆ แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพของระบบกันสั่น ที่ทำงานได้อย่างดีเยี่ยม อันเป็นหัวใจสำคัญมากๆ สำหรับกล้องที่มีการซูมเลนส์เยอะๆแบบนี้ ไม่เชื่อลองปิดระบบกันสั่น แล้วถ่ายภาพที่ 21X ดูนะครับ หรือใครที่มีกล้องที่ซูมได้เยอะๆ ลองปิดกันสั่นแล้วซูมไปให้สุดดู จะรู้เลยว่า ระบบกันสั่นนั่น มีความสำคัญเพียงใดกับกล้อง Superzoom แบบนี้

กล้อง Android ! กล้องลูกครึ่งมือถือ

โดยส่วนตัวแล้ว ผมชอบเรียก Samsung Galaxy Camera ว่าเป็น “กล้องลูกครึ่งมือถือ” ด้วยความรู้สึกในการใช้งาน ที่ผสมๆกันไป ระหว่างการใช้งานกล้อง กับการใช้งานมือถือ โดยเฉพาะในฐานะที่เคยใช้งานกล้องมาหลากหลายแบบ และในขณะเดียวกัน ก็ใช้มือถือ และ tablet ที่เป็นระบบ Android มาก่อน ซึ่งพอมาใช้งาน Samsung Galaxy Camera แล้วในขณะเปิดปิดกล้อง หรือในการเลื่อนหน้าจอ เพื่อหา icon ของ apps ต่างๆนั้น เหมือนว่าเรากำลังใช้งานมือถือ หรือ tablet ระบบ Android อยู่มากๆ ซึ่งหากถือและใช้งาน apps ไปนานๆ หลายๆที ผมลืมไปเลยด้วยซ้ำว่า กำลังถือกล้องอยู่ในมือ เพราะเลนส์เขาก็ยังไม่ยื่นออกมา หดเก็บเข้าที่เข้าทางเรียบร้อย หน้าจอด้านบนที่ใหญ่จรดขอบในทุกๆด้าน ก็ให้ความรู้สึก เหมือนๆ กำลังถือมือถือ smart phone อยู่

จนกระทั่งคุณแตะไปที่ icon รูปกล้อง และเลนส์ซูม 21X ยื่นออกมาเท่านั้นแหละ ความรู้สึกที่คุ้นเคยของกล้องดิจิตอลคอมแพ็ค ถึงจะปรากฏตัวออกมาให้เราระลึกได้ว่า อ้าวนี่มันกล้องถ่ายรูปนิน่า แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องบอกว่า แรกๆที่เริ่มใช้งาน Samsung Galaxy Camera ตัวนี้ ผมรู้สึกขัดๆ ความรู้สึกอยู่บ้างเล็กน้อย อยู่ 2 ตอนด้วยกันคือ

1. ตอนเปิดกล้องแล้ว เราต้องแตะปุ่ม icon รูปกล้องก่อน เลนส์จึงจะยื่นออกมาพร้อมถ่ายภาพ ซึ่งมันจะต่างกับเวลาเราใช้งานกล้องคอมแพ็คโดยทั่วไป ที่เมื่อเปิดกล้องแล้ว เลนส์จะยื่นออกมาทันที แต่ตัวนี้ การเปิด เป็นแค่การเริ่มต้นบูธระบบ Android เหมือนกับเวลาเราเปิดมือถือ เลนส์จะยังไม่ยื่นออกมา เราต้องรอจน Android พร้อมใช้งาน แล้วจึงแตะที่ป icon รูปกล้อง เลนส์จึงจะยื่น หน้าจอจึงจะพร้อมสำหรับถ่ายภาพ ตรงจุดนี้ จะเป็นจุดแตกต่างที่สำคัญ กับการใช้งานกล้องดิจิตอลโดยทั่วไป กับกล้อง Samsung Galaxy Camera ตัวนี้ แต่พอใช้ไปสักพัก ก็คุ้นเคยได้ดี ใช้งานไม่ยาก และจะว่าไป มันก็เหมือนกับ การใช้งาน smart phone ของคุณนั่นเอง คือ อยากถ่ายก็แตะ icon รูปกล้อง เพื่อเรียกการทำงานของกล้อง พอปิดกล้อง ก็กลับไปใช้ในโหมด Android ตามปกติ

2. เช่นเดียวกับตอนเปิด ตอนปิด ก็เช่นกัน คือ เวลากดปุ่มปิดกล้อง มันจะยังไม่ปิด แต่จะขึ้นหน้าจอมาถาม ให้เรา confirm ว่าต้องการปิด หรือต้องการเลือกเป็น flight mode ฯลฯ ซึ่งตอนแรกก็แปลกๆอยู่บ้าง คล้ายๆกับตอนเปิด แต่พอใช้ไปสักพัก ก็คุ้นเคย เหมือนกับเวลาเราปิด smart phone เช่นกัน

ในทางตรงกันข้าม การที่ใช้ระบบปฏิบัติการ Android นี้ ผมว่ามีประโยชน์มหาศาล ตรงที่เราสามารถเลื่อกโหมด Apps ที่เราชื่นชอบมาใช้งานได้ มากมายมหาศาล อาทิ instagram เพื่อแชร์ภาพที่เราถ่าย หรือการโหลดขึ้น Facebook ก็ทำได้ทันทีง่ายๆ จากตัวกล้อง หรือแม้แต่หากเบื่อๆ เราก็อาจจะเลือกโหมด Apps เกมส์ฮิตๆ อย่าง Angry Birds ฯลฯ มาไว้บนกล้อง แล้วนั่งเล่นแก้เบื่อ ในระหว่างที่รอถ่ายภาพ หรือรอแสงดวงอาทิตย์ตก อะไรแบบนี้ก็ได้ ซึ่งผมว่ากล้องถ่ายภาพทั่วๆไป ทำแบบที่ว่านี้ ไม่ได้แน่นอน หรืออย่างน้อยก็ต้องอาศัยอุปกรณ์ตัวอื่น ผ่านระบบ Wi-Fi เพื่อเชื่อมต่ออีกที แต่สำหรับ Samsung Galaxy Camera ไม่ต้องอาศัยอุปกรณ์ตัวอื่นๆแต่อย่างใด เพราะมี Sim card 3G อยู่ในตัว สามารถโหลดภาพขึ้น Facebook, instragram หรือแม้แต่ เข้ามาโพสต์รูปในกระทู้เว็บ taKLONG.com แห่งนี้ ก็ได้จากกล้องโดยตรง ซึ่งกล้องตัวอื่นๆ คงได้แค่ฝันเท่านั้นเอง

สำหรับคุณสมบัติอื่นๆ ที่เพิ่มเข้ามา และผมคิดว่าใช้ประโยชน์ได้จริง น่าจะเป็นคุณสมบัติด้านการถ่ายภาพสร้างสรรค์แปลกๆ ที่มีอยู่ใน มือถือ smartphone หรือ Samsung Galaxy Note II อย่าง Best Face ที่น่าสนใจมาก มาบรรจุไว้ในกล้อง Samsung Galaxy Camera ตัวนี้ด้วย ช่วยเวลาที่เราถ่ายภาพหมู่ กับเพื่อนๆหลายๆคน ที่คงเคยเจอปัญหาว่า หน้าคนนี้ดี คนนั้นไม่ดี แต่ถ้าเราใช้ระบบ Best Face กล้องจะถ่ายภาพหลายๆภาพไว้เผื่อเลือก และระบบจะคัดเลือกบริเวณส่วนใบหน้า ของแต่ละคนขึ้นมาให้เราเลือกว่า คนที่ 1 ชอบภาพหน้าตัวเองหน้าไหน ก็เลือกได้เลย จากนั้นก็ไปคนที่ 2 เลือก ถัดไปก็คนที่ 3 เลือก ไปเรื่อยๆ จนครบทุกคน พอทุกคนพอใจในใบหน้าที่เลือกแล้ว กล้องก็จะทำการปรับเอาหน้าของทุกๆคนที่เลือก ใบหน้าที่ตัวเองชอบที่สุด นำมาใส่รวมกันลงไปในรูปใบเดียวกัน จึงทำให้ทุกคนพอใจในรูปหมู่ของเราขึ้นมา โดยไม่ต้องไปพึ่งพาโปรแกรมตกแต่งภาพแต่อย่างใด หรือไม่ต้องเสียเวลาไปทำเพิ่มเติมในคอมพิวเตอร์

นอกจากนี้ เรายังสามารถแชร์ภาพหมู่ หรือภาพอื่นๆที่เราถ่ายด้วยกล้อง Samsung Galaxy Camera นี้ ไปยัง smartphone หรืออุปกรณ์ที่เชื่อมต่อ Wi-Fi ได้ของทุกๆคน ได้ทันที เพียงเปิดระบบ Wi-Fi ของกล้อง และแชร์ภาพไปยังอุปกรณ์ Wi-Fi ของทุกๆคนได้ง่ายๆ จึงไม่ต้องมานั่งส่งเมล์รูปให้เพื่อนๆทุกคน เวลากลับจากทริป หรือเวลาถ่ายภาพหมู่อีกต่อไป เพราะคุณสามารถนำภาพที่ถ่ายนี้ ส่งให้เพื่อนๆทุกๆคน ณ ตรงที่ถ่ายภาพนั่นได้ทันที …

ในด้านของคุณภาพของภาพที่ได้

คุณภาพของภาพ โดยรวมถือว่าใช้ได้ น่าจะต้องยกประโยชน์ให้กับ เซ็นเซอร์แบบ BSI หรือ Backside Illumination ซึ่งเป็นระบบเซ็นเซอร์ที่พัฒนาล่าสุดแล้ว โดยอาศัยหลักการนำเอา แผงวงจรต่างๆ ไปไว้ทางด้านหลัง ให้ส่วนบริเวณรับแสงอยู่ทางด้านหน้า กล่าวคือ เซ็นเซอร์แบบ CMOS ส่วนใหญ่ โดยทั่วไป ปกติจะมีแผงวงจรต่างๆบนตัวเซ็นเซอร์อยู่ทางด้านหน้า หรือที่เรียกว่า FSI หรือ Frontside Illumination แต่เซ็นเซอร์ของ Samsung Galaxy Camera ตัวนี้ ใช้เซ็นเซอร์แบบ BSI หรือ Backside Illumination วงจรอยู่ทางด้านหลัง ไม่มาเกะกะด้านหน้า จึงทำให้การรับแสงทำได้เต็มที่มากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะเมื่อถ่ายในที่แสงน้อยๆ จะมีประสิทธิภาพดีกว่ากล้องโดยทั่วไป

ทั้งนี้ อย่าเอาไปเทียบกับกล้องระดับโปร อย่างพวก DSLR นะครับ เพราะคงเทียบกันขนาดนั้นไม่ได้ เนื่องจาก Samsung Galaxy Camera นั้น ใช้เซ็นเซอร์ขนาดเดียวกับกล้องคอมแพ็คเท่านั้น จึงให้ภาพได้เทียบเท่ากับกล้องคอมแพ็คดีๆ (ที่ใช้เซ็นเซอร์แบบ BSI) เท่านั้นเอง ซึ่งแน่นอนว่า อาจจะพอมี noise อยู่บ้างที่ ISO สูงกว่า 800 ขึ้นไป ซึ่งก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติของกล้องคอมแพ็ค เท่าที่ทดสอบดู แนะนำให้ใช้ ISO ประมาณ 100 – 400 ถือว่าใช้งานได้ดี ไม่ต้องกังวลเรื่อง noise มากนัก ด้วยคุณสมบัติที่ดีของเซ็นเซอร์แบบ BSI

สำหรับระบบกันสั่น ถือว่าสุดยอด ช่วยให้คุณภาพของภาพที่ได้ เมื่อซูมสุดที่ 21X ยังคงคมชัดอยู่ได้ แม้ไม่ได้ใช้ขาตั้งกล้อง ตรงนี้ถือว่าทำได้ดีมากๆ และช่วยเรื่องคุณภาพโดยรวมของกล้องได้มากทีเดียว

ถ่ายภาพต่อเนื่อง ที่ความละเอียดสูง ได้อย่างรวดเร็ว

แม้ว่าจะจัดอยู่ในกลุ่มกล้องคอมแพ็ค แต่ Samsung Galaxy Camera ตัวนี้ ก็แสดงศักยภาพในการถ่ายภาพ อย่างเหนือชั้น ที่แม้แต่กล้อง DSLR ก็อาจจะทำไม่ได้ คือ การถ่ายภาพต่อเนื่อง Contunuous ติดๆกัน อย่างรวดเร็ว ที่ต้องบอกว่าเร็วมากๆ เร็วกว่ากล้อง DSLR โดยทั่วไปด้วยซ้ำไป ผมได้ลองเอากล้อง Samsung Galaxy Camera ตัวนี้ มาถ่ายรถไฟฟ้า BTS ที่วิ่งด้วยความเร็วสูง ผ่านช่องตึกช่วงสั้นๆดู ปรากฏว่า กล้องตัวนี้ สามารถถ่ายภาพรถไฟฟ้า BTS 1 ขบวน (3 โบกี้) ที่วิ่งผ่านช่องตึกแคบๆ ได้ทั้งหมด 16 ภาพ ตั้งแต่หัวขบวนจรดท้ายขบวน ถือว่าสุดยอดมาก ผมว่ากล้อง DSLR ของคุณปกติๆ น่าจะถ่ายได้แค่สัก 5-6 ภาพเท่านั้น แสดงว่าสามารถถ่ายรัวได้เร็วมากจริงๆ เกินความคาดหมายของผมตอนแรกที่ลองถ่ายด้วยซ้ำ คิดว่าน่าจะได้อย่างมากก็สัก 7-8 ภาพ แต่นี่ได้ถึง 16 ภาพเลยทีเดียว สุดยอดจริงๆ สำหรับการถ่ายภาพรัวๆ ที่สำคัญ ไม่ใช่เป็นการถ่ายรัว ที่ความละเอียดต่ำๆ แต่เป็นการถ่ายภาพรัวๆ ที่ความละเอียดสูง คิดว่าต้องยกเครดิตเรื่องนี้ ให้กับ CPU 1.4 GHz Quad-Core จริงๆ

อย่างไรก็ตาม ก็เป็นธรรมดาที่กล้องคอมแพ็คตัวเล็กๆ ที่ซูมได้เยอะๆแบบนี้ เวลาที่เราถ่ายวิดีโอ แล้วซูมเลนส์เข้าออก จะมีเสียงของเฟืองติดเข้าไปในไฟล์วิดีโอของเราด้วย รวมทั้งจังหวะที่เราซูม จะเกิดอาการกระตุกๆด้วย แต่อาการเหล่านี้ ก็เป็นเรื่องปกติ กับกล้องคอมแพ็คทุกตัวทุกยี่ห้อ ก็มีลักษณะเช่นนี้ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร แต่ทุกครั้งที่ใช้ถ่ายวิดีโอ ควรถ่ายโดยไม่มีการซูม หรือควรซูมให้ได้มุมมองที่ต้องการก่อนค่อยถ่ายวิดีโอนะครับ

นอกจากนี้ สิ่งที่ปรากฏเป็นข้อควรระวัง เวลาใช้งานกล้อง Samsung Galaxy Camera ตัวนี้ ก็คือ ระวังนิ้วมือ โดยเฉพาะนิ้วหัวแม่มือขวา หรืออุ้งมือตรงโคนนิ้วหัวแม่มือขวาของเรา ที่กำลังจับถือกล้องอยู่ มักจะไปโดนปุ่ม back ที่อยู่แถวๆนั้นพอดี และเนื่องจากจอเป็นระบบสัมผัสที่ไวมากๆ ทำให้นิ้ว หรืออุ้งมือของเรา มักจะโดนนิ้วหรืออุ้งมือไปแตะโดนโดยไม่ตั้งใจ แล้วทำให้กล้องหยุดการทำงานในโหมดถ่ายภาพ กลับไปเป็นโหมด Home (เลนส์หุบ) หน้าจอกลายเป็น icon ของ apps ต่างๆไปแทน ทั้งๆที่เรากำลังต้องการถ่ายภาพอยู่ ต้องกลับไปแตะที่ icon รูปกล้อง เพื่อให้กล้องกลับมาทำงานในโหมดสำหรับถ่ายภาพอีกที จึงอาจจะทำให้ในบางครั้งเราพลาดโอกาสสำหรับถ่ายภาพไปได้บ้าง แต่หากเราระมัดระวัง และเริ่มคุ้นเคยกับการใช้กล้องตัวนี้แล้ว ก็จะเห็นได้ว่า เป็นกล้องที่มหัศจรรย์มากจริงๆ เหมือนมีกล้อง และมือถืออยู่ในตัวเดียวกัน

แต่ที่สำคัญที่สุด ที่ผมคิดว่าไม่มีกล้องตัวไหนทำได้เหมือน Samsung Galaxy Camera นี้แน่ๆ ก็คือ คุณสามารถเล่นเจ้า Angry Birds หรือ ปลูกผักได้บนกล้องของคุณ … ในระหว่างที่คุณกำลังรอถ่ายภาพดวงอาทิตย์ตก โดยที่กล้อง ก็ยังตั้งอยู่บนขาตั้งกล้องของคุณ .. ผมว่ามันเป็นอะไรที่ สุดยอดมากจริงๆ !

ขอบคุณข้อมูลจาก Webmaster taKLONG.com