ในมือมี XE อยู่ครับ
เรื่องของเรื่องคือ ไปหัวหินมาครับ
แล้วทีนี้ ตัวเองเปิดระบบ navigaion เอาไว้นำทางด้วย (ลองใช้งาน) แล้วก็เสียบไฟชาร์จ(ในรถ)ไว้ด้วย
ตอนก่อนเดินทาง มีแบตอยู่ประมาณ 60%
หลังจากนั้นสามชั่วโมง… พอเดินทางถึงจุดหมาย ปิด navigation / ถอดสายไฟชาร์จออก
ปรากฎว่าแบตเหลืออยู่ 20% ครับ โน้วววววว
ตอนแรกก็คิดว่า ไอ้ตัวปลั๊กเสียบไฟจุดบุหรี่ มันจ่ายไฟน้อยไปหรือเปล่า ก็ไม่น่าใช่
เพราะใช้ของ Capdase ตัวเล็กๆ ที่จ่ายไฟได้ 1A เท่ากับตัว wall charger ของ HTC เป๊ะๆ
มีใครเคยเจออาการนี้บ้างมั้ยครับ มันเป็นปกติหรือเปล่า
แล้วถ้ามันเป็นกันทุกคน แล้วผมจะใช้มันนำทาง กรุงเทพฯ-เชียงใหม่ได้ยังไงล่ะ แบตหมดกลางทางพอดีสิ T^T
เคยเป็นครับ
แต่ของผมสาเหตมาจากสาย charge ครับ ซื้อมา 100 นึง
เสียบแล้วขึ้น charging แต่ % ไม่เพิ่มเลยครับ
พอเปลี่ยนไปใช้สายแท้ หายเลยครับ
ต้นเหตุเป็นไปได้สองอย่างครับ คือตัวสายที่ใช้ชาร์จคุณภาพต่ำ เคยพบว่าชาร์จช้าเช่นกัน เจอกับตัวเองตอนไปใช้สายชาร์จถูกๆเส้นละ 80 บาท อีกสาเหตุนึงก็น่าจะเกิดจากไฟจากที่จุดบุหรี่ ไม่สม่ำเสมอ ยิ่งรถแต่งเครื่องเสียง มักพบปัญหานี้ เคยพบกับตัวเองเลย มันสวิงมาก โดยปกติมันจะจ่ายไฟที่ 12v-15v แต่บ่อยครั้งที่พบว่ามัน Drop ลงมาเหลือเพียง 10v ทำให้ Car Charger ทำงานได้ไม่ดี
ผมยกตัวอย่าง Car Charger ของ HTC Sensation นี่ก็แล้วกัน มันรับ Input ที่ 10v-30v และมี Output ที่ 5v 1A ซึงเป็นมาตรฐานของประจุแบตฯมือถือรุ่นใหม่ๆ เช่น Sensation เป็นต้น แบตฯมือถือที่มี Input ที่ 0.5A นั้นก็เช่นพวก Nokia 5800 N97 เป็นต้น สังเกตุได้ง่ายๆคือ การนำไปชาร์จกับ USB Computer ซึ่งให้ Output อยู่ที่ 5v 0.5A (หรือน้อยกว่าเล็กน้อย) ถ้าเป็น Nokia 5800 จะใช้เวลาแทบไม่แตกต่างจากใช้ Wall Charge หรืออาจช้ากว่าเล็กน้อย แต่ถ้าเป็น Sensation นั้นจะช้ามาก และถ้าใช้ Galaxy Tab นั้นจะชาร์จไม่เข้าเลย (ยกเว้นมีการดัดแปลงสายชาร์จ)
ดูแนวโน้มแล้วปัญหาคุณน่าจะมาจากไฟจากรถไม่พอ สามารถตรวจสอบได้โดยการวัดเอง หรือนำไปให้ร้านแต่งเครื่องเสียงวัดให้ก็ได้ครับ หากไม่มีความรู้ด้านไฟฟ้านั้น ในท้องตลาดก็มีอุปกรณ์วัดไฟจากที่จุดบุหรี่โดยเฉพาะ ราคาตั้งแต่ 250-800 หากพบว่าไฟมันดรอปไปจากปกตินั้นให้เช็คว่าอุปกรณ์ไฟฟ้าในรถใช้ไฟมากเกินไปหรือไม่ ถ้าไม่ก็เป็นไปได้ว่าแบตฯรถอาจเสื่อมแล้ว หรือถ้ามีการใช้ไฟฟ้าเยอะ อาจต้องลงทุนเพิ่มเช่นเปลี่ยนแบตฯที่มีแอมป์สูงขึ้นเป็นต้นครับ ^^
อาจเกี่ยวกับสายด้วยครับ ส่วนมากสาย usb จะเป็นสายที่ใช้ได้ทั้ง data กับ power แต่ก็จะมีสายอีกประเภทที่เป็นแบบ charge อย่างเดียว เสียบกับคอมแล้วจะไม่ detect โดยเครื่องมันจะมองว่า charge ผ่าน AC ก็จะดึงไฟเกิน 500 mA ครับ เจอมากับตัวเลยคือ Sanyo mobile booster จะแถมสายแบบนี้มาให้ สามารถ charge ได้ถึง 1A แต่ถ้าใช้สาย data usb ธรรมดาจะได้ไม่เกิน 500mA ครับ
ใช้โปรแกรม Elixar2 > Device info > battery > more info ครับ ตรง Plugged จะบอกว่าเราเสียบสาย USB หรือ AC
เท่าที่ลองหาๆ ดู น่าจะต้องใช้สายประเภทที่ D+, D- short หากันในฝั่งของโทรศัพท์ จะทำให้ โทรศัพท์มองว่าเป็นการ charge แบบ ac ครับ
http://www.podfeet.com/wordpress/tutorials/make-your-own-charge-only-usb-cable-for-the-novatel-mifi/
ผมว่าคุณ tong053 ให้ข้อมูลผิดนะครับ D+ D- ของ USB คือ Data ไม่ใช่ส่วนจ่ายไฟ ใน link เค้าก็ไม่ได้ บัดกรีขา D+ D- ด้วย ดูง่ายๆ เลย ส่วนจ่ายไฟ Port USB ทุก sereis ไม่ว่า จะ A to B หรือ A to mini usb หรือ A to Micro usb ส่วนที่จ่ายไฟ จะอยู่ที่ ขา1 เป็นบวก(สายแดง) ขา 4 เป็น ground หรือลบ ส่วน(สายดำหรือสายเปลือย) ขา 2จะเป็น D-(สายขาว) และ ขา 3 จะเป็น D+(สายเขียว) ลองดูข้อมูลได้
http://en.wikipedia.org/wiki/USB
ถ้าแค่ บัดกรี ขา D+ D- เข้าหากัน ต่อให้เอาไปชาร์จกับมือถือยี่ห้อไหนมันก็ไม่ชาร์จหรอกครับ ในทางกลับกัน ถ้าเราบัดกรี เฉพาะขา 1 กับ 4 ถ้าเอาเสียบช่อง USB computer จะไม่ detect แต่ชาร์จไฟได้ และที่สำคัญ การรับ Input นั้น ต่อให้ที่ชาร์จจะจ่าย 2A ถ้าอุปกรณ์ device รับไม่เกิน 500mA การใช้ที่ชาร์จ ที่ Amp สูงก็ไม่ได้ช่วยให้ชาร์จอุปกรณ์ได้เต็มไวขึ้นครับ ว่างๆเดี๋ยวผมจะถ่ายรูป การวัด load ของอุปกรณ์ให้ดูว่า เป็นแบบที่ผมกล่าวไหม
คือ ผมหมายถึงว่า ตัวจ่ายไฟเค้าปล่อย 1A แล้ว แต่โทรศัพท์ไม่ยอมดึงเต็ม 1A อาจเป็นเพราะสายอะครับ คิดว่าสายตาม spec Charging ports http://en.wikipedia.org/wiki/USB#Charging_ports ซึ่งเค้า shorted ขา data เข้าหากัน น่าจะเป็นตัว trick ให้โทรศัพท์ดึงไฟจากตัวชาร์ตเต็มที่อะครับ
ของผมมีสายที่แถมกับ sanyo mobile booster ไม่รู้ว่าเป็นสายแบบนี้หรือเปล่า แต่สังเกตุว่าถ้าใช้สายนี้ ต่อให้เสียบกับคอม ในมือถือก็จะมองเป็น AC ครับ
ไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะยังไงก็ตาม limit ในการรับกระแส ไม่ได้อยู่ที่ตัวแหล่งจ่าย แต่อยู่ที่ Device หรือแหล่งรับ เสมมุติถ้า limit ของแหล่งรับมันรับอยู่ที่ 650mA ต่อให้เรามีที่ชาร์จ เป็น 5V 100A ก็ไม่สามารถทำให้ชาร์จได้ไวขึ้น เพราะ Spac battery ทุกรุ่น ไม่สามารถรับการชาร์จไฟได้เกิน 0.5C หรือ 50% ของค่า mAH ของ Batt เพราะถ้าเกินกว่านี้จะทำให้ Battery รับแรงดันที่มากเกินไปจนทำให้เกิดการระเบิดได้ เอาเป็นว่าผมจะ ถ่ายรูปการทดสอบ Load ให้ดู ที่ทำงานผมมีตัวชาร์จไฟจ่ายแรงกว่า Eneloop อีก แต่ตอนเอามาชาร์จ Sensation กลับจ่ายให้ Sensation ที่ 500mA แต่พอต่อทดสอบกับ Load กลับปล่อยกระแสได้ที่ 1.5A
ลองใช้สายที่มันให้มาด้วย ชาร์จตอน batt ใกล้จะหมดดูครับ
ผม ถามง่ายๆ เลยว่า
1.เคยทดสอบ Load หรือยัง
2. ได้วัดกระแสดูไหมระหว่างที่ชาร์จเพียวๆกับ ระหว่างชาร์จ
3. ไม่อ้างอิงระบบในโปรแกรม เพราะไม่ใช่อุปกรณ์ในการวัดโดยตรง อุปกรณ์ที่วัดดังกล่าวที่ผมหมายถึงคือ
– Meter จะเป็น Amp meter โดยตรง หรือ Multi mter ก็ได้
– Loader จะเป็น Multi loader หรือ อะไรก็ได้ที่ทำให้มันได้ค่า จะกี่ ome ก็ได้
– แหล่งจ่ายไฟ
– อุปกรณ์ที่ใช้ในการดึงกระแส เช่นมือถือ หรืออะไรก็ได้ทำให้ดึงไฟ
นี่แหละสิ่งที่ผมถาม คุณได้ลองหรือยังครับ ไม่ใช่ว่า ชาร์จแล้วอาศัยโปรแกรมในมือถือ แล้วเอามาอ้างอิง แล้วรู้สึกไปเองว่ามันไว เอาผลทดสอบทางปฏิบัติมาอ้างอิงสิครับ ที่ผม ถามๆอยู่นะ ได้ลองหรือยัง ถ้ายังก็แสดงว่า ข้อมูลไม่ชัดเจน เดี๋ยวผมจะทดสอบให้ดู ต่อให้ใช้สายแบบไปไหนมันก็ไม่ต่างกัน ถ้าตราบใด Device นั้น มี Max loadของตัวมันเอง อีกอย่างไอ้โปรแกรม Elixir 2 ผมไม่เห็นมันบอกเราตอนไหนเลยว่า Device เรารับ Input ที่ 1A ทั้งๆที่ชาร์จอยู่แท้ๆ อย่างอ้างอิงที่ cerrent ครับ เพราะมันไม่ใช้ ตัวบอก Maximun input ส่วนสายทำไมมัน Detect เป็น USB หรือ AC มันก็ไม่ได้เป็นตัวกำหนดว่า สายนั้นจะชาร์จได้ไว้ขึ้น เอาง่ายๆ ถ้าผมตัว สาย D- D+ ออก มันก็เห็นเป็นสาย AC เพราะโปรแกรมที่คุณอ้างอิงมัน อ้างอิงจากการที่ตัวเครื่อง มันจับวงจร USB ระหว่างชาร์จ
เอาเป็นว่าผมจะทดสอบให้ดูทั้งสาย USB และ แบบตัด D- D+ ออกมาทดสอบให้ดูด้วยก็ได้ ซึ่งจริงๆผมก็เคยทำมาแล้ว แต่ไม่เคยถ่ายรูป และผลที่ได้ก็คือไม่ต่างกัน เดี๋ยวพรุ่งนี้จะรื้อ Amp Meter กับ Load มาทดสอบถ่ายรูปให้ดูก็ได้ แล้วจะรู้ว่าสิ่งที่ผมพูดป็นจริงหรือเปล่า และตั้งแต่ผมเรียนมา ทฤษฏีไฟฟ้าและอเลิโทรนิคไหน ก็ไม่เคยมีบอกเลยว่า อุปกรณ์ที่มี Max load เท่านี้เท่านั้น สามารถ รับกระแสที่สูงกว่าค่า Max load แล้วอุปกรณ์นั้นจะปรับตัวไปชาร์จที่ค่านั้นด้วย ที่เค้าเรียก over load โดยที่ไม่เกิดการเสียหายกับอุปกรณ์ของมันเอง และถ้าเกิดการ over load ก็เท่ากับว่าอุปกรณ์นั้นมีการ short circuit เกิดขึ้นกับมันแล้วครับ มันถึงกระโดดไปเกินค่า Max load ในตัวมันเองได้
วันนี้ผมได้ทดสอบ short D+ D- แล้ว แต่มือถือก็ยังมองเป็น usb ปกติอยู่ดี แตก็ยังสงสัยสายของ sanyo อยู่ดี
ลองดูจากที่ผมถ่ายรูปไว้ครับ https://plus.google.com/u/0/103732248328483380479/posts/bHGzYqwa2Nw
ซึ่งผมใช้ notebook ตัวเดียวกัน port เดียวกัน มือถือตัวเดียวกัน ต่างตรงสายเท่านั้น แต่กลับจ่ายไฟเข้าไม่เท่ากัน
1A ของผมในที่นี้คงต้องหักส่วนที่กำลังใช้ไปในระหว่างเปิดหน้าจอด้วย ซึ่ง current ก็แถวๆ 600-700 นี่อะครับ อย่างน้อยเปิด gps ไปไฟก็น่าจะยังเข้า batt อยู่ ผิดกับ 350mA นี่เปิด gps ไปด้วยอาจมีลุ้นว่าไฟจะเข้า batt หรือไม่
ในส่วนของการวัดไฟด้วยอุปกรณ์ ผมทำไม่เป็นอะครับ คง check ได้แค่จากค่าที่โปรแกรมรายงานมา
แต่พอ test กับตัว sanyo เอง ไม่ว่าจะใช้สายของมันเอง หรือ usb ธรรมดา กลับวัดกระแสผ่านโปรแกรมได้ไม่ถึง 500mA อันนี้ไปไม่ถูกแล้ว
เพิ่มเติมเรื่องข้อมูล USB ที่คุณ tong053 เอาข้อมูลจากนี้มา
http://en.wikipedia.org/wiki/USB#Charging_ports
ซึ่งข้อมูลเค้าไม่ได้หมายความว่าการชาร์จผ่าน USB ของ computer สามารถจ่ายไฟได้สูงถึง 1.5A หลังจากทำการ short D- D+ แล้ว แต่เค้าหมายถึง Current output ของ USB type ครับ ที่สามารถรองรับ กระแสได้ถึง 1.5A สำหรับ USB 2.0 และ 2.7A สำหรับ USB 3.0ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับแหล่งกำเนิดพลังงาน โดย Computer นั้น สามารถจ่ายไฟได้ที่ 500 mA ต่อ 1 port เท่านั้น ไม่เกินนี้ ถ้าวิธีการ short D- D+ สามารถ ทำให้ USB port สามารถจ่ายกระแสได้เกินกว่าแหล่งกำเนิด ตามการโหลดจาก Device ป่านนี้คงมีคนโมสาย USB short D- D+ กันมาชาร์จ IPAD แล้วครับ ซึ่ง IPAD เอารับ Input ที่ 1.1A ในการชาร์จ และคงไม่มี Mainboard หลายๆบริษัทที่ ทำจุดขายตัวเอง ว่า USB Compatible with IPAD ออกมาอย่าง Gigabyte หรอกครับ
http://www.facebook.com/note.php?note_id=114854155209168
ดูที่ชาร์จครับว่าจ่ายไฟออกมา 5V หรือเปล่า แล้วลองทดสอบกระแสว่าจ่าย 1A เต็มจริงเปล่าด้วย เพราะจริงๆแล้ว Sensation รวมถึงมือถือแทบทุกยี่ห้อยกเว้น IPAD จะรับกระแสไฟ Input ที่ 5V 500mA เท่านั้นต่อให้ Adpater เราจ่ายไฟ 1-2A ก็ตาม มีแต่ IPAD นี่แหละครับที่รับการชาร์จไฟที่ 1.1A เต็มที่ผมทราบเพราะผมเคย ทดสอบต่อ Load กับ Meter Amp ดูแล้วทดสอบดูเลยรู้ว่า มือถือส่วนมารับ Load ที่ 500mA ต่อให้ แหล่งจ่ายไฟจะจ่ายกระแสกี่ Amp ก็ตาม ยังไงมันก็รับ input สูงสุดที่ 500 mA อยู่ดี พอดีโรงงานบริษัทผมมีเครื่องมือทดสอบพวก Battery Adapter เลยทำให้ทราบข้อมูลเชิงลึกครับ ถ้าเราทดสอบบ้านๆก็ทำได้ โดยเอา Meter เข็มหรือ Digital ที่ขายทั่วไปวัดก็ได้ครับ แค่ปรับไฟที่ V กับ A ก็วัดแรงดันกับกระแสได้แล้วเช่นกัน แต่ตอนวัดกระแส Amp เราต้องชาร์จไปด้วยเท่านั้นเองถึงจะวัด load ได้ครับ
อ่อเกือบลืม ถ้าวัดแรงดันได้ต่ำกว่า 5V แสดงว่า Adapter ไม่ได้คุณภาพครับ ถึงแม้เราจะเคยดูหลัง Battery ว่ามันเป็นไฟ 3.7V ก็ตาม แต่ความต่างศักดิ์ เวลาชาร์จ แหล่งจ่ายไฟต้องสูงกว่า อุปกรณ์ที่ต้องการไฟครับซึ่งเป็น +-5% ตามทฤษฎีไฟฟ้าเบื้องต้นอยู่แล้ว ซึ่งเราสามารถเช็คได้ ลองเอา Battery ที่ไฟเกือบหมามาวัดไฟดูได้ครับ มันจะเหลือประมาณ 3V นิดๆหรือ 2.9V เท่านั้น แต่พอเราชาร์จ Battery เต็มพอเามาวัดไฟจะได้ประมาณ 4.2-4.5V ครับ
OK เอาผลทดสอบมาให้ชมนะครับ ผมได้ทำการ short D- D+ แล้ว โดยอุปกรณ์ที่ใช้มีตามนี้
1. Amp Meter
2. Powerocks 6600mAH (เหมือน Eneloop รุ่น 5000mAH)
3.เครื่อง Sensation
4.สายที่ทำการ short D- D+
5.Load แบบเซรามิค
– เริ่มต้นก็เตรียม Battery Powerocksชาร์ให้เต็ม
– นำมาต่อ load แล้วตัว Amp ตามรูป เพื่อหา Output ที่ออกมากจากแหล่งกำเนิด
– วัดกระแสจะเห็นได้ว่า จ่ายออกมาที่ 1.3A +- 10%
-ต่อมานำมาต่อชาร์จ แบบสายที่มีการ short D- D+ แล้ว วัด load
– จะได้ค่า Max load ของอุปกรณ์ที่ดึงไฟ ตามรูปได้ที่ 500mA
ซึ่งนี่เป็นผลของ pure test ครับผมเข้าไปดูใน โปรแกรม Elixir2 มันโชว์ current load ที่ 662mA ซึ่งเท่ากับว่าโปรแกรมแสดงผมผิดเพี้ยน ผมมองว่าการ short D- D+ จะเป็นการทำให้โปรแรกมแสดงผลผิดพลาดมากกว่าการเพิ่ม กระแสหรือทำให้ตัวอุปกรณ์ดึงกระแสมากขึ้นครับ เพราะตราบใดถ้าเราไม่ทดสอบ pure test เราก็ไม่รู้ผลที่แท้จริง หรือแม้แต่โปรแกรมมันก็เชื่อไม่ได้ เพราะมันเป็น software ไม่ใช่ Tools หรือ testing ต่างๆ ที่เป็น hardware ครับ และที่สำคัญต้องดูด้วยว่าอุปกรณ์ที่ รองรับ มันรองรับ Max load ที่เท่าไหร่เช่น ดังในรูปคือ sensation รับ max load ที่ 500mA ต่อให้ full load หรือ stand by ครับ แต่การชาร์จแล้วเต็มช้าไว ต้องดูด้วยว่าเวลานั้นมีการ process ของ เครื่อง อยู่หนาดไหน ถ้า full load ตลอดก็ย่อมเต็มช้ากว่า stand by หรือ sleepmode ครับ
ก็ไม่เชิงนะครับ สายหรือ Adapter ช่วยให้อุปกรณ์ที่กินไฟมากกว่า 0.5A สามารถชาร์จจาก USB Port ได้นั้นก็มีครับ
สองภาพล่างนี้เป็นสายที่ผมทำเองครับ
เพียงแต่มันไม่ได้เป็นการลัดวงจร D+ D- เพียงอย่างเดียว แต่ใส่ตัวต้านทานคร่อมวงจรไปด้วย
ซึ่งผมเองก็เคยทำเอง และเคยใช้ ได้ผลดีครับ
ประเด็นอยู่ที่ว่าการ short D+ D- ทำให้ จ่ายกระแสไมด้มากกว่าเดิม ถูกไหมครับใน ที่ คุณ tong053 แจ้ง แต่ใน กรณีคุณ parotz มีการ เพิ่ม R เข้าไป ในจุดนี้ ตัว R ย่อมมีการเหนี่ยวนำปรับเปลี่ยนกระแสได้ อยู่แล้ว ซึ่งก็ไม่แปลก เหมือนกับหม้อแปลงไงครับ มีขดลวดที่เพิ่มหรือน้อยกว่ากันก็ สามารถทำให้ แรงดันไฟต่างกันได้ ทั้งๆที่ใช้วงจรเดียวกัน แต่กรณีที่มัน short D+ D- เพียวๆ ผมมองว่ามันไม่น่าจะทำให้ กระแสเพิ่มได้ ถูกไหมครับ หรือ ทางคุณ parotz คิดว่าเป็นไปได้???
สงสัยคุณ expleang จะไม่ได้อ่านที่ผมพิมพ์ไป
เพียงแต่มันไม่ได้เป็นการลัดวงจร D+ D- เพียงอย่างเดียว แต่ใส่ตัวต้านทานคร่อมวงจรไปด้วย
ประเด็นอยู่ที่ว่าการ short D+ D- ทำให้ จ่ายกระแสไฟด้มากกว่าเดิม ถูกไหมครับใน ที่ คุณ tong053 แจ้ง แต่ใน กรณีคุณ parotz มีการ เพิ่ม R เข้าไป ในจุดนี้ ตัว R ย่อมมีการเหนี่ยวนำปรับเปลี่ยนกระแสได้ อยู่แล้ว ซึ่งก็ไม่แปลก เหมือนกับหม้อแปลงไงครับ มีขดลวดที่เพิ่มหรือน้อยกว่ากันก็ สามารถทำให้ แรงดันไฟต่างกันได้ ทั้งๆที่ใช้วงจรเดียวกัน แต่กรณีที่มัน short D+ D- เพียวๆ ผมมองว่ามันไม่น่าจะทำให้ กระแสเพิ่มได้ ถูกไหมครับ หรือ ทางคุณ parotz คิดว่าเป็นไปได้??? ซึ่งจริงๆ ประเด็นนี้ไม่เกี่ยวกับ กระทู้นี่เลย เพราะกระทู้นี้จริงๆ จขกท ต้องการ ทราบปัญหา Adpater จ่ายไฟไม่พอหรือไม่แต่พอดีมีคนยกมาพูดถึงเรื่อง ตัว Device กับ อุปกรณ์ เหมือนประมาณ ตัวเครื่องจำเป็นต้องใช้ Adapter ที่กระแสะสูง เพราะ Device มันกินกระแสเช่นกัน ผมเลยยกประเด็นว่า Adapter ต่อให้ สูงเท่าไหร่ แต่แหล่งรับมันรับได้ที่ max load ของมัน ก็ไม่ทำให้ชาร์จไวขึ้น ต่อมาคุณ tong053 ก็มายกประเด็นว่า โมสายทำให้ชาร์จกระแสได้สูง และ Sensation ก็จะรับ max load นั้นด้วย ถูกไหม แต่ ผมก็ทดสอบเพื่อยกมายืนยันเรื่อง max load ว่า มันไม่ทำให้ชาร์จได้เร็วขึ้นต่อให้ โมสาย ใช่ไหมครับ ซึ่ง การโมสายแบบคุณ parotz ทำให้ กระแสสูงขึ้น แต่ก็ไม่ได้ทำให้ device นั้น ชาร์จได้ไวขึ้น นี่คือสิ่งที่ผมทดสอบผลออกมาครับ
———————————-
อ่านแล้วครับ เลยต้องมา edit เพิ่ม แต่พอดี คุณตอบก่อนเลย edit ต่อไม่ได้ และผมก็ตอบอยู่ว่ามีการเพิ่ม R เข้าไป ตั้งแต่ การตอบคุณครั้งแรกแล้ว ผมว่าผมไม่ได้ตอบไม่ครบนะ R กับ ตัวต้านทานมันไม่ใช่ตัวเดียวกันหรือ ??? ที่ผมเรียนมาเค้าก็เรียก R ไม่เคยเรียกอย่างอื่นนะครับ ???
ผมเพียงตอบคุณ expleang ว่า มันมีสาย Mod ออกมาขายครับ ผมถึงใช้คำว่า [color=Red]ก็ไม่เชิง[/color] เพราะว่ามันมีการ Mod ออกมาขายจริงๆ และผมก็ใช้คำว่า [color=Red]เพียงแต่มันไม่ได้เป็นการลัดวงจร D+ D- เพียงอย่างเดียว แต่ใส่ตัวต้านทานคร่อมวงจรไปด้วย[/color] เพื่ออธิบายให้คุณ tong053 ทราบว่ามันไม่ใช่การลัดวงจร D+ D- เพียงอย่างเดียว
สงสัยผมจะใช้ภาษาไทยได้ไม่ดีพอ ต้องขออภัย
ส่วนเรื่องการลัดวงจร D+ D- แล้วสามารถทำให้อุปกรณ์ชาร์จได้หรือไม่นั้น ถ้าลัดวงจรเพียงอย่างเดียว อาจทำให้อุปกรณ์บางตัว มอง Input เป็น AC ครับ แล้วทำการปล่อยให้ชาร์จ เพราะบางอุปกรณ์นั้นหากเห็นเป็น Syn Data มันจะไม่ชาร์จเลยก็มี ดังนั้นการลัดวงจร D+ D- นั้นอาจทำให้อุปกรณ์บางตัวเห็น Input เป็น AC เท่านั้นครับไม่ใช่การเพิ่มกระแสไฟ
คือมันไม่ได้เกี่ยวกับว่าคุณจะเรียกตัวต้านทานว่าอะไร ในวงจรที่ผมเอามามันก็ชัดเจนอยู่แล้ว เพียงแต่ผมคิดว่าถ้าคุณอ่าน คุณน่าจะเข้าใจความหมายของประโยคที่ว่า เพียงแต่มันไม่ได้เป็นการลัดวงจร D+ D- เพียงอย่างเดียว แต่ใส่ตัวต้านทานคร่อมวงจรไปด้วย นั่นอาจเพราะผมใช้ภาษาไทยสื่อสารได้ไม่ดีต้องขออภัยอีกครั้ง
ที่ผมเรียนมาเค้าก็เรียก R ไม่เคยเรียกอย่างอื่นนะครับ ???
ที่ผมเรียนมาเค้าเรียกว่าตัวต้านทานครับ หรืออ่านเป็นภาษาอังกฤษว่า รีซิสเตอร์ (resistor) ไม่มีใครเรียกว่า R ครับ การที่เรียกกันว่า R นั้นเป็นการที่ คนไทยบางส่วน อ่านในวงจรมันเขียนเป็นตัวอักษรย่อว่า R แล้วก็เรียกกันเองว่า R ครับ ถ้าไม่เช่นนั้น วาริสเตอร์ (varistor) ต้องอ่านว่า วาอา ด้วยหรือครับ
ไม่มีในแบบการเรียนการสอนให้เรียกว่า R แน่นอนครับ ผมให้กางตำราทุกเล่มได้เลย R ภาษาอ่าน เค้าอ่านว่า รีซิสเตอร์ หรือภาษาไทยอ่านว่าตัวต้านทานครับ
เอาเป็นว่า เรื่อง R กับตัวต้านทาน หรืออะไรมันคือเรื่องไม่เป็นเรื่องล่ะกัน เพราะ ถ้าคุณเองมองว่าคน ไทยบางส่วน เรียกตัวต้านทานว่า R คือผิด เท่ากับว่าคงต้องไปไล่บอกตั้งแต่คนสอนผมแล้วล่ะครับ จบไหม หรือคุณเองต้องการให้ผมแสดงจุดยังไงกับกระทู้นี้ เพราะผมเองก็คงเรียกมันว่า R ในแบบ คนไทยบางส่วนที่คุณว่าต่อไป เพราะผมเรียกมาจนติดปากไปแล้ว และก็เข้าใจว่ามันคือ resistor ดังนั้นต้องการให้ผมแสดงจุดยืนตรงไหนบอกมาครับ ถ้าคิดจะสอนผมน่ะครับ ผมยอมรับผมไม่พอใจกับคำตอบคุณมากกับคำว่า คนไทยบางส่วน เพราะเท่ากับว่าคุณกำลังดูถูกผมอยู่
ขอบคุณ
เนื่องจากคุณโพสว่า
ที่ผมเรียนมาเค้าก็เรียก R ไม่เคยเรียกอย่างอื่นนะครับ ???
ผมถึงตอบว่าไม่มีในการเรียนการสอนไหนใช้คำว่า R แน่นอน และแปลกใจด้วยที่คุณใช้คำว่า ไม่เคยเรียกเป็นอย่างอื่น
ตามภาษาทางอิเล็กทรอนิก
R เป็นสัญลักษณ์ อ่านว่า ซิสเตอร์ (resistor) ไม่ได้อ่านว่า อา
เช่นเดียวกับ
Ω ก็เป็นสัญลักษณ์ อ่านว่า โอห์ม (ohm) ไม่ได้อ่านว่า โอเมก้า
และที่ใช้คำว่า คนไทยบางส่วน เพราะ ไม่ใช่คนไทยทุกคนจะเรียกแบบนั้น ในตำราการเรียนการสอนก็ไม่ได้เรียกมันเช่นนั้น
แต่ที่ไม่ใช้คำว่า คนบางส่วน เพราะว่า ไม่มีต่างชาติหรือเจ้าของภาษาที่ไหนเรียกมันว่า R จะถามฝรั่ง ถามญี่ปุ่น หรือชาติไหนๆเค้าก็เรียกมันว่า resistor ทั้งนั้นครับ ดังนั้นผมใช้คำว่า คนไทยบางส่วน นั่นน่าจะถูกแล้ว และไม่เห็นว่ามันจะเป็นการดูถูกอะไร อะไรที่ทำให้คุณคิดว่าเป็นการดูถูกครับ?
เอาเป็นว่า คุณ กับผมจบตรงนี้พอนะ แล้วอย่ามาทักอะไรผมอีก เพราะมันไม่เกี่ยวข้องกับกระทู้นี้ แต่ผมยังคิดว่าคุณยังดูถูกผมอยู่ดี แล้วขอบคุณล่ะกันกับการแก้ Rom ให้ผมทดสอบ แต่ต่อไปนี้ผมคงไม่คิดจะคุยกับคุณล่ะ ถ้าคุณยังคิดว่า ใช้ คำว่าคนไทยบางส่วน มันไม่ทำให้รู้สึกแตกแยก ผมมองเป็นยังงั้นอยู่ดี แล้วยังมองว่าตนเองถูกต้องนะ อย่ามองว่าตัวเองถูกแล้ว จะอยู่สูงกว่าคนอื่น
และผมขอแก้ คำว่า R เป็น ตัวต้านทานล่ะ ตามที่คุณอยากให้ผมแก้ พอใจไหม??? จบไหม??? แล้วไม่ต้องมาทำอะไรให้กระทู้ความรู้ดีๆต้องมาเปื้อนเพราะ การคุยกับ ระหว่างคุณกับผมก็พอ
ขอบใจ
ไม่รุว่าทะเลาะอะไรกันนะครับ แต่มาอ่านแล้วรุสึกว่าพวกคุณเก่งมากๆ ทั้งคู่เลย ชื่นชมครับๆ
ผมเพียงแค่ให้ข้อมูลที่ถูกต้องแก่คนที่เข้ามาอ่านเท่านั้น
เพราะไม่ว่าตำราไหนๆก็ไม่ได้เรียกมันว่า R ยกตัวอย่างจากภาพด้านล่างสุด
คนไทยบางส่วนเรียกมันว่า R
จบหรือยังครับ???? เอาเป็นว่าผมชี้แจ้งกับคุณครับสุดท้ายล่ะกัน
1. คำว่า คนไทยบางส่วน คุณก็สามารถหลีกเลี่ยงโดยใช้คำว่า แต่บางทียังมีการใช้การเรียกผิดหรือใช้ศัพท์ย่อมที่ผิดเป็น R ก็จบ เพราะมันสอนมาหลายต่อหลายรุ่นแล้ว กับคำว่า R ในใช้เรียก ขนาดอาจารย์ผมเมื่อ 18ปีที่แล้วสมัยเรียน อิเลคฯตอน ม.ปลาย(ผมเรียกเอกวิทย์ วิชาเลือก ไฟฟ้าและอิเลคฯ) เค้าก็สอนมากับผมเลย คำว่า “ตัวต้านทานหรือเรียกง่ายๆว่า R” เค้าสอนมาแบบนี้ผมก็จำมาแบบนี้ เรียกจนติดปาก ขนาดไปคุยกะคนอิเลคฯเหมือนกัน บอกไปซื้อ R ค่านี้มา มันก็ไปหามาถูก แต่ช่างมันจบประเด็นไปแล้ว เพราะผมไม่พอใจกับคำจำแนก คนไทยบางส่วน กับความรู้สึกที่มองว่าเอ้ย “ไอ้นี่มันผิดเว้ย” มันทำให้แตกแยก ผมอาจจะคิดเองเออเองก็ได้ งั้นผมก็ใช้คำว่า ผมเป็นคนไทยบางส่วน ที่คิดเองเออเอง คุณอ่านแล้วรู้สึกไปในทางบวกหรือ มองในเชิงลบมากกว่ากัน
2. คำว่าไม่ต้องทัก ผมหมายถึง ไม่ต้องต่อโจทย์ ใน คคห นี้แล้วกับผม ไม่ได้หมายถึง เจอผมในกระทู้ไหน หรือของ custom rom คุณ ก็ทัก
3. ผมไม่ตลกด้วยครับ กับคำ บางคำใน คคห นี้ ของคุณ แต่ช่างมันไม่ใช่ประเด็น
เอาเป็นว่าผมจบ ล่ะ จบจริงๆ ไม่ตอบอะไรอีกแล้วล่ะที่มัน ก่อให้เกิดความแตกแยก ผมมองว่า ไร้สาะจริงๆ ที่มาตอบอะไรแบบนี้ แทนที่จะจบตั้งแต่ ให้ความรู้ดีๆไป มีแต่ผมกับคุณ ที่บ้าทั้งคู่มาตอบอะไรไร้สาระใส่ กัน OK คุณอยู่ส่วนคุณ ผมอยู่ส่วนผม แล้วก็ตอบคำถามเป็นประโยชน์ ให้คนใน web ดีกว่า
สุดท้าย ผมยินดีนะ ที่ได้ปะทะคารมณ์กับคุณ แล้วทำให้ได้ความรู้ที่ ก่อเกิดแก่ คนใน web ขอบคุณมาก และยังคุยกับผมได้นะ เพราะผมเลิกไร้สาระแล้ว
1. ถ้าผมใช้คำว่า
คุณก็สามารถหลีกเลี่ยงโดยใช้คำว่า แต่บางทียังมีการใช้การเรียกผิดหรือใช้ศัพท์ย่อมที่ผิดเป็น R
โห….. ผมต้องพิมพ์ยาวขนาดนั้นเลยหรือครับ และเดี๋ยวคุณก็จะบอกว่า ผมไปว่าคุณเรียกผิดอีกนั่นแหละ นี่ขนาดผมไม่ได้พูดว่าคุณผิดสักคำ คุณยังไม่พอใจผมได้เลย ขืนผมไปว่าคุณเรียกผิด คุณคงโกรธผมตายเลย แต่ถ้าคุณยืนยันอยากให้ผมใช้คำนั้นผมก็ยินดีครับ ส่วนคำว่าคนไทยบางส่วน สำหรับผมเฉยๆน่ะ ไม่ได้มีความหมายในทางเสื่อมเสีย ถ้าคุณคิดว่ามันเสื่อมเสีย คงต้องไปพูดถึงเรื่องภาษาไทยอีกเรืองด้วยแล้วล่ะครับ เพราะเท่าที่ผมเรียนมา คำว่า คนไทยบางส่วน มันไม่ได้มีความหมายในทางเสื่อมเสียครับ
บางส่วน (http://guru.sanook.com/search/knowledge_search.php?qID=&wi=&hnl=&ob=&asc=&q=%BA%D2%A7%CA%E8%C7%B9&select=1) มีความหมายในพจนานุกรมว่า ส่วนใดส่วนหนึ่งจากทั้งหมด
2. คำว่าไม่ต้องทัก ผมหมายถึง ไม่ต้องต่อโจทย์ ใน คคห นี้แล้วกับผม ไม่ได้หมายถึง เจอผมในกระทู้ไหน หรือของ custom rom คุณ ก็ทัก
อันนี้ก็สงสัย ภาษาไทยผมจะบกพร่องอีกแล้ว ผมอ่านที่คุณพิมพ์ว่า แต่ต่อไปนี้ผมคงไม่คิดจะคุยกับคุณล่ะ ถ้าคุณยังคิดว่า ใช้ คำว่าคนไทยบางส่วน มันไม่ทำให้รู้สึกแตกแยก ผมมองเป็นยังงั้นอยู่ดี แล้วยังมองว่าตนเองถูกต้องนะ อย่ามองว่าตัวเองถูกแล้ว จะอยู่สูงกว่าคนอื่น ผมก็นึกว่าคุณคงไม่พอใจผมจนไม่อยากจะให้ผมทักในกระทู้ไหนๆอีก ผมเข้าใจผิดอีกแล้วครับ ต้องขออภัย
3. ผมไม่ตลกด้วยครับ กับคำ บางคำใน คคห นี้ ของคุณ แต่ช่างมันไม่ใช่ประเด็น
อันนี้ผมไม่ได้ตลกกับคุณครับ ทุกอย่่างผมตอบตามความรู้ที่มี ถ้ามันจะถูกหรือผิดก็ถือว่าแลกเปลี่ยนกัน ไมได้เอามาเป็นอารมณ์ครับ ส่วนบางคำที่พิมพ์ไปถึงความรู้สึก เพราะผมรู้สึกอย่างนั้นจริงๆครับ
สุดท้ายด้วยว่าผมไม่ได้มีเจตนามาต่อเติมอารมณ์ไม่พอใจของคุณให้ลุกโชน เพียงแค่อธิบายที่คำบางคำที่ผมพูดแล้วคุณนึกโกรธ บางคนเค้าฟังแล้วก็เฉยๆ บางคำฟังแล้วคุณมีอารมณ์ แต่สำหรับผมมันไม่ได้มีความหมายอะไรมากกว่าจะบอกว่ามันไม่ใช่ทุกคนครับ
ช่างมันเถอะจบ แล้ว ผมลืมไปแล้ว อารมณ์ตอนนั้น ผมไปทำงานออกแบบวงจรให้น้องใน line ประกอบ ชิ้นงานเสร็จ ก็กลับมาตอบกระทู้ก็ลืมอารมร์ตอนนั้นไปแล้ว ชิวๆครับ ไม่ต้องคิดอะไรแล้ว ผมก็กลับเป็นปกติ แล้ว
ประเด็นหลักๆ ของผมก็เข้าใจนะ ว่าถ้าแหล่งจ่ายไฟมันให้ 500 ชาร์จยังไงมันก็ไม่ควรเกิน 500 แต่ถ้าแหล่งจ่ายมัน 1A มันไม่มีทางหรือที่จะจ่ายให้อุกรณ์เกิน 500 หรืออย่างน้อยๆ ก็ 750mA (0.5c อย่างที่ว่า) ผมเลยมองว่าสาเหตุหนึ่งอาจเป็นเพราะมือถือมันมองว่าสายมาลักษณะนี้ (usb) ต่อให้แหล่งจ่ายไฟเกิน 500mA มันก็จะดึงแค่ 500 เท่านั้น เลยพุ่งประเด็นไปที่สาย เพราะผมดันมีสายลักษณะที่ trick ให้มือถือมองเป็น AC ได้อยู่พอดี ซึ่งก็ให้ผลในทำนองเดียวกับที่คิดไว้ คือ สายแบบนี้ทำให้ตัวมือถือดึงไฟมากกว่าสายแบบ USB นั่นเอง
(ทั้งหมดนี้แหล่งจ่ายไฟต้องมากกว่า 500mA นะครับ usb port บนคอมก็เป็นหนึ่งในนั้น)