กทค. ชี้แจงการออกใบอนุญาตดาวเทียมไทยคม
โต้ข้อวิจารณ์คลาดเคลื่อนซ้ำซาก สวนผู้วิจารณ์บิดเบือนต้องรับผิดชอบ
จากกรณีที่มีผู้วิพากษ์วิจารณ์ ว่า การที่คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) โดยคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคม (กทค.) ออกใบอนุญาตประกอบกิจการดาวเทียมให้กับบริษัทไทยคม จำกัด (มหาชน) นั้น เป็นการไม่ปฏิบัติตามข้อกฎหมาย และก่อให้เกิดการผูกขาด ทำให้ประเทศชาติเสียผลประโยชน์ รวมทั้งมีการตีความข้อกฎหมายเข้าข้างเอกชนนั้น กทค. ขอชี้แจงว่าข้อวิพากษ์วิจารณ์ดังกล่าวมีการบิดเบือนไปจากความจริง อีกทั้งยังคลาดเคลื่อนต่อข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย ดังนั้นเพื่อมิให้เกิดความสับสนและเกิดความเข้าใจผิดจากสาธารณชน กทค.จึงขอชี้แจงข้อเท็จจริงดังนี้
ประเด็นที่ 1. กรณีที่ กสทช. โดย กทค. ถูกวิพากษ์วิจารณ์ ว่า การให้ใบอนุญาตประกอบกิจการโทรคมนาคมประเภทสาม ก. กับบริษัทไทยคม จำกัด (มหาชน) ในฐานะผู้ให้บริการช่องสัญญาณดาวเทียม (Satellite Network Operator) ที่มีอายุ 20 ปี โดยไม่ผ่านการประมูลคลื่นความถี่ ปิดโอกาสผู้ประกอบการรายใหม่ในการเข้าสู่ตลาดนั้น
กทค.ขอชี้แจงว่า ภายใต้ พ.ร.บ.ประกอบกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2544 มาตรา 7 กำหนดให้ผู้ประกอบกิจการโทรคมนาคมตามลักษณะและประเภทที่กำหนดจะต้องได้รับใบอนุญาตจากคณะกรรมการ ดังนั้นใบอนุญาตที่ กสทช. อนุมัติให้ บมจ.ไทยคมเป็นประเภท ใบอนุญาตเพื่อประกอบกิจการโทรคมนาคมมิใช่ใบอนุญาตใช้คลื่นความถี่ ตามมาตรา 45 แห่ง พ.ร.บ. องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯ พ.ศ. 2553 จึงไม่ต้องดำเนินการโดยวิธีการประมูลคลื่น สำหรับข้อมูลที่มีการกล่าวอ้างว่าใบอนุญาตประกอบกิจการโทรคมนาคมประเภทสาม ก. ให้กับ บมจ.ไทยคม ในฐานะผู้ให้บริการช่องสัญญาณดาวเทียม (Satellite Network Operator) ที่มีอายุ 20 ปี นั้น ความจริงแล้วเป็นการออกใบอนุญาตตามประกาศ กทช. เรื่อง หลักเกณฑ์ และวิธีการอนุญาตประกอบกิจการโทรคมนาคมแบบที่สาม มิใช่ใบอนุญาตประเภทสาม ก. ตามที่มีผู้วิพากษ์วิจารณ์แต่อย่างใด
ประเด็นที่ 2 มีการวิพากษ์วิจารณ์ โดยกล่าวอ้างว่า คณะกรรมการกิจการโทรคมนาคม (กทค.) ตีความว่า “ผู้ให้บริการช่องสัญญาณดาวเทียม เป็นกิจการที่ไม่ใช้คลื่นความถี่จึงไม่จำเป็น ต้องเปิดประมูลตาม พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯ พ.ศ. 2553 มาตรา 45 โดยให้เหตุผลว่า…เนื่องจากดาวเทียมเป็นวัตถุที่ลอยอยู่บนฟ้าเกินกว่า 100 กิโลเมตร จึงถือว่าอยู่นอกเหนือเขตอธิปไตยของไทย แต่สิ่งที่ กสทช. ควรตอบก็คือ ตำแหน่งวงโคจรไม่ว่าจะ 120 หรือ 50.5 องศาตะวันออก เป็นสิทธิที่ประเทศไทยได้รับการจัดสรรจาก ITU หากยึดตามที่ กทค. ตีความว่าอยู่นอกเหนือเขตอธิปไตยก็จะไม่มีประเทศใดสามารถบังคับใช้กฎหมายในประเทศนั้นๆ กำกับดูแลการให้บริการดาวเทียมของตนได้เลย
กทค. ขอชี้แจงว่า โดยข้อเท็จจริงแล้วการประกอบกิจการดาวเทียมสื่อสารมีองค์ประกอบหลัก 2 ประการ ได้แก่ 1.การมีสิทธิเป็นผู้ประกอบการโทรคมนาคมจะต้องได้รับการอนุญาตให้ประกอบกิจการโทรคมนาคม ภายใต้อำนาจหน้าที่ของ กสทช. และ 2. จะต้องดำเนินการให้ได้มาซึ่งเอกสารจองสิทธิในวงโคจรและย่านความถี่ (Filing) ที่จะใช้งานสำหรับดาวเทียมที่จะนำมาให้บริการ ซึ่งเอกสารดังกล่าวจะได้มาโดยผ่านกระบวนการระหว่างประเทศตามข้อกำหนดของสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ (ITU) ซึ่งถือว่า วงโคจรและความถี่ในอวกาศเป็นทรัพยากรร่วมของมนุษยชาติ มิได้อยู่ภายใต้อธิปไตยของรัฐหนึ่งรัฐใด ตามธรรมนูญของ ITU (ITU Constitution) และกฎข้อบังคับวิทยุ ITU Radio Regulation ข้อ 0.3 (Preamble) ดังนั้นอำนาจหน้าที่ของ กสทช. จึงมีเฉพาะ ในการออกใบอนุญาตประกอบกิจการโทรคมนาคมตามข้อ (1) เท่านั้น ส่วนการดำเนินการให้ได้มาซึ่งเอกสารจองสิทธิในวงโคจรและย่านความถี่ (Filing) ตามข้อ (2) นั้นจะต้องดำเนินการโดยกระบวนการระหว่างประเทศตามข้อกำหนด ITU
ประเด็นที่ 3. มีการตั้งข้อสังเกตว่า…ในประเทศที่ดาวเทียมแต่ละดวงใช้คลื่นความถี่ไม่เหมือนกัน เช่น C-Band, KU-Band หากให้ผู้ใช้บริการสื่อสารผ่านดาวเทียมเป็นผู้ประมูลคลื่นความถี่ แปลว่า ทุกรายต้องประมูลคลื่น “ทุกชนิด” เพื่อให้บริการผ่านช่องสัญญาณความถี่ดาวเทียมที่ต่างกันทั้งหมด ซึ่งไม่สมเหตุสมผลและคลื่นความถี่มาตรฐานอย่าง C-Band, KU-Band ผู้ประกอบการหลายรายสามารถใช้งานในย่านเดียวกันและเวลาเดียวกันได้อย่างไม่จำกัด (ต่างจากตำแหน่งวงโคจรที่มีจำกัด) การมี่ให้ผู้ให้บริการสถานีดาวเทียมภาคพื้นดินที่ต้องประมูลคลื่นจะเป็นการจำกัดการแข่งขันในตลาดโดยไม่จำเป็น
กทค.ขอชี้แจงว่า ผู้ประกอบกิจการที่ภาคพื้นดินซึ่งเป็นผู้ประกอบกิจการสถานีภาคพื้นดินต่างๆ เช่น สถานี Up Link Down Link (ตัวอย่าง TOT, CAT) โดยผู้ประกอบกิจการสถานีภาคพื้นดินดังกล่าว เป็นผู้ใช้ความถี่เพื่อประกอบกิจการโทรคมนาคม เนื่องจากเป็นผู้ใช้ความถี่ในการรับ-ส่งสัญญาณภายใต้ราชอาณาจักรไทย ดังนั้นการจัดสรรคลื่นความถี่ให้กับผู้ประกอบกิจการดังกล่าวข้างต้น จำเป็นต้องจัดสรร โดยวิธีการประมูลเท่านั้น ตามมาตรา 45 ของ พ.ร.บ. องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯ พ.ศ. 2553 ซึ่ง กสทช. จะต้องดำเนินการกำหนดหลักเกณฑ์ และวิธีการประมูลสิทธิในการใช้คลื่นความถี่ที่ภาคพื้นดินให้สอดคล้องกับ พ.ร.บ. ดังกล่าวต่อไป โดยในปัจจุบัน กสทช.ชุดนี้ ยังมิได้จัดสรรคลื่นความถี่นี้ให้แก่ผู้ประกอบการรายใด
ประเด็นที่ 4. มีการกล่าวอ้างถึงความผิดปกติในการให้ใบอนุญาต โดยหยิบยกเอา พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯ พ.ศ. 2553 มาตรา 45 ที่กำหนดว่าการให้ใบอนุญาตแก่ผู้ประกอบกิจการโทรคมนาคมจะต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ ระยะเวลาและเงื่อนไขที่ กสทช. กำหนด…. แต่การอนุมัติใบอนุญาตให้กับบริษัท ไทยคม จำกัด(มหาชน) ของ กทค. กลับมีขึ้น ในขณะที่หลักเกณฑ์เกี่ยวกับการให้ใบอนุญาตกิจการโทรคมนาคมผ่านดาวเทียมยังอยู่ในขั้นตอนการร่างเท่านั้น โดยที่ “เงื่อนไขสำคัญ” ในหลักเกณฑ์ดังกล่าว คือประเด็นเรื่องใครควรเป็นคนประมูลคลื่นความถี่ยังไม่ได้ข้อยุติ
กทค. ขอชี้แจงว่า กรณีที่ กสทช. ออกใบอนุญาตให้กับ บมจ. ไทยคม เป็นการอนุญาตประกอบกิจการประเภทสาม (มิใช่ประเภทสาม ก. ) ซึ่งมีข้อกำหนดและหลักเกณฑ์ปรากฏอยู่แล้ว และ กสทช. มีอำนาจในการกำหนดเงื่อนไขเฉพาะเพิ่มเติมเพื่อให้เหมาะสมกับการประกอบกิจการโทรคมนาคมแต่ละประเภท (ประเภทหนึ่ง ประเภทสอง หรือ ประเภทสาม) ดังนั้นการอนุมัติจึงเป็นไปตามข้อกำหนดของกฎหมายและหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องทุกประการ สำหรับประเด็นการประมูลคลื่นความถี่นั้น มีความชัดเจนดังที่ได้อธิบายไว้แล้วข้างต้น (ตามข้อ3)
ประเด็นที่ 5 ที่วิพากษ์วิจารณ์ว่า มติ ครม. เมื่อวันที่ 20 ก.ย. 2554 เห็นชอบให้รักษาวงโคจร 120 องศาตะวันออก ภายหลังดาวเทียมไทยคม 1 ปลดระวางไปตั้งแต่เดือน ม.ค. 2554 ขณะที่บริษัทไทยคมได้ลากดาวเทียมเอเชียแซท 6 ของฮ่องกงเข้ามาในตำแหน่งวงโคจรดังกล่าวแล้ว ทำให้ประเทศไทยสามารถรักษาสิทธิวงโคจรดังกล่าวโดยไม่จำเป็นต้องคืนให้กับ ITU แล้วเหตุใด กทค. จึงต้องเร่งรัดอนุมัติใบอนุญาตให้กับบริษัท ไทยคม
กทค. ขอชี้แจงว่า การรักษาสิทธิวงโคจรดาวเทียม (Filing) ดังกล่าวนั้น โดย บมจ.ไทยคม จะดำเนินการรักษาสิทธิโดยการนำดาวเทียมมาวางไว้ ณ วงโคจรเป็นการชั่วคราว (ในที่นี้หมายถึงวงโคจร 120 องศาตะวันออก) เพื่อให้เป็นตามข้อกำหนด ITU ซึ่งจะต้องนำดาวเทียมอีกดวงหนึ่งขึ้นให้บริการภายในระยะเวลา 2 ปี ขณะเดียวกัน บมจ.ไทยคม ได้ดำเนินการภายใต้มติ ครม. ที่อนุมัติให้ บมจ.ไทยคม ดำเนินการรักษาสิทธิวงโคจรและจัดสร้างดาวเทียมดวงใหม่ขึ้นตามข้อกำหนด ITU ซึ่งหาก กสทช.ไม่ดำเนินการอนุมัติใบอนุญาตประกอบกิจการโทรคมนาคมให้กับ บมจ.ไทยคม จะส่งผลทำให้ บมจ.ไทยคม ไม่สามารถดำเนินการได้เนื่องจากไม่มีใบอนุญาตประกอบกิจการโทรคมนาคม และหากกรณีไม่มีดาวเทียมขึ้นให้บริการภายใน 2 ปี (ตามหลัก ITU) ประเทศไทยก็จะเสียสิทธิวงโคจรดาวเทียม (Filing) ที่ได้รักษาไว้ ซึ่งจะก่อให้เกิดความเสียหายอย่างยิ่งต่อประเทศ
ประเด็นที่ 6 ที่มีการกล่าวอ้างว่า เงื่อนไขและหลักเกณฑ์ที่อาจจะกีดกันการแข่งขันในกิจการดาวเทียม เนื่องจากใบอนุญาตที่ กสทช. ให้กับไทยคมที่มีอายุ 20 ปี ได้กำหนดเงื่อนไขว่า…บริษัท ไทยคมสามารถขอต่ออายุใบอนุญาตได้อีก 10 ปี ทั้งที่ควรกำหนดให้ผู้ได้รับใบอนุญาตต้องคืนตำแหน่งวงโคจรกลับมาจัดสรรใหม่ เพื่อการใช้ประโยชน์ตำแหน่งวงโคจรให้เกิดประโยชน์สูงสุด
กทค. ขอชี้แจงว่า ผู้วิพากษ์วิจารณ์ในประเด็นนี้เข้าใจผิดในสาระสำคัญอย่างยิ่ง โดยข้อเท็จจริงภายใต้เงื่อนไขการออกใบอนุญาตระบุไว้ว่าหากผู้ประกอบการประสงค์จะขยายระยะเวลาการอนุญาตจะต้องดำเนินการยื่นคำขออนุญาตก่อนใบอนุญาตหมดอายุไม่เกิน 10 ปี และไม่ช้ากว่า 30 วัน ซึ่งระยะเวลา 10 ปี นั้นเป็นระยะเวลาที่พอเพียงในการที่ผู้ประกอบการประสงค์จะสร้างดาวเทียมขึ้นให้บริการต่อไป ทั้งนี้เงื่อนไขดังกล่าวมิได้ออกใบอนุญาตประกอบกิจการฯให้แก่ บมจ. ไทยคม เป็นการเฉพาะ แต่สามารถออกใบอนุญาตกับกับผู้ประกอบการทุกรายที่มาขออนุญาตกับ กสทช. ภายใต้หลักเกณฑ์และเงื่อนไขทางกฎหมายเพื่อประกอบกิจการดาวเทียมสื่อสาร
ประเด็นที่ 7 ที่วิพากษ์วิจารณ์ว่า เงื่อนไขว่า…ให้บริษัท ไทยคม ส่งเอกสารจองสิทธิการใช้งานวงโคจรเพิ่มเติมที่ตำแหน่งวงโคจรใดๆ ได้ ซึ่งเป็นการอำนวยความสะดวกให้กับบริษัท ไทยคม ที่เป็นผู้ประกอบการรายเก่าในการขยายสิทธิการใช้วงโคจรที่มีอยู่อย่างจำกัด จนอาจทำให้ไม่มีวงโคจรเหลือสำหรับผู้ประกอบการรายใหม่
กทค.ขอชี้แจงว่า เป็นการก็เข้าใจผิดอย่างยิ่งเช่นกัน.…โดยข้อเท็จจริง ITU มิได้มีการจำกัดจำนวนสิทธิวงโคจรดาวเทียมที่ประเทศหนึ่งประเทศใดจะจองสิทธิแต่อย่างใด ดังนั้นการกำหนดเงื่อนไขดังกล่าวจึงเป็นการกำหนดเพื่อผู้ประกอบการดาวเทียมสื่อสารทุกรายที่เป็นผู้ได้รับอนุญาตจาก กสทช. ก็สามารถที่จะส่งเอกสารจองสิทธิการใช้งานวงโคจร (Filing) ที่วงโคจรใดๆ ก็ได้เช่นกัน มิใช่เป็นการอนุญาตหรือให้สิทธิเป็นการเฉพาะแก่ บมจ.ไทยคม
ประเด็นที่ 8 มีการตั้งคำถามมายัง กสทช. ว่า ควรให้คำตอบแก่สาธารณชนถึงเบื้องหลังการตัดสินใจเชิงนโยบายและการดำเนินการต่างๆ ทั้งการตีความว่า…การให้ บริการช่องสัญญาณดาวเทียม เป็นกิจการที่ไม่ใช้คลื่นความถี่ ความผิดปกติในการอนุมัติใบอนุญาตให้กับบริษัท ไทยคม อย่างเร่งรัด และเป็นไปแบบ “เหนือเมฆ”มีการเอื้อประโยชน์ให้เอกชนบางรายผูกขาดกิจการดาวเทียมนั้น
กทค.ขอชี้แจงว่า จากการชี้แจงประเด็นต่างๆในข้างต้นของ กทค.นั้นจะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า กสทช. โดย กทค. ได้พิจารณาออกใบอนุญาตดาวเทียมสื่อสารตามข้อกำหนดของกฎหมายและเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติ รวมทั้งเป็นข้อกำหนดที่เอื้อให้เกิดผู้ประกอบการดาวเทียมรายใหม่ได้ต่อไปในอนาคต เพื่อสร้างการแข่งขันอย่างเสรีและเป็นธรรมต่อกิจการดาวเทียมสื่อสารของประเทศไทยต่อไป
อย่างไรก็ตามในท้ายนี้ กทค. ขอให้ความมั่นใจต่อคนไทยทั้งชาติว่าจะปฎิบัติหน้าที่อย่างซื่อสัตย์ สุจริต โดยจะจัดสรรคลื่นความถี่ที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศชาติ และประชาชน ในขณะเดียวกันก็ขอวิงวอนมายังกลุ่มคนบางกลุ่มที่มีความพยายามบิดเบือนข้อเท็จจริง และมุ่งที่จะใส่ร้ายป้ายสี กทค. อย่างต่อเนื่องให้ยุติการกระทำดังกล่าวเสีย และต้องแสดงความรับผิดชอบต่อสังคม กรณีเสนอข้อมูลผิดพลาดซ้ำซาก โดยไม่ตรวจสอบให้ดี
http://www.isranews.org/%E0%B9%80%E0…c-thaicom.html