Nikkei Asia สื่อญี่ปุ่นรายงานว่า Taiwan Semiconductor Manufacturing Co. หรือ TSMC บริษัทเซมิคอนดักเตอร์ชื่อดังจากไต้หวัน ได้เตรียมเข้ามาตีตลาดญี่ปุ่น วางแผนสร้างโรงงานผลิตชิปเซ็ตแห่งแรกในประเทศ หลังตลาดญี่ปุ่นจัดว่ามีส่วนสำคัญกับผลประกอบการปี 2020 ที่ผ่านมาของ TSMC คิดเป็นสัดส่วนกว่า 4.7%

แหล่งข่าวเปิดเผยว่า TSMC ที่ตอนนี้ถือสถานะเป็นบริษัทในด้านเซมิคอนดักเตอร์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก เหนืออยู่แข่งอย่าง Samsung และ Intel ว่าเตรียมจะเดินทางไปสร้างโรงงานผลิตชิปแห่งแรกที่เมือง Kumamoto บริเวณภาคตะวันตกของประเทศญี่ปุ่น ใกล้กับโรงงาน Sony ช่วยผลิตชิปเซ็ต หรือ Microcontroller อื่น ๆ ที่ต้องพึ่งพาชิปเซ็ตในการใช้งาน

โดยว่าที่โรงงานผลิตชิปเซ็ตที่ TSMC เตรียมไปสร้างที่ผืนแผ่นดินญี่ปุ่นนั้น จะเอาไว้ผลิตแผงวงจรขนาด 12 นิ้ว ที่สามารถนำไปใช้ผลิตชิปเซ็ตบนสถาปัตยกรรมได้หลากหลายขนาด อาทิ 28 นาโนเมตร และ 16 นาโนเมตร

และต้องบอกก่อนว่า หน่วยนาโนเมตรนั้นไม่ได้หมายถึงขนาดไซส์ของตัวทรานซิสเตอร์นะครับ แต่เป็นช่องว่างระหว่างชิปต่างหาก ซึ่งยิ่งห่างน้อยแค่ไหน ยิ่งยัดทรานซิสเตอร์เข้าไปได้เยอะ ส่งผลให้ชิปที่ผลิตบนสถาปัตยกรรมขนาด 5 นาโนเมตรอย่าง Snapdragon 888, Exynos 2100 หรือ A14 Bionic นั้น มีประสิทธิภาพที่ดีและแรงกว่ารุ่นที่ยังใช้เทคโนโลยี 7 นาโนเมตรอยู่นั่นเอง

ในปีนี้ TSMC ได้ออกมาประกาศว่า พวกเขาจะลงทุนเม็ดเงินกว่า 1.86 หมื่นล้านเยน หรือประมาณ 5.27 พันล้านบาท สำหรับการพัฒนาและวิจัยชิ้นส่วนต่าง ๆ ที่ใช้ผลิตชิปหรือเซมิคอนดักเตอร์อื่น ๆ พร้อมกับได้รับความร่วมมือกับรัฐบาลญี่ปุ่น เพื่อช่วยต่อยอดเทคโนโลยีเซมิคอนดักเตอร์ให้เหนือชั้นขึ้นกว่าเดิม โดยรัฐบาลญี่ปุ่นเตรียมออกเงินช่วยอีกแรงอีกด้วย เพื่อให้ได้มาซึ่งโรงงานผลิตชิปเจ๋ง ๆ ในแผ่นดินแดนปลาดิบนี้

โดย TSMC ถือว่ากวาดส่วนแบ่งตลาดโลกเซมิคอนดักเตอร์ไปเกินครึ่ง รับจ้างผลิตชิปเซ็ตให้กับบริษัทดัง ๆ เพียบ ไม่ว่าจะเป็น Apple, Qualcomm, Nvidia, Broadcom, Amazon หรือ Google นอกจากนี้ยังรับจ๊อบผลิตชิปสำหรับใช้งานบนรถยนต์ไฟฟ้าพลังงานสะอาดอีกด้วย

ซึ่งวงการรถยนต์ไฟฟ้าถือว่าได้รับผลกระทบหนักมาก ๆ เพราะรัฐบาลสหรัฐฯ ญี่ปุ่น และเยอรมัน ได้กดดัน TSMC ให้หันให้ความสำคัญกับชิปที่ใช้ผลิตรถยนต์พลังงานสะอาดก่อน

สำหรับสถานการณ์ชิปเซ็ตขาดแคลนที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ ณ ปัจจุบัน TSMC ได้ออกมาแสดงท่าที เตรียมลงทุนกว่า 1 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือราว ๆ 3.112 ล้านล้านบาท ตลอดระยะเวลาตั้งแต่ตอนนี้จนถึงปี 2023 เพื่อที่จะแก้ไขปัญหาวิกฤตดังกล่าว

ทำไมชิปเซ็ตถึงขาดแคลน เกิดจากสาเหตุอะไร กระทบแวดวงไหนบ้าง จะอยู่กับเราไปจนถึงอีกเมื่อไหร่

 

 

ที่มา: Nikkel Asia