ได้เครื่อง iPhone SE มาแกะกล่องพร้อม unbox ให้ดูกันแล้ว กับการกลับมาของรุ่นฮิตในอดีต ที่ Apple นำกลับมาทำใหม่และวางขายในปี 2020 ในราคาที่ถูกที่สุดที่ Apple เคยเปิดตัวและวางจำหน่าย iPhone มา (ไม่นับพวกที่ตกรุ่นแล้วปรับราคาลงนะ)
รอบนี้ที่เลือกซื้อเป็น PRODUECT (RED) มานั่นก็เพราะว่าทาง Apple นั้นได้มีการบริจาครายได้ไปให้กับหน่วยงานที่กำลังต่อสู้กับการระบาดของ COVID-19 ด้วยนั่นเอง เรียกว่าเป็นกรณีพิเศษ เพราะจริงๆ แล้วสินค้า PRODUCT RED นั้นจะบริจาคให้กับมูลนิธิที่ดูแลเรื่อง HIV และโรค AIDS เป็นหลัก
เอกลักษณ์อย่างนึงบนกล่องสินค้า PRODUCT RED คือโลโก้ของ Apple นั้นจะเป็นเงาสะท้อนสีแดงด้วยนะ
รุ่นที่เราได้มาเป้นรุ่นความจุ 64GB เรียกว่าหยิบเอาตัวถูกสุดมาลองให้ดูกันก่อน เพราะคาดว่าภายใน 1-2 เดือนนี้ที่ไทยเองก็น่าจะวางขายแล้ว อ้อ! เครื่องนี้แอดจัดมาจากสิงคโปร์นะครับ เดี๋ยวทวนสเปคคร่าวๆ ให้กับคนที่สนใจรุ่นนี้กันก่อน
สเปค iPHONE SE (2020)
- หน้าจอ LCD ขนาด 4.7 นิ้ว True Tone Display ความละเอียด 1334 x 750
- ชิปเซ็ต Apple A13 Bionic
- RAM 3GB
- ความจุ 64/128GB/256GB
- กล้องหลัง 12MP f/1.8 มี OIS
- กล้องหน้า 7MP f/2.2
- ไม่รองรับ Face ID
- การเชื่อมต่อ: WiFi 6, Gigabit LTE, Dual SIM with eSIM
- Touch ID
- แบตเตอรี่ 1,821 มิลลิแอมป์
- รองรับชาร์จไวสูงสุด 18 วัตต์
- รองรับ Wireless Charging
- มาตรฐานกันน้ำกันฝุ่น IP67
- พอร์ตชาร์จ Lightning
- ระบบปฏิบัติการ iOS 13
แกะกล่อง iPhone SE
เปิดกล่องมาชั้นแรกก็จะเจอกับเอกสารต่างๆ จากทาง Apple สอดอยู่ในกล่องกระดาษเล็กๆ
ซึ่งในนี้ก็จะมีพวกเอกสารแนะนำการใช้งานเบื้องต้น เป็นภาษาต่างๆ กัน และยังมีเข็มจิ้มถาดซิมและสติ๊กเกอร์ Apple สีขาวอีก 2 ใบ (ทำไมไม่ทำสติ๊กเกอร์สีแดงให้สมกับเป็น PRODUCT RED ก็ไม่รู้)
หยิบตัวเครื่องออกมาเช็คนิดนึง หน้าดำ ขอบแดง หลังแดง โอเค เดี๋ยวข้ามไปที่อุปกรณ์ที่ให้มาในกล่องก่อนนะครับ แล้วค่อยกลับมาที่ iPhone SE
อุปกรณ์ในกล่อง iPhone SE
นี่คือของชิ้นอื่นๆ ที่มีมาให้ในกล่อง ด้านล่างที่เป็นทรง 5 เหลี่ยมนั่นคือหม้อแปลงนะครับ
อันนี้ไม่ต้องแปลกใจ เพราะเป็นเครื่องสิงคโปร์อย่างที่บอกไปข้างต้น หัวปลั๊กมันก็จะมาแบบนี้แหละ (หากเป็นศูนย์ไทยก็เป็น 2 แท่งแบนๆ ปกติ) จ่ายไฟ 5V 1A หรือ 5 วัตต์เท่านั้น ซึ่งตัวเครื่องรองรับชาร์จเร็วถึง 18 วัตต์ แต่ต้องหาซื้อหม้อแปลงมาใช้เอง
หูฟัง Earpods รุ่นนี้มาเป็นแบบ Lightning Cable นะครับ
เพราะ iPhone SE ตัวใหม่นี้ไม่มีช่องหูฟัง 3.5 มิลลิเมตร และยังไม่ได้เปลี่ยนไปใช้ USB C
เพราะฉะนั้นสายชาร์จก็ยังคงเป็น Lighhtning เช่นกันนะจ๊ะ
สำรวจตัวเครื่อง iPhone SE
ขนาดของเครื่องนั้นประมาณฝ่ามือเท่านั้นเอง สวนหน้าจอ 4.7 นิ้ว Retina HD Display นั้นสำหรับใครที่ใช้หน้าจอใหญ่ๆ มาตลอดก็จะรู้สึกว่ามันแอบเล็กไปนิดนึงเหมือนกัน กล้องหน้าความละเอียด 7 ล้านพิกเซล
พอร์ตด้านล่างตัวเครื่องจะมีแค่ Lighting ช่องเดียวเท่านั้น ขนาบข้างด้วยช่องไมโครโฟนและช่องลำโพง ส่วนที่เห็นเป็นหลุมๆ ล่างจอ นั่นคือ Touch ID
ตัวเฟรมโลหะนั้นสีจะเข้มและเป็นคนละโทนกับฝาหลัง ตำแหน่งของปุ่มและสวิชต่างๆ นั้นเป๊ะๆ เป็นพิมพ์เดียวกับ iPhone 8 (รวมถึงอุปกรณ์ภายในหลายๆ อย่าง) บนสุดคือสวิทช์สลับไปโหมดสั่น ถัดลงมาเป็นปุ่มปรับเสียง
อีกด้านเป็นช่องถาดซิม และปุ่มพาวเวอร์เปิดปิดเครื่อง สำหรับรุ่นนี้ถาดซิมจะมีช่องเดียวนะครับ แต่สามารถใช้งาน 2 ซิมได้ด้วยการไปยิง e-SIM ที่ศูนย์บริการเพิ่มเอาเอง
ที่ด้านบนตัวเครื่องนั้นไม่มีอะไรเลย ที่เห็นเป็นแผ่นพลาสติกคาดนั้นคือยังไมได้แกะที่เค้าห่อมาออก แหะแหะ
ด้านหลังก็มีกล้องตัวเดียว ความละเอียด 12 ล้านพิกเซลและ LED แฟลชแบบ True Tone และยังรองรับระบบชาร์จแบบไร้สาย Wireless Charging ด้วย
ตัวเครื่อง 64GB นั้นเปิดเครื่องมาเปล่าๆ ยังไม่ได้ลงแอปอะไรเลยนั้นเหลือหน่วยความจำอยู่ 52GB นะครับ อันนี้ลองเอาไปบวกลบคูณหารกันดูได้ว่าจะพอใช้หรือไม่พอใช้
หน้าจอตอนเซ็ตอัพก็จะมีให้เลือกธีมขาว ธีมดำ เลือกปรับเลเวลการสั่นของ Touch ID แล้วก็การซูมหน้าจอ
ก็ขอจบการ Unbox แกะกล่อง iPhone SE เอาไว้เท่านี้ก่อน ซึ่งจากที่ลองเล่นดูก็ลื่นไหลดี ฟีเจอร์ใหม่ๆ ที่เพิ่มเข้ามานั้นได้พลังของชิป A13 มาช่วยเอาไว้เยอะเลยทีเดียว เอาไว้ถ้าได้ลองแบบเต็มๆ แล้วจะมาเพิ่มเติมให้ในรีวิวนะครับ ส่วนใครอยากให้ลองจุดไหนเพิ่มเติมก็ฝากคอมเมนท์ทิ้งเอาไว้ได้เลย
อยากเห็น iPhone SE (2020) vs Motorola One Action vs รุ่นอื่นๆที่เป็น Pure Android / Android One
หัวข้อทดสอบ
– กล้อง
– เกม 2D
– เกม 3D
– ความทนทานของหน้าจอ (vs เล็บแมว)
กล้องดีกว่า xr เยอะเลย ขนาด กล้องแบบเดียวกัน i8 แต่ cpu มันแรงเร็ว
เหมือน หนังสือ ให้คนที่ฉลาดกว่า เขาอาจจะเข้าใจและใช้ความรู้นั้นได้ดีกว่า