OPPO R17 Pro มือถือซีรี่ส์ R รุ่นล่าสุดที่มีการอัพเดทสเปค และเพิ่มความสามารถเข้ามาเพียบ ทั้งระบบ 3 กล้องหลังที่ OPPO นำมาใช้งานเป็นรุ่นแรก พร้อมกับ SuperVOOC ระบบชาร์จแบตเตอรี่ 50w ที่เร็วที่สุดในโลกแล้ว ณ เวลานี้ ได้ถูกจับมารวมกันในมือถือดีไซน์สวยพร้อมสีสันที่ออกแบบมาเป็นเอกลักษณ์ งั้นเรามาแกะกล่อง OPPO R17 Pro กันเลยดีกว่า

แกะกล่อง OPPO R17 Pro

สำหรับรุ่นที่วางขายในบ้านเรานั้นจะมีด้วยกัน 2 สี คือ Radient Mist ที่เป็นการไล่เฉดม่วงไปฟ้า แบ่งครึ่งซ้ายขวา ส่วนอีกสีนึงคือ Emerald Green ที่เป็นเขียวเข้มและสะท้อนแสงเป็นสีอ่อน ซึ่งเราได้มีโอกาสลองทั้ง 2 สีเลยครับ

เซ็ตของแถมในกล่อง OPPO นั้นก็จบในตัวเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา หน้าจอมีฟิล์มแปะมาให้ ภายในกล่องมีเคสใสซิลิโคนไว้ปกป้องภายนอก หูฟังรุ่นนี้กลายเป็นหัว USB C ไปแล้ว เพราะไม่มีช่องหูฟัง 3.5 มาให้

แต่ไอเทมที่เด็ดสุดในกล่องรองจากตัวเครื่อ R17 Pro ก็ต้องนี่เลย SuperVOOC Adapter หม้อแปลงจ่ายไฟแรง 50w ที่ตอนนี้เป็นระบบชาร์จที่เร็วที่สุดในโลก ณ เวลานี้

 

สำรวจตัวเครื่อง OPPO R17 Pro ทั้ง 2 สี

สี Radient Mist นี่มันแนวตรงที่ข้างซ้ายและขวาเป็นคนละสีกันเลย ทำให้ขอบเครื่องซ้ายและขวาเป็นคนละสีกันด้วย

ฝั่งของปุ่มปรับเสียงจะเป็นสีฟ้า

พลิกมาอีกด้าน ฝั่งของปุ่มพาวเวอร์เป็นสีม่วง

ช่องถาดซิมนั้นเป็น dual nano SIM คือเป็นสล็อตแปะหน้าหลัง แบบเดียวกับ Find X

ลูกเล่นอีกอย่างของฝาหลัง OPPO R17 Pro คือสีมันจะเหลือบไปตามองศา ในบางมุมอาจจะเห็นเป็นสีฟ้าทั้งเครื่อง ขณะที่อีกมุมจะเห็นเป็นสีม่วงทั้งหมด ผิวสัมผัสของสีนี้จะด้านนิดๆ เหมือนมีการเคลือบอะไรสักอย่างเอาไว้ เพิ่อลดคราบรอยนิ้วมือ

นอกากนั้นยังมีลายโค้ง S Curved ที่เห็นได้ชัดกว่าในสีเขียว Emerald Green หากนำไปสะท้อนกับแสงได้ตรงมุม ต้องขอบอกว่าสีเขียวนั้นค่อนข้างจะเข้มมาก ถ้าแสงน้อยๆ อาจจะมองเห็นเป็นสีอื่นแทน

และในหลายๆ มุมที่พยายามลองภ่าย บางทีก็ดูออกมาเป็นสีดำซะยังงั้น ส่วนรูปข้างล่างนี่ดูกลายเป็นสีน้ำเงินไปเลย

ส่วนกล้องหลังของ OPPO R17 Pro นั้นเป็น triple camera ประกอบไปด้วยกล้องหลัก 12MP ปรับค่ารูรับแสงได้อัตโนมัติ F1.5/F2.4 กล้องอีกตัวความละเอียด 20 ล้านพิกเซล และอีกตัวเป็นกล้อง TOF สำหรับใช้วัดระยะความบึกตื้น สำหรับใช้ถ่ายโมเดล 3 มิติ , AR, VR

หน้าจอนี่ใช้เป็น Gorilla Glass 6 เรียกว่าเป็นรุ่นแรกที่เปิดตัวกันเลย ส่วนติ่งนั้นก็ลดขนาดลงไปช้ Waterdrop screen แบบเดียวกับ F9 กล้องหน้าความละเอียด 25 ล้านพิกเซล Sony IMX576 มี AI Beauty และ Portrait ถ่ายหน้าชัดหลังละลายได้

ชิป Snapdragon 710 ก็ถือว่าเป็นรองแค่ Snapdragon 8xx เท่านั้น นอกจากพลังในการประมวลผลที่มากกว่า Snap 660 แล้ว ก็จะมีเรื่องของ AI ที่ดีขึ้น ซึ่งการทำงานร่วมกับ Color OS 5.2 จากที่ลองเล่นคร่าวๆ นั้นไม่มีปัญหาอยู่แล้ว

จุดที่เห็นได้ชัดเลยคือกล้องของ R17 Pro สามารถระบุซีนต่างๆ เวลายกกล้องขึ้นมาเล็งได้เร็วกว่า R15 Pro

ตำแหน่งของเซนเซอร์สแกนลานิ้วมือบนหน้าจอนั้นจะอยู่ด้านล่างๆ หน่อย สแกนได้รวดเร็วฉับไว สามารถใส่ได้สูงสุด 5 นิ้ว

ได้ทดสอบชาร์จแบตด้วยพลังของ SuperVOOC พอดี เพราะมีเครื่องที่แบตเหลือ 1% ก็เลยทดลองเสียบชาร์จมันซะเลย บอกตามตรงว่าไม่เคยเจอมือถือเครื่องไหนที่เสียบเข้าไปแล้วเราจะเห็นตัวเลขมันค่อยๆ วิ่งขึ้นแบบนี้มาก่อน ซึ่งหลังจากเสียบไปราวๆ 10 นาที แบตเตอรี่มันวิ่งขึ้นมาได้ถึง 40% อย่างที่โม้เอาไว้จริงๆ

Play video

หลังจากนั้นก็ปล่อยเครื่องทิ้งเอาไว้พร้อมกับนาฬิกา สักประมาณ 40 นาทีแบตเตอรี่ก็เต็ม 100% แล้ว (จริงๆ ประมาณ 30 กว่านาที แต่ขอปัดขึ้นเดี๋ยวจะหาว่าเว่อร์)​ เร็วสุดๆ ไปเลย

มีโอกาสได้ลองเก็บภาพจากกล้องมานิดๆ หน่อย ยังไงเดี๋ยวพรุ่งนี้จะเอารูปมาให้ดูแล้วกันนะครับ เพราะอยากไปลองถ่ายภาพ Ultra Night Mode ที่ไม่ต้องใช้ขาตั้งกล้องดูก่อน รอกันนิดนึงนะครับ

ตัวอย่างภาพถ่ายจาก OPPO R17 Pro

 

โดยภาพ Ultra Night Mode นั้นไม่ได้แค่ถ่ายภาพกลางคืนได้เนียนตาขึ้นเท่านั้น แต่มันจะช่วยดึงเอาแสงที่โอเวอร์เกินไป ลดลงมาให้เห็นรายละเอียดต่างๆ ได้ และแสงที่อันเดอร์หรือมืดเกินไปสว่างกลับคืนมาอีกครั้ง จะเรียกว่าเป็นภาพ HDR ในตอนกลางคืนก็ว่าได้ ซึ่งรายละเอียดที่เพิ่มเข้ามานั้นน่าสนใจเลยทีเดียว

อย่างเช่น 2 ภาพด้านล่างนี้ ภาพนึงถ่ายด้วยโหมด Auto ส่วนอีกภาพเราเปิด Night Mode ให้มันทำงาน

เห็นได้ชัดเลยว่าภาพโหมด Auto นั้นส่วนของเทียนไขในแก้วเรามองไม่เห็นอะไรเลย และภายในร้านหลังกระจกก็มืดไปแทบทั้งหมด ส่วนภาพที่ให้ Ultra Night Mode ช่วยเก็บมานั้น นอกจากเปลวไฟของเทียนไขจะชัดเจนแล้ว เรายังเห็นสภาพภายในร้านอีกเพิ่ม ว่ามีกำแพงหินอยู่ข้างใน

หรือภาพคู่นี้ก็เห็นได้ชัดเหมือนกัน อย่างแรกคือเรื่องของดวงไฟที่โหมด Auto เก็บมาเป็นแฟลร์ ทั้งที่ลานนั่งเล่นด้านล่าง และร้านค้าบนชั้น 2 ก็แทบจะไม่เห็นอะไร ส่วน Ultra Night Mode ทำได้ดีกว่า ทั้งสีสันโดยรวมของภาพ ต้นไม้ก็ดูสว่างขึ้น สีสันของใบไม้ปรากฏชัด ในขณะที่แสงไฟหลายๆ จุดที่มันโอเวอ์ก็เบาลง เห็นเป็นไฟดวงๆ สวยงาม และทั้งหมดที่ถ่ายมานี่ ไม่ต้องใช้ขาตั้งกล้องเลยครับ ยืนนิ่งๆ ก็พอแล้ว