เมื่อวันที่ 27 เมษายน 2025 ที่ผ่านมา ถือเป็นวาระครบรอบ 25 ปีของ USB 2.0 มาตรฐานการเชื่อมต่อที่กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของวงการเทคโนโลยีทั่วโลก ด้วยความเร็วในการส่งข้อมูลสูงสุดถึง 480 Mbps ซึ่งนับว่าเร็วมากในยุคนั้น เมื่อเทียบกับ USB 1.1 ที่ทำได้เพียง 12 Mbps และยังเร็วกว่า FireWire 400 ของ Apple ที่เคยเป็นคู่แข่งสำคัญอีกด้วย

USB 2.0 ได้รับการเปิดตัวครั้งแรกโดยกลุ่ม USB Implementers Forum (USB-IF) เมื่อวันที่ 27 เมษายน 2000 โดยมีเป้าหมายเพื่อเป็นพอร์ตเชื่อมต่อมาตรฐานกลางที่สามารถใช้งานได้กับอุปกรณ์หลากหลายประเภท ความได้เปรียบของ USB 2.0 ไม่ได้มีแค่เรื่องความเร็วเท่านั้น แต่ยังรวมถึงต้นทุนการผลิตที่ต่ำกว่า ทำให้ผู้ผลิตเมนบอร์ดและอุปกรณ์ต่าง ๆ พากันหันมาใช้งานอย่างแพร่หลาย

ขนาดของพอร์ต USB 2.0 ก็มีความเล็กกะทัดรัดกว่าพอร์ตแบบเดิมอย่าง Serial และ Parallel ที่ทั้งใหญ่และช้า แถมยังกินพื้นที่บนเมนบอร์ดมาก การมาของ USB 2.0 จึงช่วยประหยัดพื้นที่และเพิ่มความสะดวกในการออกแบบอุปกรณ์ให้มีขนาดเล็กลง ในขณะเดียวกันก็ยังรองรับการเชื่อมต่อแบบ hot-swap ที่สามารถถอดเสียบอุปกรณ์ได้โดยไม่ต้องปิดเครื่องก่อน ต่างจากพอร์ต PS/2 ที่ต้องรีสตาร์ททุกครั้งเมื่อถอดเสียบเมาส์หรือคีย์บอร์ด

แม้จะมีข้อดีหลายประการ แต่ในช่วงแรกของการใช้งาน USB 2.0 ก็ยังเจอปัญหาด้านไดรเวอร์ โดยเฉพาะบนระบบปฏิบัติการ Windows ที่ยังไม่มีการรองรับอย่างเป็นทางการ ต้องรอจนถึง Windows XP Service Pack 1 ในปี 2002 ถึงจะสามารถใช้งานได้เต็มประสิทธิภาพ ส่วน Windows 2000 ต้องรอถึง Service Pack 4 และ Windows 98 SE สามารถใช้งานได้เพียงผ่านไดรเวอร์จากผู้ผลิตภายนอกเท่านั้น

ในแง่การยอมรับของผู้ผลิต VIA ถือเป็นรายแรกที่เริ่มใส่ USB 2.0 เข้ามาในชิป Southbridge รุ่น VT8235 ในปี 2002 ตามมาด้วย Apple ที่รองรับใน Mac รุ่นใหม่ปี 2003 และสุดท้าย Intel ที่เป็นหนึ่งในผู้ร่วมพัฒนามาตรฐาน USB ก็ได้นำ USB 2.0 มาใส่ในชิปเซ็ต Pentium 4 ในปี 2004

แม้จะมี USB 3.0, 3.1 และ USB 4 ที่มีความเร็วสูงกว่าอย่างมากในปัจจุบัน โดยเฉพาะ USB4 v2.0 ที่เร็วถึง 80 Gbps แต่ USB 2.0 ก็ยังคงมีบทบาทอยู่ โดยเฉพาะในอุปกรณ์ที่ไม่ต้องการความเร็วสูง เช่น เมาส์ คีย์บอร์ด หรือแม้แต่สมาร์ทโฟนรุ่นประหยัดอย่าง iPhone 16e ก็ยังคงใช้ความเร็วเพียงระดับ USB 2.0

นอกจากนี้ USB 2.0 ยังมีการพัฒนาเวอร์ชันสำหรับอุปกรณ์พกพา เช่น USB Mini, USB Micro และฟีเจอร์ OTG (On-The-Go) ที่ช่วยให้สมาร์ทโฟนสามารถทำหน้าที่เป็นโฮสต์และเชื่อมต่อกับอุปกรณ์อื่นได้โดยไม่ต้องใช้คอมพิวเตอร์เป็นตัวกลาง

เพื่อเฉลิมฉลองวาระครบรอบ 25 ปีของ USB 2.0 หลายบริษัทได้ออกผลิตภัณฑ์รุ่นพิเศษ อย่างเช่น PreSonus ที่เปิดตัว AudioBox USB 96 รุ่น Anniversary Edition โดยยังคงใช้การเชื่อมต่อแบบ USB 2.0 และได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องในวงการดนตรี

แม้เวลาจะผ่านไปนานถึง 25 ปี แต่ USB 2.0 ก็ยังคงเป็นมาตรฐานที่คนทั่วโลกใช้งานอยู่ในชีวิตประจำวัน ด้วยความเสถียร ใช้งานง่าย ต้นทุนต่ำ และความเข้ากันได้กับอุปกรณ์หลากหลายชนิด นี่คือหนึ่งในมาตรฐานที่เปลี่ยนโลกดิจิทัลอย่างแท้จริง และใครที่เคยใช้มาตั้งแต่ยุคแรก ๆ ก็ต้องยอมรับเลยว่า เราไม่เด็กกันแล้วล่ะครับ

ที่มา : tomshardware