เรียกว่าเป็นสมาร์ตโฟนอีกรุ่นที่กระแสดีมาก ๆ เลยทีเดียวครับ กับ vivo X200 Series สมาร์ตโฟนเรือธงที่ยังมาพร้อมกับกล้องถ่ายภาพที่คอลแลบกับ ZEISS มา ที่หลังจากเปิดตัวในจีนแค่ไม่กี่เดือน รวมถึงผ่านช่วงเวลาเปิดตัวระดับ Global ไปแค่ไม่กี่วัน ก็ตามมาขายในไทยเลยทันทีครับ กับ vivo X200 และ vivo X200 Pro บทความนี้เราจะพาไปดูกันว่า vivo X200 Series ทั้ง 2 รุ่นนี้ มีอะไรดีบ้าง และเหมาะจะเป็นสมาร์ตโฟนเครื่องต่อไปของคุณหรือไม่ !
ดีไซน์รอบตัวเครื่อง
ซึ่ง vivo X200 ทั้ง 2 รุ่นนั้น มีดีไซน์ที่ออกมาในแนวเดียวกันครับ คือทั้งกรอบกล้องแบบกลม, ไฟแฟลชอยู่ด้านบนขวา, ขอบเครื่องเป็นขอบตัด และวางพอร์ตเหมือนกันเลย เอาจริง ๆ พวกนี้น่าจะเห็นกันไปแล้วทั้งตอนที่เราไป Cover งานเปิดตัวที่ประเทศจีน และคลิปรีวิวเทียบก่อนหน้านี้กันไป ให้ว่ากันตรง ๆ ดีไซน์ของ vivo X200 Series นั้น เป็นการต่อยอดมากจากรุ่นพี่ vivo X100 Series มาอยู่พอสมควรเลยครับ ทั้งการวางกล้องตรงกลาง, การออกแบบลวดลายอักษรอธิบายเลนส์บริเวณกรอบกล้อง ที่ทำออกมาได้คล้ายเดิมมาก ๆ แต่ก็ได้ปรับแต่งมาให้มีความสวยงามมากขึ้นอีกเล็กน้อยครับ
ดีไซน์รอบตัวเครื่องของ vivo X200
ดีไซน์รอบตัวเครื่องของ vivo X200 Pro
พูดถึงกรอบกล้อง การวางกล้องของทั้ง 2 รุ่นก็ไม่เหมือนกันนะ โดย X200 ธรรมจาจะวางเหมือนกับ X100 Pro เดิม วางกล้องไว้เป็นสี่เหลี่ยม บน ล่าง ซ้าย ขวา (แต่ข้างล่างไม่มีกล้องนะ)ในขณะที่ X200 Pro จะวางกล้องด้านบนซ้าย, ล่างซ้าย และล่างขวา (บนขวาไม่มีกล้องนะ เพราะกล้อง Periscope จะวางพาดไว้เป็นแนวนอนยาวเลย แต่มีวงกลม และแอบสลัก 200MP เอาไว้เนียน ๆ แบบแทบไม่ส่องดี ๆ ก็ไม่เจอแน่ ๆ ตอนแรกยังไม่ทันสังเกตเห็นเลย) ซึ่งดีไซน์ของ X200 Pro เรียกได้ว่าได้แรงบันดาลใจมาจาก X100 Ultra ที่ขายแค่ที่จีนอยู่เหมือนกัน
นอกจากนั้น ทั้ง 2 รุ่น ยังรองรับมาตรฐานกันน้ำกันฝุ่นที่ IP68 และ IP69 ด้วย คือสามารถโดนน้ำลึกได้ 1.5 เมตร 30 นาที และโดนน้ำแรงดันสูงได้ด้วยเลย โดยในประเทศไทย ได้เอา vivo X200 เข้ามาขายด้วยกัน 3 สีคือ คือสีน้ำเงิน (Ocean Blue), สีเขียว (Aurora Green) และสีดำ (Midnight black) ในขณะที่ X200 Pro จะเอาสีดำ (Midnight black) และสีไทเทเนียม (Titanium Gray) เข้ามาขายครับ
ในด้านการจับถือ รวม ๆ แล้ว น้ำหนักของ X200 และ X200 Pro นั้นทำมาได้ค่อนข้างโอเคเหมือนกันเลยครับ ทั้งในด้านการทำการถ่วงน้ำหนักให้สมดุล ทั้งตัวเครื่องที่โมดูลกล้องมีขนาดใหญ่ และน้ำหนักเยอะ กับแบตเตอรี่ที่วางไว้ด้านล่าง ทำให้น้ำหนักดูเสมอกันมากขึ้น และการทำกรอบกล้องรอบนอกให้สมมาตร ไม่เป็นแบบ ‘สุริยุปราคา’ แบบที่เคยเห็นใน X100 แล้วด้วย แถมไม่มีการสกรีนคำว่า ‘Professional Photography’ กับ ‘Xtreme Imagination’ แบบใน X Series แต่ก่อนแล้วด้วย ซึ่งอาจจะเป็นความแตกต่างอยู่บ้าง หลาย ๆ คนก็คงจะคิดถึงกัน แต่อีกมุมหนึ่ง ดีไซน์ของ X200 และ X200 Pro ก็ดูมีความเรียบมากขึ้นไปด้วยนะ
ด้านหน้าจอของทั้ง 2 รุ่นเป็นหน้าจอโค้งแค่นิดเดียวแบบ ‘Micro Quad Curve’ เหมือนกัน เรียกได้ว่า น่าจะเป็นแทรนด์ของสมาร์ตโฟนเรือธงของแบรนด์จีนไปแล้วในช่วงนี้ และให้หน้าจอเป็นพาแนล AMOLED เหมือนกัน และมี PWM Dimming ที่ 2160 Hz เหมือนกันด้วย แต่ X200 จะได้หน้าจอขนาด 6.67 นิ้ว รีเฟรชเรต 60-120Hz ความสว่างสูงสุด 4,500 nits ในขณะที่ X200 Pro จะได้หน้าจอขนาด 6.78 นิ้ว และรีเฟรชเรตที่ปรับตั้งแต่ 0.1-120 Hz ! คือเป็นหน้าจอ 8T LTPO ที่ทำมาประหยัดแบตเตอรี่กว่าเดิมมาก ๆ เพราะลดรีเฟรชเรตเหลือ 0.1 Hz เลย
กล้องถ่ายภาพ
แต่แน่นอนว่าสำหรับกล้องโทรได้อย่าง vivo X200, X200 Pro แบบนี้ เรื่องของกล้องถ่ายภาพ น่าจะเป็นเรื่องที่ใครหลาย ๆ คนสนใจกันแน่นอน เริ่มจาก vivo X200 ที่ได้ให้เซนเซอร์กล้องถ่ายภาพมา 3 ตัวด้วยกัน ประกอบไปด้วยกล้องถ่ายภาพหลัก VCS True Color Main Camera ความละเอียด 50 ล้านพิกเซล (f/1.57) เซนเซอร์ Sony IMX921, กล้องถ่ายภาพซูม 3 เท่า (70mm) ZEISS Telephoto Camera ความละเอียด 50 ล้านพิกเซล (f/2.57) เซนเซอร์ Sony IMX882 และกล้องถ่ายภาพมุมกว้างมาก 50 ล้านพิกเซล (f/2.0) มุมกว้าง 119 องศา เซนเซอร์ ISOCELL JN1
ในขณะที่ X200 Pro มีกล้องถ่ายภาพหลัก ZEISS True Color Main Camera ความละเอียด 50 ล้านพิกเซล (f/1.57) เซนเซอร์ Sony LYT-818 เป็นเซนเซอร์กล้องถ่ายภาพเรือธงตัวใหม่เลย แต่น่าเสียดายที่ไม่ได้ให้เซนเซอร์ขนาด 1 นิ้วมาแบบรุ่นที่แล้ว (แต่นี่ก็ยังขนาด 1/1.28” ซึ่งก็เกือบ ๆ 1 นิ้วนั่นแหละ) และกล้องถ่ายภาพซูม ใช้กล้องถ่ายภาพเทเลมาโคร ZEISS APO Telephoto Camera เซนเซอร์ ISOCELL HP9 ความละเอียด 200 ล้านพิกเซล ซูม 3.7 เท่า (85mm) แบบที่เห็นใน X100 Ultra ที่ขายเฉพาะแค่ที่จีนเท่านั้นด้วย และใช้กล้องถ่ายภาพมุมกว้างมาก 50 ล้านพิกเซล ตัวเดียวกันกับรุ่นธรรมดาครับ
นอกจากนั้น vivo X200 Pro ยังได้ใส่ชิป vivo V3+ ที่มาช่วยในการประมวลผลภาพที่เราถ่าย และวิดีโอให้ดียิ่งขึ้นกว่าเดิม ซึ่ง vivo เคลมว่าชิป V3+ นี้ยังประหยัดแบตเตอรี่ได้มากกว่าเดิมอีก 30% ด้วย โดย vivo X200 จะใส่มาแค่ชิป vivo V2 เท่านั้น โดยทั้ง 2 รุ่นยังคงมาพร้อมกับการคอลแลบกับ ZEISS ในการร่วมพัฒนาฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ และยังมีเทคโนโลยีการเคลือบเลนส์แบบ ZEISS T* Coating เพื่อให้ภาพถ่ายออกมามีแฟลร์ที่น้อยลงไปกว่าเดิม
ส่วนประสิทธิภาพของกล้องถ่ายภาพจริง ๆ สามารถถ่ายออกมาได้สวยเลยครับ ตัวกล้องสามารถจัดการกับ White Balance ของภาพได้อยู่ที่ระดับกลางมากขึ้นเยอะมาก แม้จะใช้โหมดสี vivid อยู่ก็ตาม แต่ภาพก็ไม่ออกมาเอียงโทนสีไปทางสีเหลืองหรือฟ้าเลย ยกเว้นแค่ตอนถ่ายท้องฟ้าเท่านั้น ที่จะเห็นโทนฟ้าที่เข้มกว่าเดิมอยู่บ้าง
แต่ถ้าอยากได้ฟ้าจัด ๆ ลองเลือกโหมด ‘Textured’ หรือถ้าอยากได้ฟีลแบบเรียล ๆ ก็สามารถเลือกโทนสีเป็น ZEISS Natural Color ก็ได้เหมือนกัน
ซึ่งพวกนี้ส่งผลหมดทุกส่วน ทั้งการถ่ายภาพด้วยกล้องหลัก และกล้องมุมกว้างมาก แต่กล้องมุมกว้างมากจะติดเล็กน้อยเรื่องการถ่ายภาพย้อนแสง ที่จะออกมามี Noise มากกว่านิดหน่อย แต่ทำความต่อเนื่องของสีได้ดี
พูดถึงการถ่ายวิวแล้ว vivo X200 Series ได้เพิ่มฟีเจอร์ ‘Landscape Mode’ หรือโหมดการถ่ายภาพวิว ที่รวมหลาย ๆ ฟีเจอร์ที่เกี่ยวกับการถ่ายวิว มารวมไว้อยู่ในโหมดเดียวด้วย
เช่นโหมด ‘Landscape Long Exposure’ ตามสถานการณ์แบบที่ช่างภาพระดับโปรเขาใช้กัน พวก ถ่ายน้ำตก ถ่ายไฟวิ่ง ถ่ายรถวิ่ง ถ่ายดอกไม้ไฟ ถ่ายคนพลุกพล่าน ขอแค่เลือกโหมดนั้น ตัวเครื่องจะตั้งระยะเวลาการถ่ายอัตโนมัติเอาไว้ให้หมด
และยังมีการซ้อนฟิลเตอร์สี ‘Super Landscape Mode’ เป็นโทนสีใหม่ 2 แบบ คือ ‘Atmosphere’ และ ‘Soft’ ที่จะทำให้โทนของภาพวิวออกมาดูมีมิติมากขึ้นไป ซึ่งฟิลเตอร์คู่นี้เหมาะถ่ายวิวที่มีท้องฟ้าเยอะมาก ๆ ครับ เพราะเหมือนเป็นการเร่งสีของท้องฟ้าให้ดูสวยสดมากขึ้น (คล้าย ๆ การเพิ่ม Saturation ให้ภาพอีกเล็กน้อย)
หรือกระทั่งโหมดถ่ายพระจันทร์ (Supermoon) ก็สามารถเอามารวมอยู่ที่นี่ที่เดียวได้ด้วย
ส่วนกล้องถ่ายภาพซูม 200 ล้านพิกเซลของ X200 Pro นั้น คือสามารถถ่ายออกมาคมชัดมาก ๆ เช่นถ้าเราเอาไปถ่ายมาโครโดยใช้กล้องซูมนี้ถ่าย จะเก็บรายละเอียดได้ดีมาก ๆ และถ้ายังรู้สึกว่าใกล้ไม่พอ ก็ยังใช้การครอปซูมได้ ส่วนการถ่ายเทเลมาโคร ก็จะใช้การ Digital Zoom เข้าไปหลังระยะครอปนั่นล่ะครับ จริง ๆ ถ้าชอบถ่ายวัตถุ หรือถ่ายอะไรให้มีมิติหน่อยแล้วล่ะก็ เอาระยะ 3.7x ตามระยะกล้องถ่ายภาพซูมไปถ่ายเลย จะได้คุณภาพที่ออกมาดีมากแน่นอน
นอกจากนั้น สำหรับ X200 Pro โดยเฉพาะ vivo ได้เพิ่มโหมดการถ่ายเวที ‘Telephoto Super Stage’ เข้ามาเพื่อให้สามารถถ่ายเวที หรือคอนเสิร์ทได้ดีขึ้น
และจริง ๆ ก็ยังมีตัวช่วยสลับไปยังโหมด Telephoto Super Stage อัตโนมัติ และฟังก์ชัน Zero-Shutter-Lag ในโหมด Snapshot เอาไว้รัวชัตเตอร์กับเวที เพื่อให้ภาพคอนเสิร์ทที่เราอยากจะถ่ายออกมาได้ทั้นเวลาด้วย
และกล้องถ่ายภาพซูมของ vivo X200 เอง ก็ไม่ได้แย่นะ เพราะยังให้ความละเอียดมาที่ 50 ล้านพิกเซล แปลว่ายังสามารถถ่ายวัตถุที่ระยะ 3 เท่าตาม Optical Zoom มา ก็ยังสามารถถ่ายออกมาได้สวยและทำสีได้ดีเหมือนกันเลย เพียงแต่ว่าระยะหวังผลของ X200 จะออกมาสู้ X200 Pro ไม่ได้เท่านั้น
อีกโหมดที่ผมว่าสายถ่ายภาพสตรีทน่าจะชอบกัน เพราะในโหมดกล้องถ่ายภาพธรรมดา จะมีลูกศรให้กดเข้าโหมด ‘Humanistic Street Snap Camera’ ซึ่งเป็นโหมดกล้องถ่ายภาพที่จะออกมาเหมือนกล้องดิจิทัลสมัยก่อน ที่สามารถปรับการตั้งค่าได้คล้าย ๆ โหมดโปร และใส่ฟิลเตอร์เข้าไปเพิ่มได้ ซึ่งในนี้จะต่างหลายอย่างเลย ทั้งการตั้งค่า, เสียงชัตเตอร์ หรือกระทั่งลายน้ำด้วย
โหมดนี้จะเหมาะกับสายสตรีทที่อยากจะถ่ายวิว, บรรยากาศ, หรือผู้คนเป็นพิเศษ เพราะการปรับการตั้งค่าค่อนข้างละเอียด คล้าย ๆ โหมดโปร แต่จะเพิ่มความ ‘Hipster’ ที่หลาย ๆ คนเคยเรียกกันมากขึ้น
ร่ายมาตั้งยาว นี่ยังไม่ได้พูดถึงเรื่องภาพ Portrait หรือภาพถ่ายคนเลยนะสมาร์ตโฟน vivo ที่ร่วมมือกับ ZEISS จะมาพร้อมกับฟีเจอร์ ‘ZEISS Multifocal Portrait’ หรือฟีเจอร์กล้องถ่ายภาพบุคคลแบบหลายระยะโฟกัส โดย vivo ยังให้ความสำคัญกับระยะโฟกัส (ที่ทำให้กล้อง Optical เลขระยะซูมดูแปลก ๆ เพราะห่วงระยะมิลลิเมตรมากกว่าเลขซูมนั่นเองครับ) โดย vivo X200 จะมีระยะซูม 23mm, 35mm, 50mm, 85mm และ 100mm ในขณะที่ X200 Pro จะมีระยะ 23mm, 35mm, 50mm, 85mm และ 135mm แทน ซึ่งเป็นข้อดีจากกล้องถ่ายภาพซูม 200 ล้านพิกเซล สามารถครอปให้ภาพอยู่ในระยะของเลนส์ 135mm ที่ปกติใช้ถ่ายภาพคนในระดับ Close-Up อยู่ตลอด ทำให้ระยะ 135mm นี้จะเหมาะถ่ายภาพคนได้ดีมากเลยทีเดียว
ทั้ง 2 รุ่น ยังมีเอฟเฟ็กต์โบเก้เลนส์ ZEISS ทั้ง Biotar, B-Speed, Zonnar, Planar, Distagon, Cine-Flare และ Cinematic ให้ได้ใช้กันเหมือนเดิม
Portrait Lens Kit ที่จะจัดโหมดภาพ ฟิลเตอร์สี และเอฟเฟ็กต์โบเก้ของเลนส์ ZEISS ให้ตามระยะที่อยากได้ ได้เพิ่ม Kit ‘Cultural Portrait’ เข้ามา ซึ่งจะถ่ายภาพบุคคลด้วยฟิลเตอร์ขาวดำ ซึ่งจะสามารถเน้นสีหน้าของแบบได้ชัดเจนมากขึ้น โดยเฉพาะรุ่น X200 Pro ที่จะใช้กล้องซูม 200 ล้านพิกเซลมาถ่าย ทำให้ภาพออกมาดูชัดมาก ๆ แน่นอน
ซึ่งการถ่ายภาพบุคคลนั้น เท่าที่ลองมาคือความสามารถในการตัดขอบทำได้ดีมาก ๆ ครับ ปรับสกินโทนมาดีเลย แต่จะมีการเกลี่ยบิวตี้เพิ่มเข้ามาบ้างเล็กน้อย และการทำเบลอหลังถือว่าใส่มาได้สวยงาม เล่นโบเก้ต่าง ๆ ได้ดีงามตามความเป็น vivo เลยครับ แต่ที่จะเจ๋งมากคือใน X200 Pro ที่ถ่ายภาพคนในระยะ 85 มม. (ที่ปกติจะใช้ถ่ายคนในระดับ Bust-Up ขึ้นไป) ได้ดีมาก เพราะด้วยการใช้ระยะเลนส์จริง และยังเป็นกล้องที่ความละเอียด 200 ล้านพิกเซลอีกด้วย
ส่วนกล้องหน้า ได้ให้กล้องหน้าความละเอียด 32 ล้านพิเซล ISOCELL KD1 แต่กล้องเหมือนจะไม่มี Autofocus ทั้งคู่นะ และเวลาถ่ายออกมาจริง ๆ ก็ออกมาดูสวย ดูดีอยู่ แต่ถ้าเป็นเรื่องกล้องหน้า พวกรุ่น V Series สามารถทำได้ดีกว่า
แต่โหมดการถ่ายภาพกล้องหน้าถือว่าให้มาเยอะเหมือนกันนะ อย่างเช่นการใส่เอฟเฟ็กต์โบเก้เลนส์ ZEISS ก็ยังคงให้มาอยู่ เพียงแต่ว่าการจะจับภาพให้ดีอาจจะต้องนิ่งสักหน่อย ถึงจะถ่ายออกมาได้สวยครับ
ปิดท้ายด้วยการถ่ายวิดีโอกันบ้าง กล้องหลังของ vivo X200 Pro สามารถถ่ายได้สูงสุด 8K 30FPS (เฉพาะกกล้องหลัก) และสามารถถ่ายได้ที่ 4K 120FPS อีกด้วย (เฉพาะกล้องหลัก และกล้องซูม) ส่วน vivo X200 จะถ่ายได้สูงสุดที่ 4K 60FPS เท่านั้น และกล้องหน้าทั้ง 2 รุ่นสามารถถ่ายได้สูงสุด 4K 60FPS ด้วยเหมือนกัน ส่วนนี้อยากให้ลองดูในคลิปวิดีโอรีวิวของ vivo X200 Series นี้กันดู
สเปกภายในเครื่อง
ทั้ง vivo X200 Pro และ vivo X200 จะใช้ชิปเซต MediaTek Dimensity 9400 ทั้งคู่ ซึ่งเป็นชิปเรือธงจากฝั่ง MediaTek รุ่นใหม่สุดที่ใช้ยาวจนถึงปีหน้าเลยทีเดียว เป็นรุ่นที่ 2 ที่ได้ใส่มาในไทยด้วยนะ โดยทั้ง 2 รุ่นวางขายในไทยแค่ความจุเดียวครับ คือ vivo X200 ขายในความจุ 12/256GB เท่านั้น และ X200 Pro จะขายในความจุ 16/512GB เท่านั้น
ซึ่งจากที่เราได้ทดสอบ Benchmark มานั้น เรียกได้ว่าน่าสนใจเลย คือ vivo X200 จะได้คะแนน Multi Core ที่ดีกว่า X200 Pro อยู่เล็กน้อยครับ แต่ก็ไม่ได้เยอะมากจนเห็นความต่างขนาดนั้น คือห่างกันประมาณ 200-300 คะแนน และคะแนน Multi-Core ขึ้นไปสูงกว่า 7,000 คะแนนแล้วด้วยนะ
ใน 3DMark คะแนน Wild Life Extreme Stress Test รุ่น X200 ได้คะแนนสูงสุด 5,873 คะแนน ต่ำสุดที่ 3,431 คะแนน และนิ่งที่ 58.4% แต่ถ้าเป็นรุ่น Pro จะได้คะแนนมากกว่าเล็กน้อย คือดีสุด 6,025 คะแนน และต่ำสุดที่ 3,386 คะแนน คือนิ่งต่างกันนิดหน่อย แต่สรุปว่าพอ ๆ กันได้ Steel Nomad Light ได้คะแนนไป 2,388 คะแนน ส่วน X200 Pro ได้คะแนนไป 2,354 คะแนน
ส่วน AnTuTu Benchmark นั้น vivo X200 Pro ได้คะแนน 2,473,942 คะแนน ส่วน X200 ได้คะแนน 2,559,704 คะแนน ซึ่งจริง ๆ คะแนน Benchmark โดยรวม ๆ มีความแตกต่างกับเครื่องที่ขายในจีนเล็กน้อย แต่คะแนนเท่านี้เรียกได้ว่าสามารถนำไปเล่นเกมได้จริง และมีฟีเจอร์ด้านเกมที่เพิ่มเข้ามาใน vivo X200 และ X200 Pro ด้วยนะ
อย่างเช่นการเล่นเกมที่ใช้สเปกสูงอย่าง Genshin Impact ที่ปรับสุดและ 60FPS ไว้ ก็สามารถเล่นได้นิ่ง ๆ สบาย ๆ เลย แถมยังสามารถใช้ฟีเจอร์ Game Frame Interpolation เพื่อเพิ่มเฟรมเรตของเกมให้ขึ้นไปเป็น 90FPS ได้อีกด้วย คือสามารถเล่นได้สบาย ๆ เลย แถมยังภาพลื่นมาก และตัวเครื่องก็ไม่ได้ร้อนมากขนาดนั้นตอนถือเล่นด้วยนะ
หรือถ้าเป็น RoV ก็ปรับสุดเปิด 60FPS เล่นได้หลายเกมต่อ ๆ กันได้สบาย ๆ เหมือนกันเลย
ส่วนแบตเตอรี่นั้น vivo X200 Pro นั้นได้ให้แบตเตอรี่มาที่ 6,000 มิลลิแอมป์เลยทีเดียวครับ โดยได้ใช้เทคโนโลยี Blue-Volt และใช้ Silicon Anode กับ Semi-Solid Battery ทำให้ตัวเครื่องมีแบตเตอรี่ที่เก็บประจุได้เยอะขึ้น และชาร์จในสภาวะอากาศอุณหภูมิต่ำได้ดี ส่วน X200 นั้นให้แบตเตอรี่มาที่ 5,800 mAh ที่มีแบตเตอรี่เทคโนโลยีเดียวกันด้วย แต่แม้จะบอกว่าเป็น Silicon Anode แต่ก็ยังเป็นแบตเตอรี่แบบ Li-Ion อยู่นะ
โดยทั้ง X200 และ X200 Pro จะสามารถชาร์จแบตเตอรี่กลับได้ที่ 90W FlashCharge ในขณะที่จะมีแค่ X200 Pro เท่านั้นที่จะสามารถชาร์จแบตเตอรี่ไร้สายได้ที่ 30W
อายุการใช้งานของแบตเตอรี่ของ X200 Pro ถ้าเกิดว่าเป็นการใช้งานทั่ว ๆ ไป ออกจากบ้าน ถ่ายรูป เล่นโซเชียลทั่ว ๆ ไปคือสามารถจบวันได้แบบสบาย ๆ เลย แต่ถ้าเล่นเกมและเกิดความร้อน แบตเตอรี่ก็จะลดลงมาเร็วอยู่บ้างเหมือนกัน เพียงแต่ว่า ถ้าอยากชาร์จแบตเตอรี่กลับ ก็ยังคงชาร์จกลับได้ไวอยู่ แต่ที่ว่า 90W อาจจะไม่ได้ 90W ตลอดนะ จะเร็วมากช่วงแรก แล้วค่อย ๆ ลดความเร็วลงจนเต็ม อาจจะต้องใช้เวลาในการชาร์จสักหน่อย
สรุปส่งท้ายและราคา
vivo X200 Pro เรียกได้ว่าเป็นเหมือนกับตัว X100 Ultra (ที่ขายแค่ในจีน) ที่มีการปรับหลาย ๆ ส่วน (และอาจจะลดสเปกบางอย่างออก) และเก็บกล้องระดับอัลตร้าอย่างกล้องซูม 200 ล้านพิกเซลเอาไว้ครับ ทำให้หลาย ๆ อย่างให้ฟีลความเป็นอัลตราไปเยอะเลยทีเดียว
ในขณะที่ X200 นั้น ถือเป็นรุ่นเล็กอีกตัวที่น่าสนใจ แม้จะไม่มี X200 Pro mini เข้าไทยมา แต่ X200 ก็ยังพอนำไปใช้งานได้อยู่นะ ! เพราะกล้องถ่ายภาพก็ถ่ายออกมาได้คล้ายคลึงกันและออกมาดูดีเหมือนกันด้วยนะ
ปิดท้ายด้วยเรื่องของราคาครับ
- vivo X200 ราคา 29,999 บาท มีขายแค่ความจุเดียวคือ 12GB/256GB ครับ
- ส่วน X200 Pro ราคา 39,999 บาท และมีความจุเดียวคือ 16/512GB เลย
Comment