หลังจาก phone (1) สมาร์ทโฟนรุ่นแรกภายใต้แบรนด์ Nothing เผยโฉมไปเมื่อวันที่ 12 กรกฎาคมที่ผ่านมา พร้อมประกาศราคา 18,900 บาท ก็เป็นธรรมดาที่มีทั้งคนที่ชอบ และคนที่ไม่ชอบ โดยฝ่ายหลังจะพุ่งประเด็นไปที่กล้องหลัง 2 ตัว กับชิปเซต Snapdragon 778G+ ที่ถูกมองว่าขัดแย้งกับราคา แต่กับ Carl Pei ที่เคยเป็นถึงซีอีโอ OnePlus มาก่อน คงไม่ทำอะไรโดยไม่มีเหตุผลมารองรับแน่ ๆ …แล้วเหตุผลที่ว่าคืออะไร DroidSans จะพาไปหาคำตอบกันครับ
ทำไม Nothing phone (1) มีกล้องหลังเพียง 2 ตัว
หากมองไปที่มือถือ Android ระดับกลาง ณ ปัจจุบัน จะใส่กล้องหลังมาให้ตั้งแต่ 3 ตัวขึ้นไป การเลือกใส่กล้องหลังเพียง 2 ตัวของ Nothing จึงเป็นอะไรที่สวนกระแสอย่างมาก และตัว Pei เองก็เหมือนจะรู้ดี ว่ามีประเด็นแน่ ๆ เพราะในการให้สัมภาษณ์กับสื่อ ในการโปรโมต phone (1) รวมถึงในงานเปิดตัว มีกล่าวถึงเรื่องนี้หลายครั้ง สรุปเป็นข้อ ๆ ได้ดังนี้
1. ไม่เกี่ยวกับการลดต้นทุน
สมัยที่ Pei ยังเป็นซีอีโออยู่ที่ OnePlus เคยให้สัมภาษณ์กับสื่อต่างประเทศว่า “บางคนอาจคิดว่า ถ้ามือถือมีกล้องน้อยลง ผู้ผลิตจะลดต้นทุนลงไปได้เยอะ …ซึ่งเป็นเรื่องเข้าใจผิด” ข้อเท็จจริงตามที่เจ้าตัวอธิบายคือ “ต้นทุนหลักจะอยู่ที่กล้องหลัก ส่วนพวกกล้องเสริมตัวอื่น ๆ แทบไม่ส่งผลอะไรเลย”
ดังนั้น ประเด็นที่ว่า phone (1) ใส่กล้องหลังมา 2 ตัว เพราะ Nothing อยากลดต้นทุนจึงตัดทิ้งไปได้
2. มีกล้องหลายตัว ไม่ได้แปลว่าดี
ก่อนที่ phone (1) จะเปิดตัว Pei พูดถึงเรื่องเทรนด์การใส่กล้องหลังมาเยอะ ๆ ของสมาร์ทโฟนว่า “เป็นมายาคติของเทคโนโลยี” มีกล้องหลายตัว ไม่ได้แปลว่าดี แต่เป็นเรื่องตรงข้ามอย่างสิ้นเชิง คือ Pei มองว่า “มันเป็นแค่การสักแต่ว่าใส่กล้องคุณภาพต่ำ ๆ มาให้ดูมีจำนวนเยอะไว้ก่อน” โดยมีการยกตัวอย่างพวกกล้องจับความลึกที่เอาเข้าจริงก็แทบไม่ได้ใช้ประโยชน์
ประโยคในลักษณะคล้ายกับข้างต้น มีการนำไปลงในบล็อกโพสต์ของเว็บไซต์ Nothing แถม Pei ยังย้ำแบบเดียวกันอีกทีในงานเปิดตัวอีก แสดงให้เห็นถึงแนวคิดและจุดยืนที่ชัดเจนเลยทีเดียว
3. ความสมมาตรของงานออกแบบ
และถึงแม้ Pei จะไม่ได้บอก แต่ถ้าเมื่อพิจารณาจากด้านหลังของ phone (1) ประกอบกับความพยายามที่จะออกแบบตัวเครื่องให้เนี้ยบที่สุดซึ่งสะท้อนออกมาผ่านตัวผลิตภัณฑ์ ทำให้พอจะเดาได้ว่า ทีมดีไซน์ (หรืออาจจะเป็นตัว Pei เอง) ต้องการวางกล้องหลังลงไปให้พอดีกับกรอบตัว C บริเวณมุมซ้ายบนที่เป็นส่วนหนึ่งของโลโก้แบรนด์ Nothing
4. ระยะเลนส์ที่ให้มา ครอบคลุมตั้งแต่มาโครยันเทเลโฟโต
สำหรับกล้องหลัง 2 ตัวของ phone (1) มีความละเอียด 50MP เท่ากัน กล้องหลักใช้เซนเซอร์ IMX766 รุ่นยอดนิยมของ Sony ส่วนกล้องอัลตราไวด์ใช้เซนเซอร์ ISOCELL JN1 ของ Samsung โดยกล้องอัลตราไวด์มีระยะโฟกัสใกล้สุดที่ 4 ซม. จึงสามารถใช้งานเป็นกล้องมาโครในตัวได้ด้วย ส่วนระยะเทเลก็ชดเชยได้ด้วยการซูมดิจิทัล เท่ากับว่าได้ระยะเลนส์ครอบคลุมครบทุกช่วงแล้ว
ทาง Nothing มีการปล่อยภาพตัวอย่างจากกล้องสด ๆ ของ phone (1) โดยไม่ผ่านการตกแต่งเป็นการเรียกน้ำย่อยให้ดูกันด้วย สามารถรับชมได้ที่เว็บไซต์ nothing.tech
สรุปสาเหตุที่ phone (1) ใส่กล้องหลังมา 2 ตัว เป็นเพราะ
- Pei มองว่า กล้องหลายตัวไม่มีประโยชน์ ใส่มาแค่เท่าที่ใช้จริง ๆ ดีกว่า
- ไม่เกี่ยวกับการพยายามลดต้นทุน
- ระยะไวด์กับอัลตราไวด์ เป็นระยะที่ใช้งานกันบ่อยสุด
- ระยะเทเล ทดแทนได้ด้วยการซูมดิจิทัล
- ส่วนระยะมาโคร เลนส์อัลตราไวด์ของ phone (1) สามารถถ่ายได้ เท่ากับเลนส์ครอบคลุมทุกระยะแล้ว
- (อาจ) เป็นความตั้งใจที่จะออกแบบให้ดูสมมาตรกับโลโก้
ทำไม Nothing phone (1) ไม่ใช้ชิปเซต Snapdragon 8 Gen 1
ปัจจุบัน มือถือที่ขับเคลื่อนด้วย Snapdragon 778G มีอยู่ราว 30 รุ่นในตลาด (ทั้งที่มีขายและไม่มีขายในไทย) ส่วนใหญ่มีค่าตัวอยู่ที่หมื่นต้น ๆ ไปจนถึงหมื่นกลาง ๆ ยกตัวอย่างเช่น Galaxy A52s ของ Samsung ที่เปิดราคามา 13,999 บาท ส่วน Xiaomi 11 Lite 5G NE โมเดลเริ่มต้นมีราคาแค่ 10,990 บาทเท่านั้น
ในขณะที่ phone (1) โผล่มาก็ บู้ม…! ขายที่ราคา 18,900 บาทเลย ก็ไม่ใช่เรื่องผิดอะไรที่จะโดนมองว่าแพง ซึ่งก็แพงจริงนั่นแหละ เพิ่มเงินอีกนิดหน่อยก็ซื้อเรือธงบางรุ่นได้แล้วด้วยซ้ำไป
แต่การไปตัดสินว่ามันแพง เพียงดูจากแค่ชิปเซตเพียงอย่างเดียว ก็คงไม่แฟร์เท่าไหร่นัก มือถือเครื่องหนึ่งมีองค์ประกอบอะไรตั้งหลายอย่าง ต้องไม่ลืมว่าสิ่งที่ Nothing พยายามจะขายคือ งานดีไซน์ที่ประณีตและเท่ไม่ซ้ำใคร กับประสบการณ์การใช้งานที่ลื่นไหล ส่วนการตัดสินใจเลือกใช้ Snapdragon 778G+ ของ Pei ก็มีเหตุผลรองรับเช่นกัน ดังนี้
1. ชิปเซตสมัยนี้ แค่ระดับกลางก็เร็วแรงเหลือเฟือแล้ว
ประเด็นเรื่องชิปเซต ต้องย้อนกลับไปสมัยที่ Pei ยังเป็นซีอีโออยู่ที่ OnePlus อีกครั้ง ก่อนที่ซีรีส์ Nord จะถือกำเนิดขึ้นมา Pei มีความคิดที่ว่า “ชิปเซตมือถือสมัยนี้มีความแรงเพียงพอแล้ว” ไม่ต้องเป็นระดับไฮเอนด์ก็ได้ แค่มิดเรนจ์ก็เหลือเฟือ ใช้งานได้ลื่นไหลเหมือนกัน เพราะฉะนั้น นี่คือเหตุผลข้อแรกที่ phone (1) ขับเคลื่อนด้วย Snapdragon 778G+
2. ความคุ้มค่าต่อราคาที่สวนทางกัน
ข้อนี้ เป็นเหตุผลต่อเนื่องจากด้านบน Pei บอกว่า “ยิ่งเป็นชิปเซตระดับที่สูงขึ้นไป ความคุ้มค่ายิ่งลดลงเรื่อย ๆ” พูดง่าย ๆ คือ Snapdragon 778G+ เป็นตัวเลือกที่สมดุลกว่า มันให้ประสิทธิภาพใกล้เคียงกับ Snapdragon 855 ซึ่งยังแรงเหลือเฟือ ณ ปัจจุบัน
ประกอบกับการที่ Pei เคยสำรวจตลาดสมาร์ทโฟนโดยการพูดคุยกับผู้ใช้งานโดยตรง (โดยเฉพาะตลาดเกิดใหม่) แล้วพบว่า มีคนจำนวนมากที่อยากได้สมาร์ทโฟนแรง ๆ ลื่น ๆ แต่ไม่มีกำลังทรัพย์เพียงพอ หรือไม่เต็มใจที่จะจ่ายเงินซื้อมือถือระดับเรือธง ดังนั้นการเลือกใช้ชิปเซตระดับกลางเพื่อควบคุมต้นทุนจึงเป็นอะไรที่ตอบโจทย์
3. ชิปเซตเรือธง ร้อน แถมยังกินแบต
ข้อถัดมา เป็นเหตุผลง่าย ๆ คือ “ความร้อน” กับ “การบริโภคพลังงาน” เรื่องความร้อน คงไม่ต้องอธิบายอะไรมาก หลายคนน่าจะทราบกันดีอยู่แล้วว่า Snapdragon 8 Gen 1 มีปัญหากับเรื่องนี้ ทั้งความเร็วซีพียูตก กล้องตัดการทำงาน หรือบางรุ่นหนักถึงขั้นทำบอร์ดพังไปหลายรายก็มีเหมือนกัน ส่วนเรื่องการบริโภคพลังงานก็สัมพันธ์กับความอึดของแบตเตอรี่นั่นเอง
4. อุปสรรคในการจัดหาชิปเซต
ตอนที่โปรเจกต์ phone (1) ยังอยู่ในช่วงตั้งไข่ ปัญหาเรื่องชิปเซตเป็นเรื่องหนึ่งที่ทำให้ Pei ต้องหนักใจ เพราะผู้ผลิตชิปเซตมองว่า Nothing เป็นหน้าใหม่ในตลาดที่ยังไม่เคยผลิตมือถือมาก่อน จึงเกิดความ “ลังเล” ที่จะขายชิปเซตให้
ซ้ำร้าย Pei ยังพบว่า ขณะนี้ผู้ผลิตชิปเซตยังมีออร์เดอร์ที่ “ติดค้าง” กับผู้ผลิตสมาร์ทโฟนรายใหญ่อยู่ด้วย เป็นผลมาจากวิกฤติเซมิคอนดักเตอร์ขาดแคลนกับปัญหาเรื่องลอจิสติกที่ดำเนินมาอย่างต่อเนื่อง โดยเราจะเห็นได้ว่า ในช่วงหลังมีสมาร์ทโฟนกลุ่มเรือธงหลาย ๆ รุ่นที่วางขายแบบจำกัดประเทศหรือจำกัดจำนวน
ขนาดว่าสุดท้าย Nothing เลือกใช้ Snapdragon 778G+ แล้ว phone (1) ยังผลิตได้ไม่เพียงพอต่อความต้องการของลูกค้าในช่วงแรกเลย ขืนไปเลือก Snapdragon 8 Gen 1 แทน เผลอ ๆ สิ้นปีอาจไม่ได้วางขายด้วยซ้ำ ถ้ามองในมุมนี้ตามคำอ้างของ Pei ก็เป็นเหตุผลที่พอเข้าใจได้อยู่
สรุปสาเหตุที่ phone (1) เลือกใช้ชิปเซต Snapdragon 778G+
- Pei มองว่า นี่คือตัวเลือกที่สมดุลที่สุด
- ความแรงเพียงพอที่จะมอบประสบการณ์การใช้งานที่ลื่นไหล
- ราคาไม่แพงจนเกินไป
- ไม่ต้องกังวลปัญหาเรื่องความร้อน
- ประหยัดพลังงานมากกว่าเมื่อเทียบกับชิปเซตเรือธง
- ปัญหาเซมิคอนดักเตอร์ขาดตลาด
ทั้งนี้ ความเจ๋งของ Snapdragon 778G+ ใน phone (1) ที่พอจะทำให้ Nothing และ Pei ยืดได้ คือ นี่เป็นชิปเซตรุ่นตีบวก โครงสร้างพื้นฐานภายในมันก็เหมือน ๆ กับ Snapdragon 778G ทั่วไป แต่สิ่งที่เพิ่มเข้ามาคือ ฟังก์ชันการชาร์จไร้สาย และการชาร์จไร้สายย้อนกลับให้อุปกรณ์อื่น ซึ่งปกติแล้วจะเป็นสิ่งที่ Qualcomm สงวนไว้กับชิปเซตเรือธงเท่านั้น แต่คราวนี้ใส่มาให้ Nothing เป็นกรณีพิเศษแบบเอกซ์คลูซีฟแค่เจ้าเดียวโดด ๆ เลย (หลังบ้านคงมีดีลอะไรกันไว้)
Nothing phone (1) วางขายเมื่อไหร่ หาซื้อได้ที่ไหน
Nothing จะเริ่มวางจำหน่าย phone (1) ในประเทศไทยในวันที่ 18 กรกฎาคม เวลา 10.00 น. ผ่านช่องทางออนไลน์ของร้าน Carnival ซึ่งเป็นการขายแบบจำกัดจำนวน (เฉพาะบนเว็บไซต์และแอปเท่านั้น) ใช้วิธี First come, first serve ใครมาก่อนก็ได้ก่อน ไม่มีจองคิวล่วงหน้า จากนั้นจะวางจำหน่ายตามปกติต่อไปในวันที่ 1 สิงหาคม ทาง Dotlife และ Lazada
phone (1) ไม่ใช่สินค้าลิมิเต็ดเอดิชัน ที่ต้องจำกัดการซื้อในช่วงแรกเป็นเพราะกำลังการผลิตไม่เพียงพอต่อความต้องการ แต่ Nothing อยากวางขายสินค้าให้ได้ไวที่สุด จึงเลือกทางนี้ ดังนั้นเพื่อน ๆ คนไหนที่อยากได้ แต่กลัวจะหาซื้อของไม่ได้ในช่วงแรก ก็ไม่ต้องกังวลใจไปแต่อย่างใด รอไปสักพักเดี๋ยวก็มีขายตามปกติเอง
อ้างอิง
1. ไม่เกี่ยวกับการลดต้นทุน
– ลดต้นทุนนั่นแหละ ทำธุรกิจมันต้องมีกำไร
2. มีกล้องหลายตัว ไม่ได้แปลว่าดี
– กล้องน้อยตัวก็ไม่ได้แปลว่าดีเช่นกัน ข้ออ้างในการจะลดต้นทุนหรือควบคุมต้นทุนไม่ได้นั่นแหละ
3. ความสมมาตรของงานออกแบบ
– มันคือไอโฟนที่เพิ่มลวดลาย ลูกเล่น ด้านหลัง
4. ระยะเลนส์ที่ให้มา ครอบคลุมตั้งแต่มาโครยันเทเลโฟโต
– มันจะเรียกว่าระยะ"เลนส์"ครอบคลุมได้ยังไงในเมื่อมันเป็นดิจิตัลซูม งี้ให้ Ultrawide มาเลนส์เดียวแล้วใช้การดิจิตัลซูมจาก macro 1.0x > 2.0x ก็บอกว่าครอบคลุมได้เหมือนกันอ่ะดิ
ออกแนวแถหน่อยๆ
"กล้องจับความลึกที่เอาเข้าจริงก็แทบไม่ได้ใช้ประโยชน์"
อันนี้ไม่จริงกล้องจับความลึกทำภาพหน้าชัดหลังเบลอได้ ซึ่งช่วยให้ภาพมีมิติสวยงาม
รอดู OS ก่อนเลยค้าบว่าสเถียรมั้ย
สำหรับผม "ดิจิทัลซูม" ไม่เรียกว่า"ซูม" มันคือการเอาภาพที่ผ่านเซนเซอร์แล้วมาขยาย ยังไงๆ ก็ไม่ใช่เทเล ทดแทนกันไม่ด๊ายยยยยย
เทเลแม้จะใช้น้อยกว่า อัลตร้าไวด์ แต่หากมี ออฟติคอลซูม ใช้บางสถานการณ์ก็ยังดีกว่าไม่มีและดีกว่าการขยายภาพ
เพราะฉะนั้น เรียกว่าครอบคลุม ไม่ด๊ายยยยย
ถ้าเขาบอกไม่ใช่ มันคือใช่
ถ้าขายแค่หมื่นต้นๆ เหมือนชาวบ้าน เหตุผลต่างๆ ที่ว่ามาจะน่าฟังขึ้นเยอะ
คำถามแบบนี้ ไม่ตอบเลือก ยิ้มเฉยๆ จะดูดีกว่านะพี่ ขอให้ประสบความสำเร็จเป็นตำนานตาม essential phone ไปเลยนะครับ
เอาในแง่การตลาด มือถือ นี้ คนที่สนใจคือกลุ่ม geekแต่สเปคบ้านๆแบบนี้มันก็จบแล้วล่ะ คิดว่าโลโก้เป็นรูปผลไม้เหรอถึงสามารถแถแบบนี้ได้ ถ้าคนพูดคือ steve job ทุกอย่างจบ แต่นี่ ไม่ใช่ กล้าอ่ะเน่อะ
อินดี้ๆอย่าง google pixel เองยังแค่พอขายได้ อันนี้หวังอะไร
ในมุมมองของ android มันแข่งกันที่สเปคนะครับทั่น ตัวไหนไม่แข่งสเปค เห็นกลับบ้านเก่าตลอด
ถ้าจะซื้อ ก็คงเพราะงานดีไซน์อย่างเดียวเลยครับ