แอปเปิลกำลังจะเปิดตัว iPhone 16 series ในวันที่ 10 กันยายน มาทั้ง iPhone 16, iPhone 16 Plus, iPhone 16 Pro และ iPhone 16 Pro Max ข้อมูลและภาพต่าง ๆ ก็หลุดออกมาจนฉ่ำปอด แทบไม่เหลืออะไรให้ลุ้นแล้ว จนหลายคนคงมีตัวเลือกในใจแล้วว่า ‘ซื้อ’ หรือ ‘ไม่ซื้อ’ – ซึ่งถ้าคุณอยู่ทีมหลัง หรือยังตัดสินใจไม่เด็ดขาด แต่มีแนวโน้มมาทางทีมหลัง DroidSans ขอเสนอ 4 + 1 เหตุผล ในการระงับกิเลส ที่จะช่วยห้ามใจไม่ให้อัปเกรดไป iPhone 16 ในบทความนี้

1. Apple Intelligence ยังไม่พร้อม และไม่รู้จะพร้อมเมื่อไหร่

แอปเปิลเปิดตัวชุดฟีเจอร์ปัญญาประดิษฐ์ Apple Intelligence ออกมาในเดือนมิถุนายน วางกลยุทธ์เป็นจุดขายใหม่บนสินค้ากลุ่ม iPhone, iPad และ Mac ดึงสปอตไลต์มาส่องได้ประมาณนึง มี iPhone รุ่นที่รองรับคือ

  • iPhone 15 Pro
  • iPhone 15 Pro Max
  • iPhone 16
  • iPhone 16 Plus
  • iPhone 16 Pro
  • iPhone 16 Pro Max

จากรายชื่อข้างต้น อาจเห็นได้ว่า iPhone หลายรุ่นตกขบวน ไม่ได้ใช้งาน Apple Intelligence ด้วยข้อจำกัดของขนาดแรม แม้ชิปจะไม่ใช่อุปสรรคก็ตาม ดังนั้นคงไม่ใช่เรื่องแปลก หากผู้ใช้งาน iPhone กลุ่มที่ไม่รองรับ (ตั้งแต่ iPhone 15 ลงไป) มอง Apple Intelligence เป็นเหตุผลที่จะอัปเกรดมา iPhone 16 ทว่า ถ้าดูตามสถานการณ์ปัจจุบัน คุณคงไม่ต้องรีบร้อนขนาดนั้น

เหตุผลคือ Apple Intelligence ยังมีสถานะ ‘ลูกผีลูกคน’ ตอนนี้ผ่านมาหลายเดือน ประเด็นเรื่องความพร้อมใช้งานก็ยังเป็นเครื่องหมายคำถามตัวโต ๆ บ้างลือว่าบางฟีเจอร์อาจมาปลายปี บ้างลือว่าเราอาจต้องรอถึงปีหน้า ยังไม่นับประเด็นเรื่องภาษาที่รองรับ ซึ่งในช่วงแรกจะรองรับแค่ภาษาอังกฤษเท่านั้นอีก

2. มือถือเครื่องเดิม ยังใช้งานได้ดี ไม่มีปัญหา

คุณอาจไม่มีความจำเป็นต้องอัปเกรดเป็น iPhone 16 และ iPhone 16 Pro ถ้าเครื่องเดิมยังใช้งานได้ลื่นไหลอยู่ โดยเฉพาะ iPhone 12, iPhone 13, iPhone 14 และ iPhone 15 เพราะชิปยังแรงระดับแถวหน้าอยู่ กล้องก็ยังถ่ายชัด ถ่ายนกเป็นนก ถ่ายไม้เป็นไม้ และที่สำคัญ ซอฟต์แวร์ก็ยังไม่หมดระยะอัปเดต

หากจะมีข้อยกเว้น คงเป็นกรณีที่ว่า เครื่องเดิมมีชิ้นส่วนที่ชำรุด หรือเสื่อมสภาพ จนส่งผลต่อการใช้งาน เช่น

  • แบตเตอรี่เริ่มไม่เก็บไฟ ชาร์จแต่ละครั้งเริ่มอยู่ได้ไม่ครบวัน
  • หน้าจอแตก เลนส์กล้องแตก ฝาหลังแตก
  • ไมโครโฟนพัง ลำโพงไม่ดัง

กรณีนี้ ถ้ายังอยู่ในระยะรับประกัน ก็ดีไป แต่ถ้าหมดประกันไปแล้ว และมีค่าใช้จ่ายในการซ่อมสูง หรือเครื่องเสียหายหนัก บางทีการเลือกซื้อเป็นเครื่องใหม่ไปเลย ก็น่าจะสบายใจกว่าในระยะยาว ไม่ต้องกังวลว่าซ่อมมาแล้วอาจไม่จบ ต้องมาซ่อมซ้ำอีกรอบ

3. ฮาร์ดแวร์เปลี่ยนนิดเดียว แต่ราคาอาจแพงขึ้น

iPhone 16 และ iPhone 16 Plus

  • จอ 6.1 นิ้ว และ 6.7 นิ้ว
  • รีเฟรชเรต 60Hz เท่าเดิม
  • ดีไซน์คล้ายเดิม แต่วางกล้องหลังแนวตั้ง
  • ขอบจอบางลง
  • ชิป A18 Bionic
  • แรม 8GB
  • มีปุ่ม Capture Button เพิ่มมา
  • มีปุ่ม Action Button เพิ่มมา
  • ปรับปรุงไมโครโฟน
  • กล้องหลักไม่เปลี่ยน
  • กล้องอัลตราไวด์ถ่ายมาโครได้
  • รองรับ Apple Intelligence แล้ว

iPhone 16 Pro และ iPhone 16 Pro Max

  • จอ 6.3 นิ้ว และ 6.9 นิ้ว (ใหญ่กว่าเดิมรุ่นละ 0.2 นิ้ว)
  • ดีไซน์เหมือนเดิม
  • ขอบจอบางลง
  • ชิป A18 Pro
  • แรม 8GB หรือสูงกว่า
  • มีปุ่ม Capture Button เพิ่มมา
  • ปรับปรุงไมโครโฟน
  • กล้องหลักไม่เปลี่ยน
  • กล้องอัลตราไวด์อัปเกรดเป็น 48MP
  • กล้องเทเล 5x เท่ากันทั้งสองรุ่น

หลายคนคงเห็นตรงกันว่า iPhone 16 และ iPhone 16 Pro มีการอัปเกรดฮาร์ดแวร์แค่เล็กน้อย (ดูรายการด้านบนประกอบ) เหตุผลที่เป็นเช่นนี้ คงไม่มีใครทราบ นอกเสียจากแอปเปิลเอง

แต่คงพอจะเดาได้ว่า Apple Intelligence เป็นปัจจัยหลักที่ทำให้แอปเปิลต้องปรับลำดับความสำคัญ เมื่อ ‘ปัญญาประดิษฐ์’ กลายมาเป็นเทรนด์ที่มาแรงที่สุดบนโลกเทคโนโลยี และคู่แข่งสำคัญอย่างซัมซุงและกูเกิล ต่างก็มีฟีเจอร์ Galaxy AI และ Google AI ที่พร้อมใช้งานแล้ว ความสำคัญของการยกระดับฮาร์ดแวร์ iPhone 16 ในปีนี้จึงลดหลั่นลงไป

ภาพจาก Sonny Dickson

ในอีกมุมหนึ่ง มีข่าวว่า iPhone มีต้นทุนสูงขึ้นมานานแล้ว และยังสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งที่ผ่านมา แอปเปิลยังคุมราคาเริ่มต้นเอาไว้ได้ดี ที่ 799 ดอลลาร์เท่าเดิม ตั้งแต่ iPhone 12 จนถึง iPhone 15 แต่ข่าวลือเรื่องการปรับราคาก็วนกลับมาอีกครั้งใน iPhone 16 ในปีนี้

สมมติว่า iPhone 16 มีราคาแพงขึ้นจริง แล้วได้ฮาร์ดแวร์ที่เปลี่ยนไม่มาก การอดใจรอ iPhone 17 ในปีหน้า อาจเป็นทางเลือกที่ดีกว่า (?)

4. ปีหน้ามีตัวเลือกเยอะกว่า ทั้ง iPhone 17 Air และ iPhone SE ใหม่

ปีนี้ข่าวลือเกี่ยวกับ iPhone ค่อนข้างแปลกกว่าปีก่อน ๆ เพราะข่าวลือของ iPhone 17 ทยอยออกมารัว ๆ ตั้งแต่ก่อนที่ iPhone 16 จะเปิดตัว แถมน้ำหนักความน่าเชื่อถือสูงลิบ เพราะหลุดมาจากตัวพ่อของวงการ เช่น Mark Gurman แห่ง Bloomberg และ Ming-Chi Kuo นักวิเคราะห์ซัปพลายเชนขาประจำ ข้อมูลคร่าว ๆ คือ

นอกจากนี้ ปีหน้าจะยังมี iPhone SE (รุ่นที่ 4) เป็นอีกทางเลือก หน้าจอ OLED ขนาด 6.06 นิ้ว กล้องหลังเดี่ยว 48MP ชิป A18 Bionic ที่อาจเป็นตัวเดียวกับบน iPhone 16 รุ่นมาตรฐาน รองรับ Apple Intelligence และที่สำคัญคือ ราคาถูกกว่า ตอบโจทย์สำหรับคนที่ไม่ได้ต้องการการใช้งานที่หวือหวา ทำให้ไม่จำเป็นต้องจ่ายแพงเกินจำเป็นเพื่อเข้าถึง iPhone

ภาพเรนเดอร์ iPhone SE 4 (คาดการณ์) จาก Majin Bu

5. ย้ายมาจาก Android งบอาจบานปลายกว่าที่คิด

สำหรับกลุ่มผู้ใช้งาน Android นอกเหนือจากเหตุผลข้อบน ๆ ที่กล่าวไปแล้ว ยังมีเหตุผลเพิ่มเติมอีก 2 ข้อ ที่แนะนำให้พิจารณาเมื่อคิดย้ายข้ามฟากมา iPhone 16 ดังนี้

ข้อแรกคือ ค่าใช้จ่ายของคุณอาจบานปลายกว่าที่คิด เพราะสินค้าของแอปเปิลมีอุปกรณ์เสริมรองรับหลายอย่าง เคสมีให้เลือกเยอะกว่ายี่ห้ออื่น ไหนจะสารพัดของเล่นที่แปะติดกับ MagSafe อันแสนยั่วยวนชวนให้เสียตังค์ และสักพักอาจมีความรู้สึกอยากงอก iPad, AirPods หรือ MacBook ตามมา และแอปบน Google Play กับ App Store ก็ถือเป็นคนละแพลตฟอร์ม แอปที่เคยซื้อมา ต้องซื้อใหม่ทั้งหมด

ข้อถัดมาคือ คุณอาจเจอเรื่องปวดหัวตามมา จากข้อจำกัดบางอย่าง ตัวอย่างคือ การที่ Quick Share กับ AirDrop แชร์ไฟล์หากันไม่ได้ หรือการที่ iOS ไม่รองรับการแบ่งแอปสองหน้าจอ หน้าต่างลอย และการโคลนแอป เป็นต้น

แต่ถ้าทั้งหมดทั้งมวลที่กล่าวมา ยังไม่เพียงพอต่อการระงับกิเลสของคุณได้ ก็ไม่เป็นไร มารอติดตามราคาและวันวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการของ iPhone 16 ไปพร้อม ๆ กันในไลฟ์บรรยายไทยโดยทีมงาน DroidSans ได้ที่เฟซบุ๊กและยูทูบตามเดิม เริ่มไลฟ์ตั้งแต่ 3 ทุ่ม ของวันที่ 9 กันยายน เป็นต้นไป (โดยประมาณ)