สวัสดีครับเพื่อนสมาชิก Droidsans ทุกท่าน หลังจากคราวที่แล้วผมได้รีวิว U Feel Prime มือถือรุ่นใหม่จาก Wiko ไปให้อ่านกันไปแล้ว วันนี้ถึงคิวของ U Feel Go มือถือในตระกูล U Feel อีกหนึ่งรุ่นที่เปิดตัวมาพร้อม U Feel Prime โดยรุ่นนี้เน้นความอึดของแบตเตอรี่ ซึ่งให้แบตมามากถึง 4000mAh วางจำหน่ายแล้วในราคา 4,990 บาท มาดูรายละเอียดกันครับ

สเปกของ Wiko U Feel Go

  • ชื่อและรหัสเครื่อง : Wiko U Feel Go

  • สัดส่วน : 144.4 x 71.6 x 9.7 มิลลิเมตร

  • น้ำหนัก : 172 กรัม

  • หน้าจอ : IPS ขนาด 5 นิ้ว ความละเอียด HD (1280 x 720) 294 ppi

  • เครือข่ายที่รองรับ:

    • 4G : FDD-LTE 900 / 1800 / 2100 (LTE Cat.4)

    • 3G : WCDMA 850 / 900 / 2100

    • 2G : GSM 850 / 900 / 1800 / 1900

  • SIM : 2 SIM แบบ Micro SIM Dual Standby

  • CPU : MediaTek MT6737 Octa-Core 1.3 GHz, Cortex-A53

  • GPU : Mali™-T720

  • RAM : 2GB

  • หน่วยความจำภายใน : 16GB รองรับ microSD card สูงสุด 64GB

  • กล้องหน้า : 5 ล้านพิกเซล พร้อมแฟลช

  • กล้องหลัง : 13 ล้านพิกเซล AF และแฟลช Single-LED

  • แบตเตอรี่ : 4000mAh

  • OS : Android 6.0 Marshmallow

  • สแกนลายนิ้วมือ : มี

  • NFC : ไม่มี

  • OTG : มี

  • ไฟแจ้งเตือน: มี

  • เซ็นเซอร์และการเชื่อมต่ออื่นๆ:

    • GPS, A-GPS

    • Wi-Fi 802.11 b/g/n

    • Bluetooth 4.0

    • USB 2.0

    • หูฟัง 3.5 มิลลิเมตร

    • Accelerometer, Ambient Light, Gyroscope, Magnetometer, Proximity

  • สีที่มีให้เลือก : เทาดำ Space Gray, ทอง Gold

งานออกแบบ Hardware

เนื่องจากทาง Wiko ไม่ได้ให้กล่อง package มาด้วย มีแต่ตัวเครื่องเปล่าๆ เลยไม่ได้แกะกล่องให้ดูนะครับ มาลองจับตัวเครื่องกันดีกว่า U Feel Go นั้นพอได้ลองสัมผัสครั้งแรกนั้นรู้สึกได้ถึงความแข็งแรงและมีความพรีเมียมตามสไตล์ของ U Feel ที่วัสดุที่ใช้เป็นโลหะแบบ Unibody โดยรุ่นที่เว็บเราได้มารีวิวจะเป็นสีทอง แต่จะเป็นแบบขาวทองคือ ด้านหน้าเป็นสีขาวและด้านหลังเป็นสีทอง ส่วนหน้าจอถูกปกคลุมด้วยกระจกโค้ง 2.5D ตามเทรนด์มือถือยุคปัจจุบัน ส่วนขนาดตัวเครื่องนั้นถือว่ากำลังพอดี มีน้ำหนักเล็กน้อย เพราะด้วยแบตเตอรี่ที่ใหญ่ถึง 4000mAh ทำให้น้ำหนักของตัวเครื่องไปแตะที่ 172 กรัม แต่ก็ไม่ถึงกับหนักจนน่าเกลียด เรียกว่าช่วยให้เข้ามือได้ดีขึ้นมากกว่า

wiko-ufeel-go-review-hardware01.jpg

ส่วนบนของหน้าจอจากซ้ายไปขวาประกอบด้วย ไฟแฟลชกล้องหน้า, ลำโพงสนทนา, ช่องของเซ็นเซอร์ Proximity และวัดแสง ท้ายสุดคือกล้องหน้าความละเอียด 5 ล้านพิกเซล

wiko-ufeel-go-review-hardware02.jpg

ส่วนล่างของหน้าจอจะเป็นปุ่ม Home สารพัดประโยชน์ แบบเดียวกับของ U Feel Prime เลยครับ โดยมันจะทำหน้าที่หลักเป็น “เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ” ฟังก์ชันอื่นคือเราสามารถแตะหนึ่งครั้งเพื่อเป็นปุ่ม Back และกดค้างไว้เพื่อเข้าสู่หน้า Recent apps ได้อีกต่างหาก เรียกว่าจบครบในปุ่มเดียว ไม่จำเป็นต้องใช้ปุ่ม Softkeys บนหน้าจอก็ได้ (ปิดได้ใน Settings)

wiko-ufeel-go-review-hardware03.jpg

ด้านขวาของตัวเครื่องมีปุ่มปรับเสียงและปุ่ม Power ตามมาตรฐานของ Android

wiko-ufeel-go-review-hardware04.jpg

ด้านซ้ายของตัวเครื่องก็เรียบๆ ไม่มีปุ่มอะไร

wiko-ufeel-go-review-hardware05.jpg

ด้านล่างของตัวเครื่องประกอบด้วยพอร์ต microUSB ด้านซ้ายสุด ถัดไปเป็นรูไมโครโฟนสำหรับสนทนาครับ ตรงนี้จะเห็นว่ามีรอยเผยออยู่เล็กน้อย เหมือนปิดไม่สนิท อาจจะเป็นเฉพาะเครื่องรีวิว ดังนั้นใครที่จะซื้อใช้ให้ลองเช็คดูด้วยครับ

wiko-ufeel-go-review-hardware06.jpg

ด้านบนของตัวเครื่องมีเพียงรูเสียบหูฟัง 3.5 มิลลิเมตรสำหรับฟังเพลงผ่านหูฟัง

wiko-ufeel-go-review-hardware07.jpg

พลิกมาดูด้านหลังเครื่องกันบ้าง ด้านหลังมีกล้องหลัง 13 ล้านพิกเซลเด่นเป็นสง่าอยู่ ถัดลงมาด้านล่างเป็นไฟแฟลชแบบ Single LED

wiko-ufeel-go-review-hardware08.jpg

ส่วนด้านล่างที่เห็นเป็นจุดๆนั่นคือ ช่องลำโพงสำหรับเสียงเรียกเข้าและฟังเพลง ถัดลงเป็นเป็นเดือยเล็กๆเพื่อดันตัวเครื่องให้สูงจากพื้นราบเล็กน้อย เพื่อให้ลำโพงไม่ถูกบังครับ

wiko-ufeel-go-review-hardware09.jpg

U Feel Go สามารถแกะฝาหลังออกมาได้ แต่ไม่ใช่เพื่อเปลี่ยนแบตเตอรี่นะครับ เพราะแบตเตอรี่นั้นเปลี่ยนเองไม่ได้ แต่แกะฝาหลังออกมาเพื่อใส่ SIM และ microSD ต่างหาก

wiko-ufeel-go-review-hardware10.jpg

ในส่วนของ SIM ที่รองรับนั้นจะเป็นแบบ microSIM ทั้ง SIM1 และ SIM2 ส่วน micrSD card ก็มีช่องต่างหากให้เสียบ ซึ่งถือเป็นข้อดีที่รุ่นนี้ไม่ได้ใช้ถาดซิมแบบ Hybrid ครับ

wiko-ufeel-go-review-hardware11.jpg

โดยรวมการออกแบบของ Wiko U Feel Go นั้นก็ยังคงรูปแบบของตระกูล U Feel ได้อย่างดี ทั้งการใช้วัสดุโลหะแบบ Unibody และส่วนโค้งเว้าต่างๆรอบเครื่องช่วยให้ดูพรีเมียมและจับถือได้ง่าย หน้าจอ 5 นิ้วความละเอียด HD ก็ถือว่าไม่ขี้เหร่เลย ให้ภาพที่คมชัดและมุมมองกว้าง ขนาดตัวเครื่องไม่ใหญ่ใช้งานมือเดียวได้สบาย จะมีจุดติก็ตรงที่ฝาหลังนั้นปิดไม่สนิท ตรงนี้ไม่แน่ใจว่าเพราะเป็นเรื่องรีวิวหรือเปล่า แต่ให้ตรวจสอบให้ดีก่อนซื้อนะครับ

ระบบ Software

Wiko U Feel Go มาพร้อมระบบปฏิบัติการ Android 6.0 Marshmallow โดยมี Wiko Launcher มาให้ใช้งานเหมือนกับรุ่น U Feel Prime เป๊ะๆเลย นอกจากนั้นก็มีแอปเสริมเข้ามาให้ใช้งานเป็นการเพิ่มฟีเจอร์ในเครื่อง เช่น Phone Assist, My Apps และ Fingerprint เป็นต้น เรามาดูรายละเอียดของส่วนที่สำคัญๆกันดีกว่า

Wiko Launcher

Launcher นี้จะไม่มี App Drawer มาให้ครับ โดย App ทั้งหมดจะถูกวางอยู่บนหน้า Homescreen ให้เราจัดเรียงตำแหน่งเอาเอง นอกจากนั้นก็สามารถเปลี่ยน Wallpaper หรือเพิ่ม Widget ลงบนหน้าจอได้ตามมาตรฐาน Launcher ทั่วไป

wiko-ufeel-go-review-software01.jpg

My Apps

สำหรับคนที่อยากได้ App Drawer กลับมา Wiko ก็มี My Apps เป็นแอปพิเศษที่ทำหน้าที่คล้าย App Drawer โดยจะแสดงรายชื่อแอปทั้งหมดในเครื่องจัดเรียงในแนวตั้งตามตัวอักษร แถวบนสุดจะเป็นรายชื่อแอปที่ใช้บ่อยๆ เราสามารถค้นหาชื่อแอพ หรือเอานิ้วแตะที่ด้านข้างแล้วเลื่อนขึ้นลงตามตัวอักษรได้เช่นกัน ถ้าเราลากเอา My Apps มาไว้ด้านล่างหน้าจอก็จะใช้เป็น App Drawer ได้เหมือนเดิมเลยครับ

wiko-ufeel-go-review-software02.jpg

Phone Assist

แอปที่เป็นศูนย์รวมตัวช่วยจัดการเครื่องของเรา โดยเราสามารถสั่ง Clear RAM ได้ด้วยการกดปุ่ม Click to optimize นอกจากนั้นยังมีความสามารถเสริมให้ใช้ได้เพิ่มเติม ได้แก่

  • Power Saver : การเปิดโหมดประหยัดพลังงานในเครื่อง มีให้เลือกสองแบบคือ Optimized mode ที่เราสามารถเลือกตัดการเชื่อมต่ออินเตอร์ของบางแอปในเครื่องได้ และ Eco. Mode ที่เป็นโหมดสูงสุดที่จะตัดฟีเจอร์เกือบทุกอย่างเหลือเพียงการโทรเข้าโดทรออก, SMS และนาฬิกาเท่านั้น

  • Notification Manager : เลือกแอปที่อนุญาตให้อ่านข้อมูลการแจ้งเตือนได้

  • Boot Optimizer : เลือกแอปที่จะเปิดตัวเองขึ้นมาทุกครั้งทีมีการ reboot เครื่อง

  • Default Apps : จัดการเลือกแอปที่เป็น default สำหรับการทำงานต่างๆ เช่น เปิดดูรูป, keyboard, ฟังเพลง หรือเปิดวิดีโอ เป็นต้น

  • Updates : จัดการเรื่องการอัพเดตของแอปที่เป็นของ Wiko เอง เช่น My Weather

  • Permission Manager : จัดการเรื่องสิทธิ์ของแอปต่างๆที่เข้าถึงข้อมูลหรือการเชื่อมต่อในเครื่อง

wiko-ufeel-go-review-software03.jpg

Notification, Toggles และ Settings

ส่วนของ Notification, Toggles และหน้า Settings นั้น Wiko ไม่ได้ปรับหรือเปลี่ยนแปลงอะไรไปจาก Android มาตรฐานเลย เรียกว่าถ้าไม่ชอบ Wiko Launcher ก็เอา Google Now Launcher มาลงเป็น Pure Android ได้เลย

wiko-ufeel-go-review-software04.jpg

Fingerprint Actions และการล็อคข้อมูล

Wiko U Feel Prime นั้นมาระบบการสแกนลายนิ้วมือตามสมัยนิยม โดยนอกจากการสแกนลายนิ้วมือเพื่อปลดล็อคเครื่องแล้ว เรายังสามารถตั้งค่าให้สแกนนิ้วแล้วเปิดแอปหรือเปิดเบอร์โทรของคนสนิทได้เลย แถมยังสามารถตั้งค่าให้ใช้นิ้วมือร่วมกับการปลดล็อคไฟล์หรือแอปที่เราสั่งล็อคไว้ผ่านทาง File Lock และ App Locks ได้ด้วย

wiko-ufeel-go-review-software05.jpg

Smart Actions

ฟีเจอร์ที่ช่วยให้เราใช้งานมือถือได้มากขึ้นด้วยท่าทางบางอย่าง ตัวอย่างเช่น

  • Wake up screen by double tap: แตะสองครั้งที่หน้าจอตอนดับอยู่เพื่อเปิดหน้าจอขึ้นมา

  • Lock screen by double tap: แตะสองครั้งที่ปุ่ม Home เพื่อทำการล็อคหน้าจอ

  • Flip to mute: คว่ำหน้าจอเพื่อปิดเสียงเรียกเข้า เมื่อมีคนโทรเข้ามา

  • Get the call: เวลามีสายเรียกเข้า เราสามารถรับสายโดยเอามือถือมาแนบหู

  • Direct call: เปิดหน้า contacts เลือกเบอร์ที่ต้องการโทร แล้วเอามือถือแนบหูเพื่อโทรออกได้เลย

  • Disable the handsfree: เอามือถือมาแนบหูเพื่อปืด speakerphone แล้วคุยต่อได้ทันที

  • Answer by mistake: หน้าจอจะดับตลอดเวลา ถ้ามีคนโทรเข้าแล้วมือถืออยู่ในกระเป๋า

  • Flip to snooze: คว่ำหน้าจอเพื่อปิดเสียงเรียกเข้าหรือเสียงเตือนต่างๆ

  • Unlock by power button: ตอนหน้าจอดับสามารถกดปุ่ม Power เพื่อปลดล็อคเข้าใจงานได้ทันที

wiko-ufeel-go-review-software06.jpg

Smart Gesture

ฟีเจอร์ที่ช่วยให้เราสามารถวาดรูปสัญลักษณ์บนหน้าจอเพื่อเปิดแอพต่างๆที่ต้องการได้ โดยสามารถวาดได้ทั้งตอนหน้าจอปิดหรือเปิดอยู่ สำหรับการวาดตอนที่หน้าจอเปิดอยู่จะต้องลากนิ้วจากมุมบนซ้ายลงมาก่อนแล้วจะเจอที่ให้วาดอีกที เบื้องต้นวาดสัญลักษณ์ได้ 3 อย่าง คือ O เปิดกล้อง, M เปิดแอปเพลง และ C เปิดหน้าโทรศัพท์ นอกจากนั้นยังสามารถวาดสัญลักษณ์อื่นๆในแบบของตัวเองได้ด้วย

wiko-ufeel-go-review-software07.jpg

ปัญหาการใช้งานที่พบ U Feel Go เจอปัญหาเดียวกันกับตอนที่ผมรีวิว U Feel Prime เลยคือ

  1. ปกติตอนที่หน้าจอล็อคอยู่ไม่ว่าจะตอนเปิดหรือปิดหน้าจอ เราจะสามารถสแกนนิ้วปลดล็อคเข้าใช้งานได้ แต่ปัญหาจะเกิดขึ้นตอนที่มีการแจ้งเตือนของ Line ที่เป็นแบบ Pop-up ขึ้นมา เราจะไม่สามารถสแกนนิ้วได้เลย ต้องกดปิดการแจ้งเตือนของ Line ทิ้งไปก่อนถึงจะสามารถสแกนได้

  2. ในระหว่างการรับสายที่หน้าจอดับไปนั้น พอเราเอามือถือออกจากหูแล้ว หน้าจอจะไม่ติดขึ้นมาให้อัตโนมัติ ต้องอาศัยกดปุ่ม Power เพื่อเปิดหน้าจอเอง เป็นแบบนี้บ่อยเลยครับ

โดยรวมแล้วระบบซอฟต์แวร์ของ U Feel Go ก็ยังคงเป็นเอกลักษณ์เดิมของ Wiko ไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไรเป็นพิเศษ โดยหากเทียบกับ U Feel Prime จะมีการลดฟีเจอร์บางอย่างออกไป ซึ่งก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติ เพราะมือถือคนละราคา จะมีให้ฟีเจอร์เท่ากันได้อย่างไร แต่ฟีเจอร์ที่มีอยู่ก็เพียงพอสำหรับคนที่เริ่มต้นใช้งาน Android ที่เป็นกลุ่มเป้าหมายของมือถือรุ่นนี้อยู่แล้วครับ

ประสิทธิภาพและการใช้งานแบตเตอรี่

Wiko U Feel Go เลือกใช้หน่วยประมวลผล MediaTek MT6737 Octa-Core ความเร็ว 1.3 GHz ส่วนของ GPU เป็น Mali-T720 โดยชิปเซ็นรุ่นนี้จัดว่าอยู่ในกลุ่มราคาประหยัดสำหรับกลุ่ม basic user ในส่วนของ RAM ให้มา 2GB ก็ถือว่าสมราคาของมือถือเอง สำหรับประสิทธิภาพจากการทดลองใช้งานมาสักพักพบว่า ทำงานได้ดี ลื่นไหล มีหน่วงบ้างบางจังหวะ ซึ่งก็เป็นสิ่งที่คาดหวังได้อยู่แล้ว โดยการวัดประสิทธิภาพด้วย App สำหรับ benchmark พบว่าได้คะแนนตามมาตรฐานดังนี้

wiko-ufeel-go-review-performance01.jpg

Antutu Benchmark

wiko-ufeel-go-review-performance02.jpg

Geekbench 4 : CPU

wiko-ufeel-go-review-performance03.jpg

Geekbench 4 : GPU

ในส่วนของแบตเตอรี่ความจุ 4000mAh ซึ่งถือว่าเป็นจุดเด่นของมือถือรุ่นนี้เลย ถือให้มาใช้งานอย่างจุใจ โดยผลทดสอบความอึดก็ถือว่าใช้ได้ สามารถใช้งานได้ครบวันสบายๆ บบไม่ต้องห่วงเรื่องชาร์จเลย จากการใช้งานทั่วไปของผม ซึ่งเป็นการเล่น Facebook, Messenger, Line และอินเตอร์เน็ต รวมไปถึงถ่ายรูปและฟังเพลงบ้าง พบว่า ใช้งานได้ประมาณ 13-14 ชั่วโมง กลับมาถึงบ้านตอนดึกยังมีแบตเหลือ 30-40% ทุกวัน อย่างไรก็ตามโดยส่วนตัวผมคาดหวังความอึดมากกว่านี้ เพราะสเปกที่ให้มาก็ไม่ได้มากมายอะไร

wiko-ufeel-go-review-performance04.jpg

กล้องถ่ายรูปและตัวอย่างภาพถ่าย

Wiko U Feel Go มาพร้อมกล้องหลังความละเอียด 13 ล้านพิกเซลเท่ากับ U Feel Prime แต่เซ็นเซอร์คนละยี่ห้อ ส่วนการใช้งานแอปกล้องเหมือนกันแบบเด๊ะๆ โดยตัวแอปกล้องเน้นการใช้งานด้วย Gesture ปัดไปทางซ้ายเป็นโหมดการถ่ายรูปให้เล่นหลากหลาย เช่น Panorama, Face Beauty, HDR, Night, Sports และ Pro ถ้าปัดไปทางขวาจะเป็น Settings สามารถปรับค่า option ได้เพิ่มเติม เช่น ปรับความละเอียดรูปถ่าย, Touch Shot, Smile Shot หรือตั้งเวลาถ่ายรูป เป็นต้น

wiko-ufeel-go-review-camera01.jpg

ตรงนี้ก็แปลกใจอยู่นิดหน่อยว่ามือถือราคา 4 พันกว่าบาทมี โหมด Pro มาให้ใช้งานด้วย เราสามารถเลือกจุดโฟกัสและจุดวัดแสงแยกจากกันได้ ส่วนค่าที่ให้ปรับได้ก็มี ระยะโฟกัส, Exposure, ISO, White Balance, Sharpness และ Saturation

wiko-ufeel-go-review-camera02.jpg

สำหรับคุณภาพของภาพถ่ายที่ได้ถือว่า ทำได้ดีตามมาตรฐานของมือถือราคาระดับนี้ ถ่ายได้เรื่อยๆสนุกๆ ไม่ต้องซีเรียสอะไร ภาพตอนกลางคืนเป็นจุดอ่อนของมือถือช่วงราคานี้อยู่แล้ว ดังนั้นอย่างหวังคุณภาพเกินตัว ส่วนภาพ Selfie ก็ถือว่าใช้ได้เลย มีโหมด Face beauty ปรับหน้าเนียนให้ใช้ตามมาตรฐาน Selfie ในยุคปัจจุบัน มาดูภาพตัวอย่างกันครับ

บทสรุป

U Feel Go จัดว่าเป็นมือถือที่เน้นความคุ้มค่าอีกรุ่นหนึ่งของ Wiko ทำได้ดีในเรื่องงานออกแบบสไตล์โลหะ Unibody เน้นความพรีเมียมของพื้นผิวสัมผัส จับถือได้เข้ามือ บวกกับแบตเตอรี่ที่จัดมาให้ถึง 4000mAh สำหรับเรื่องประสิทธิภาพเองก็ถือว่าทำได้ดีตามมาตรฐาน ด้วยชิปเซต MediaTek MT6737 และ RAM 2GB ถือว่าพอดีสำหรับการใช้งานทั่วไป

จุดเด่น

  • แบตเตอรี่ 4000mAh

  • งานออกแบบพรีเมียมสไตล์โลหะ

  • มีเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ ที่เป็นทั้งปุ่ม Home, Back และ Recents ในปุ่มเดียวกัน

  • หน้าจอสวย คมชัดดี

จุดที่ควรปรับปรุง

  • ระบบ Auto Brightness ค่อนข้างมืดไปหน่อย

  • ปัญหาจุกจิกเรื่องซอฟต์แวร์

  • งานประกอบไม่เนี๊ยบ ฝาหลังปิดไม่สนิท

Wiko U Feel Go วางจำหน่ายแล้วในราคา 4,990 บาท มี 2 ให้เลือกคือ เทาดำ Space Gray และ ทอง Gold ใครสนใจก็ลองไปสำรวจตามร้านมือถือชั้นนำได้เลยครับ วันนี้ผมขอลาไปก่อน สวัสดีครับ

wiko-ufeel-go-review-end.jpg