เชื่อว่าหนึ่งในคำถามในใจใครหลายคนคือ ตอนลง Windows จะลงเวอร์ชันไหนดีระหว่าง 10 กับ 11 เวอร์ชันไหนใช้เล่นเกมได้ดีกว่ากัน เพราะหลายคนอาจจะกังวลว่าฟีเจอร์ใหม่ ๆ บน Windows 11 จะรบกวนทำให้เครื่องทำงานช้าลง หลายคนเลยไม่อยากอัปเกรดไปใช้ สะดวกใจที่จะอยู่กับ Windows 10 ต่อไป แต่ก็กลัวว่าถ้าถึงเดือน ต.ค. ปีหน้า 2025 ที่ Windows 10 จะไม่ได้รับอัปเดตแล้วต้องอัปไปจริง ๆ จะทำให้เครื่องช้าลงตามเสียงลือ วันนี้ทางเว็บ Techspot ได้ทดสอบมาให้แล้ว

โดยในการทดสอบจะทำการอัปเดต Windows 10 และ 11 เป็นเวอร์ชันล่าสุดก่อน รวมถึงไดรเวอร์ของอุปกรณ์ภายในด้วย ใช้ซีพียูทั้งหมด 4 รุ่น ได้แก่ AMD Ryzen 7 7800X3D, AMD Ryzen 7 7700X, Intel Core i7-12700K และ Intel Core i7-14700K ทดสอบบน Windows 10 และ 11 ใช้การ์ดจอรุ่นเดียวกัน RTX 4090 เล่นเกมบนความละเอียด 1080p ปรับกราฟิกสูงสุด

ซึ่งการตั้งค่าที่ถูกปรับให้เหมือนกันทั้งสองเครื่องมีแค่อย่างเดียวคือ memory integrity ที่ใน Windows 11 จะถูกเปิดเอาไว้เป็นค่าเริ่มต้น ทีมงานเลยเข้าไปปิด เพื่อให้เหมือนกับค่าเริ่มต้นของ Windows 10 ผลการทดสอบจะได้ออกมาแม่นยำที่สุด เท่ากับว่าใน 1 เกม มีการทดสอบทั้งหมด 8 แบบ

Baldur’s Gate 3

จากกราฟจะเห็นได้ว่าค่า FPS ของ Windows 10 และ 11 แทบไม่ต่างกันเลย

The Last of Us Part 1

จากกราฟจะเห็นได้ว่า Windows 10 มีค่า FPS ที่มากกว่าอยู่เล็กน้อย 1-2% ซึ่งในทางสถิติแล้วสามารถตีความได้ว่าไม่ต่างกัน เพราะตอนทดสอบอาจเกิดความผิดพลาดจากปัจจัยภายนอกได้

Cyberpunk 2077: Phantom Liberty

จากกราฟพบว่า Windows 10 นั้นให้ FPS ที่มากกว่า โดยแต่ละซีพียูจะให้ผลที่ต่างกันบ้างเล็กน้อย โดย Ryzen 7 7800X3D จะเห็นความต่างได้สูงสุดถึง 10%

Hogwarts Legacy

จากกราฟจะเห็นได้ว่าค่า FPS ของ Windows 10 และ 11 แทบไม่ต่างกันเลย

Assetto Corsa Competizione

จากกราฟจะเห็นได้ว่า Windows 10 มีค่า FPS ที่มากกว่าอยู่เล็กน้อย 2-3%

Spider-Man Remastered

จากกราฟจะเห็นได้ว่าค่า FPS ของ Windows 10 และ 11 ได้ผลลัพธ์ออกมาใกล้เคียงกันมาก

Homeworld 3

จากกราฟจะเห็นได้ว่า Windows 10 มีค่า FPS ที่มากกว่าประมาณ 6% สำหรับเครื่องที่ใช้ซีพียู AMD ส่วนเครื่องที่ใช้ซีพียู Intel จะต่างกันอยู่เล็กน้อยประมาณ 3-5%

A Plague Tale: Requiem

จากกราฟพบว่า Windows 10 นั้นให้ FPS ที่มากกว่า โดยแต่ละซีพียูจะให้ผลที่ต่างกันบ้างเล็กน้อย โดย Ryzen 7 7800X3D จะเห็นความต่างได้สูงสุดถึง 10%

Counter-Strike 2

จากกราฟพบว่า Windows 10 นั้นให้ FPS ที่มากกว่า โดยแต่ละซีพียูจะให้ผลที่ต่างกันบ้างเล็กน้อย โดย Core i7-14700K จะเห็นความต่างได้สูงสุดถึง 11%

Starfield

จากกราฟจะเห็นได้ว่า Windows 10 มีค่า FPS ที่มากกว่าอยู่เล็กน้อยประมาณ 4%

Horizon Forbidden West

จากกราฟจะเห็นได้ว่าค่า FPS ของ Windows 10 และ 11 แทบไม่ต่างกันเลย

Hitman 3

จากกราฟจะเห็นได้ว่าค่า FPS ของ Windows 10 และ 11 ได้ผลลัพธ์ออกมาใกล้เคียงกันมาก

Watch Dogs: Legion

จากกราฟจะเห็นได้ว่า Windows 10 มีค่า FPS ที่มากกว่าอยู่เล็กน้อยประมาณ 2%

สรุปผลการทดลองพบว่า Windows 10 เล่นเกมดีกว่าเล็กน้อย ต่างกันสูงสุด 11% ซึ่งถ้าดูเปอร์เซ็นต์อาจจะฟังดูเยอะ แต่ถ้าเป็นตัวเลขเฟรมเรทแล้วจะต่างกันไม่กี่เฟรมเท่านั้นเอง

จึงเป็นบทสรุปที่ว่าถ้าใครยังโอเคกับ Windows 10 อยู่ จะใช้ต่อก็ได้ ไม่จำเป็นต้องอัปเกรดไปเป็น Windows 11 หรือถ้าอยากใช้ฟีเจอร์ใหม่ ๆ บน Windows 11 แต่กังวลว่าจะทำให้เครื่องช้าลงกว่าตอน Windows 10 หรือไม่ คำตอบคือก็ไม่ได้ต่างกันขนาดนั้น ใครอยากใช้เวอร์ชันไหนก็ได้ทั้งนั้นขึ้นอยู่กับความสะดวก และความถนัดมากกว่า

อย่างไรก็ตามแม้ว่า Windows 10 จะให้ตัวเลข FPS ที่มากกว่า Windows 11 อยู่เล็กน้อยก็ตาม แต่ Windows 10 ก็ไม่มีฟีเจอร์ใหม่อัปเดตให้แล้ว ถ้าใครต้องการใช้ฟีเจอร์ใหม่ ๆ ก็คงต้องเลือกเป็น Windows 11 เท่านั้น

และตามที่ Microsoft ประกาศ Windows 10 เหลือเวลาที่จะได้รับอัปเดตอยู่อีกประมาณ 1 ปีกว่าเท่านั้น ก่อนที่จะหมดอายุและไม่ได้รับซัพพอร์ตแพทช์ความปลอดภัยอีกต่อไป ดังนั้นถ้าใครจะเลือกลง Windows 10 ในวันนี้ก็อาจจะถูกบีบให้อัปเป็น Windows 11 อยู่ดีในอนาคต

ที่มา : techspot