หลังจากที่ผู้ใช้ Windows 11 ติดตั้งอัปเดต KB5067036 หลายคนเริ่มรายงานอาการแปลก ๆ ของ Task Manager ที่กดปิดแล้วไม่ยอมออกจริง ถึงแม้จะคลิกปุ่ม X ไปแล้ว แต่ตัวโปรแกรมยังคงทำงานอยู่เบื้องหลัง พอเปิดขึ้นมาใหม่ก็จะมีโปรเซส taskmgr.exe เพิ่มขึ้นอีกหนึ่งตัว ทำให้เครื่องเริ่มหน่วงลงเรื่อย ๆ เพราะหน่วยความจำและซีพียูถูกใช้โดยไม่รู้ตัว

ข้อมูลจากผู้ใช้หลายรายระบุว่าแต่ละอินสแตนซ์ของ Task Manager ที่ค้างอยู่จะกิน RAM ราว 20-25MB และใช้ซีพียูประมาณ 0-1.5% ฟังดูไม่เยอะ แต่ถ้าเปิดปิดหลายสิบครั้งก็สามารถกินแรมรวมถึงระดับกิกะไบต์ได้ โดยเฉพาะบนพีซีที่มี RAM น้อย ปัญหานี้เกิดขึ้นหลังอัปเดต KB5067036 ซึ่งเป็นอัปเดตแบบ Preview ของเดือนตุลาคม 2025

ไมโครซอฟท์ออกมายืนยันแล้วว่ารับทราบปัญหานี้และกำลังเตรียมแพตช์แก้ในรอบถัดไป แต่ตอนนี้ยังไม่มีวิธีแก้อย่างเป็นทางการ โดยแนะนำให้ผู้ใช้จัดการชั่วคราวด้วยการเปิด Task Manager แล้วไปที่แท็บ Details จากนั้นเลือก taskmgr.exe แล้วกด End task เพื่อปิดแต่ละโปรเซสด้วยตัวเอง หรือถ้าอยากปิดทั้งหมดรวดเดียว ให้เปิด Command Prompt แบบ Run as administrator แล้วพิมพ์คำสั่ง taskkill.exe /im taskmgr.exe /f จากนั้นกด Enter

ถ้าไม่อยากยุ่งกับคำสั่งก็สามารถรีสตาร์ตเครื่องเพื่อเคลียร์อินสแตนซ์ที่ค้างได้เช่นกัน และเพื่อเลี่ยงปัญหาชั่วคราว ควรหลีกเลี่ยงการกด X ปิด Task Manager ไปก่อนจนกว่าไมโครซอฟท์จะปล่อยอัปเดตแก้

สำหรับผู้ใช้ที่มีความรู้ด้านเทคนิค มีวิธีป้องกันไม่ให้ Task Manager โคลนตัวเองได้โดยใช้เครื่องมือ ViVeTool จาก GitHub เพียงเปิด Command Prompt แบบแอดมินแล้วพิมพ์คำสั่ง vivetool /enable /id:49407484,57048231 จากนั้นรีสตาร์ตเครื่องก็ใช้งานได้ตามปกติ หรือจะใช้ไฟล์รีจิสทรีที่มีนักพัฒนาแชร์ไว้บน GitHub ก็ได้เช่นกัน โดยสามารถเปิดไฟล์ดูด้วย Notepad ก่อนติดตั้งเพื่อความปลอดภัย และหากอยากยกเลิกการเปลี่ยนแปลงก็ใช้คำสั่ง

REG DELETE “HKEY_LOCAL_MACHINE\SYSTEM\ControlSet001\Control\FeatureManagement\Overrides\14” /f

โดยรวมแล้วบั๊กนี้ไม่ได้ทำให้ข้อมูลเสียหาย แต่ทำให้เครื่องช้าลงแบบเนียน ๆ จากโปรเซสที่ค้างสะสมอยู่ในระบบ หากใครยังไม่ได้อัปเดต KB5067036 ก็อาจชะลอไว้ก่อน ส่วนคนที่ติดตั้งแล้วให้ใช้วิธี End task หรือ taskkill ไปพลาง ๆ จนกว่าแพตช์ถาวรจากไมโครซอฟท์จะถูกปล่อยออกมา

ที่มา : windowslatest