หลังจากที่เคส CrowdStrike ทำคอมจอฟ้าไปครึ่งโลกยังไม่ทันจะจบดี ล่าสุดมีบั๊กใหม่มาให้พี่น้องชาวไอทีปวดหัวอีกแล้ว เมื่อ Microsoft ออกมาประกาศเตือนว่า แพทช์อัปเดตความปลอดภัยล่าสุด KB5040442 ของ Windows 10, 11 รวมถึง Windows Server บางตัวมีบั๊ก ทำให้มีโอกาสที่ตอนเปิดเครื่อง หรือรีบูตระบบแล้ว อาจจะติดหน้า BitLocker recovery ได้

โดยปัญหานี้จะเกิดขึ้นเฉพาะผู้ใช้งานที่เปิดฟังก์ชัน Device Encryption หรือเปิดตัว BitLocker ในไดรฟ์หลักเอาไว้เท่านั้น ส่วนวิธีตรวจสอบว่าเครื่องเปิดฟีเจอร์นี้ไว้หรือไม่ให้เข้าไปที่ Setting -> Privacy & Security -> Device encryption

สำหรับเครื่องที่ใช้ Windows 11 ส่วนเครื่องที่ใช้ Windows เวอร์ชันอื่น ๆ ให้พิมพ์ในช่องค้นหาใน Start Menu ว่า BitLocker แล้วดูว่าไดรฟ์ที่ลง Windows มีสถานะ BitLocker เปิดอยู่หรือไม่

รายชื่อ Windows ที่ได้รับผลกระทบทั้งฝั่ง Client และ Server

  • Windows 11 version 23H2, 22H2, 21H2
  • Windows 10 version 22H2, 21H2
  • Windows Server 2022, 2019, 2016, 2012 R2, 2012, 2008 R2 และ 2008

ทางแก้ก็คือต้องไปหาคีย์ BitLocker ใน Microsoft Account หรือคีย์ที่เรา Backup ไว้ด้วยตัวเองมาปลดล็อก ซึ่งถ้าไม่มีคีย์ตัวนี้ก็จะเข้า Windows ไม่ได้ ต้องล้างเครื่องลงใหม่เท่านั้น เพราะข้อมูลภายในโดนเข้ารหัสไว้หมดแล้ว จะถอด SSD ไปใส่เครื่องอื่นก็เปิดไม่ได้นะ

วิธีหา BitLocker Key ใน Microsoft Account

  • เข้าไปที่ Link นี้
  • Sign in Microsoft Account ที่ใช้กับเครื่องที่ติดล็อก
  • หาชื่อเครื่อง และวันที่เปิดใช้ BitLocker นี้
  • นำ Recovery Key 48 หลัก ไปกรอก

อย่างไรก็ดีในตอนนี้ Microsoft ยังทบทวนสาเหตุปัญหาอยู่ ดังนั้นในช่วงนี้ถ้าเปิดฟีเจอร์ BitLocker อยู่ก็อาจจะต้องปิดก่อน หรือไม่ก็สำรองข้อมูลแยกเผื่อไว้ในกรณีที่เครื่องติดล็อกขึ้นมาจะได้ล้างเครื่องลง Windows ใหม่ได้ ส่วนใครที่ไม่ได้เปิดฟีเจอร์นี้ไว้ก็สบายใจได้เพราะเครื่องที่มีโอกาสโดนบั๊กตัวนี้เล่นงานมีแค่เครื่องที่เปิด BitLocker เอาไว้เท่านั้น

ที่มา : bleepingcomputer, Microsoft