Xiaomi 15T Series ทั้งสองรุ่นได้แก่ Xiaomi 15T และ Xiaomi 15T Pro หลุดข้อมูลสเปค และดีไซน์ครบทั้งสามสีก่อนจะเปิดตัวในวันที่ 25 กันยายนนี้ เสิร์ฟสเปคจัดเต็มทั้งกล้อง Leica เทเลโฟโตซูมระยะ 5 เท่า และชิปเซ็ตระดับเรือธง Dimensity 9400+

จุดแตกต่างในเรื่องของดีไซน์ระหว่าง Xiaomi 15T และ 15T Pro ก็คือวัสดุเฟรมเครื่องที่เลือกใช้ซึ่งส่งผลกับฟีลลิ่งในการจับถือ โดยรุ่นมาตรฐานจะใช้เป็นเฟรมพลาสติก (plastic frame) ส่วนรุ่นโปรเป็นเฟรมโลหะ (metal frame) หน้าจอมีขนาดเท่ากันทั้งสองรุ่นคือ 6.83 นิ้ว พาเนลหน้าจอ AMOLED

ความละเอียดสูงถึง 2,772 × 1,280 พิกเซล สามารถแสดงผลความสว่างสูงสุดได้ถึง 3,200 นิต รองรับคอนเทนต์ HDR10+ และ Dolby Vision จุดแตกต่างของทั้งสองรุ่นก็คือ Xiaomi 15T Pro รีเฟรชเรตหน้าจอจะสูงถึง 144Hz ส่วนรุ่นมาตรฐานรีเฟรชเรตสูงสุดอยู่ที่ 120Hz

Winfuture เผยว่าชิปเซ็ตประมวลผลที่เลือกใช้จะเป็นชิปของค่าย MediaTek ทั้งสองรุ่น Xiaomi 15T Pro จะมาพร้อมกับชิปเซ็ตระดับท็อปอย่าง Dimensity 9400+ ส่วน Xiaomi 15T เลือกใช้เป็น Dimensity 8400 จับคู่กับหน่วยความจำ (RAM) ขนาด 12GB และพื้นที่จัดเก็บข้อมูลให้เลือกสองรุ่น 256GB และ 512GB

อีกหนึ่งจุดแตกต่างหลักของ Xiaomi 15T Series ในปีนี้อีกหนึ่งจุดก็คือ ชุดกล้องหลังทั้งสามตัว ถึงแม้จะยังจับมือกับ Leica แต่ก็จะมีจุดแตกต่างอยู่ที่เซนเซอร์ที่เลือกใช้ และเลนส์ซูมซึ่งมีระยะซูมออปติคัลแตกต่างกันในทั้งสองรุ่น โดยมีรายละเอียดดังนี้

สเปคกล้อง Xiaomi 15T Pro

  • กล้องหลัก Light Fusion 900 ความละเอียด 50MP
  • กล้องเทเลโฟโต้ JN5 ความละเอียด 50MP ออปติคัลซูมระยะ 5 เท่า
  • กล้องอัลตราไวด์ ความละเอียด 12MP
  • กล้องหน้า ความละเอียด 32MP

สเปคกล้อง Xiaomi 15T Pro

  • กล้องหลัก Light Fusion 800 ความละเอียด 50MP
  • กล้องเทเลโฟโต้ ความละเอียด 50MP ออปติคัลซูมระยะ 2 เท่า
  • กล้องอัลตราไวด์ ความละเอียด 12MP
  • กล้องหน้า ความละเอียด 32MP

สุดท้ายก็คือความจุแบตเตอรี่ที่ระบุเอาไว้ว่า Xiaomi 15T Series ทั้งสองรุ่นจะมีความจุอยู่ที่ 5,500mAh แต่รุ่นโปรจะรองรับการชาร์จไวที่ความเร็ว 90W ส่วนรุ่นมาตรฐานมีความเร็วการชาร์จ 67W (มีข่าวลือว่าไม่ได้แถมอะแดปเตอร์มาให้ในกล่อง) มาตรฐานทนน้ำทนฝุ่น IP68 หรือ IP69

Xiaomi 15T Series มีกำหนดการเปิดตัวอย่างเป็นทางการครั้งแรกในงาน Xiaomi Launch 2025 ในวันที่ 25 กันยายน 17.00 น. ตามเวลาประเทศไทย

ที่มา : Winfuture, Gizmochina