ใครที่กำลังมองหามือถือ 5G ที่มีสเปคแรงๆ แบบใช้งานได้ทุกรูปแบบไม่ว่าจะเล่นเน็ต, เล่นโซเชียล, ดูหนัง FHD, หรือจะเล่นเกมกราฟิกหนักๆ ด้วยหน้าจอลื่นๆ รีเฟรชเรทสูง แถมยังมากับกล้องหลังงามๆ และแบตสุดอึด แต่ราคาจับต้องได้ไม่ยาก บอกเลยว่าไม่น่ามีรุ่นไหนที่สู้ Xiaomi Mi 10T Proได้แล้ว เพราะเรียกว่าให้มาแบบครบเครื่องสุดๆ ในราคาเริ่มต้นแค่ 13,990 บาท จนงงว่าไม่รู้ว่าเอากำไรมาจากไหน…โดยการรีวิวครั้งนี้เป็นประสบการณ์การใช้งานจริงเป็นเวลา 1 เดือน จากคนที่ไม่เคยเป็นเจ้าของมือถือแบรนด์ Xiaomi มาก่อนเลยครับ

ของในกล่อง

ภายในกล่องของ Mi 10T Pro ก็จัดมาให้แบบครบๆ โดยไม่ต้องไปหาซื้ออะไรเพิ่มอีกแล้ว มีทั้งเคสใส, ที่ชาร์จไว 33W, สาย USB-C > USB-A, ตัวแปลงสำหรับหูฟังมีสาย USB-C > รูแจ๊ค 3.5 มม., เข็มจิ้มซิม และฟิล์มกันรอยหน้าจอที่ติดมาให้ตั้งแต่ออกจากกล่องเลย…จะคุ้มไปไหน

 

ดีไซน์

Mi 10T Pro ใช้หน้าจอแบบแบนราบ เจาะรูตรงมุมซ้ายบนสำหรับวางกล้องเซลฟี่ โดยขอบจอทั้ง 4 ด้านมีขนาดที่พอดีๆ ไม่บางเกินไปจนอุ้งมือไปโดนให้ทัชลั่น แต่ก็ไม่หนาจนดูน่าเกลียด แถมยังครอบด้วยกระจก Gorilla Glass 5 อีกด้วย

และเนื่องจากหน้าจอเป็นแบบ LCD จึงไม่สามารถสามารถใช้เซ็นเซอร์สแกนนิ้วแบบใต้จอได้ ก็เลยต้องเอาเซ็นเซอร์ดังกล่าวมารวมกับปุ่ม Power ที่ขอบเครื่องด้านขวาแทน ซึ่งเอาจริงๆ ก็ใช้ถนัดดีเหมือนกัน จากปกติที่ผมใช้มือถือสแกนนิ้วบนหน้าจอเป็นเครื่องหลักมาก่อน

เฟรมเครื่องเป็นโลหะเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับเครื่อง มีการประกอบที่แน่นหนาไม่ดูก๊องแก๊ง

ฝาหลังเป็นกระจกแบบ Gorilla Glass 5 เหมือนกับหน้าจอ มีผิวสัมผัสออกด้านๆ แต่ก็ยังเป็นรอยนิ้วมือได้ง่ายมากๆ อยู่ดี

โมดูลกล้องหลังนูนออกมาจากฝาหลังค่อนข้างเยอะอยู่ แต่ก็แก้ได้ด้วยการใส่เคสใสที่แถมมา เพราะจะมีขอบที่สูงขึ้นมาพอดีกับโมดูลกล้อง

โมดูลกล้องยื่นออกมาค่อนข้างเยอะ

พูดถึงการถือใช้งานจริง อาจจะค่อนข้างหนักสำหรับผู้ใช้ทั่วไป ส่วนนึงก็เพราะแบตเตอรี่ที่อัดมาให้ถึง 5000mAh นั่นเอง ทำให้ Mi 10T Pro มีน้ำหนักมากถึง 218 กรัม และตัวเครื่องยังค่อนข้างหนาถึง 9.33 มม. อีกต่างหาก

 

หน้าจอ LCD รีเฟรชเรท 144Hz

Mi 10T Pro มีหน้าจอขนาด 6.67 นิ้ว ความละเอียด FHD+ และมีรีเฟรชเรทสูงถึง 144Hz แต่จะติดอยู่ตรงที่ใช้พาเนลหน้าจอแบบ LCD ซึ่งหลายๆ คนที่คุ้นเคยกับมือถือจอ OLED อาจจะกลัวว่า Mi 10T Pro จะมีปัญหาการแสดงผลสีไม่สดใส หรืออาจจะใช้งานกลางแจ้งสู้แดดไม่ได้หรือเปล่า?

แต่จากการใช้งานจริงพบว่าสีสันที่ปรากฎบนหน้าจอไม่ได้ซีดอย่างที่คิดเลย (รองรับ HDR10 ด้วย) แถมเอาไปใช้กลางแจ้งก็สู้แดดตอนบ่ายได้แบบสบายๆ คือถ้าไม่เอาไปเทียบกับมือถือจอ OLED ก็แทบจะไม่รู้ว่ามันเป็นจอ LCD (นี่คือความเห็นของผมที่ใช้มือถือ ROG Phone 2 หน้าจอ OLED เป็นเครื่องหลักนะครับ)

ใช้กลางแจ้งก็ไม่มีปัญหา

นอกจากนี้ยังรองรับรีเฟรชเรทสูงสุดที่ 144Hz อีกด้วย ซึ่งจะเห็นได้ชัดมากเวลาไถหน้าจอเล่นเน็ตขึ้น-ลง หรือเล่นเกมที่รองรับค่ารีเฟรชเรทสูง แต่แน่นอนว่าก็ต้องแลกมาด้วยการกินแบตเตอรี่ที่มากขึ้นนั่นเองครับ โดยหากเราต้องการประหยัดแบตก็แค่ปรับค่ารีเฟรชลงมาได้ มีให้เลือก 60Hz / 90Hz / 144Hz …ยังไม่หมด หน้าจอของมือถือรุ่นนี้ยังมากับเทคโนโลยี MEMC (Motion Estimation, Motion Compensation) ที่จะช่วยให้ภาพเคลื่อนไหวต่างๆ บนหน้าจอดูลื่นไหลตามรีเฟรชเรทของหน้าจอ ถึงแม้ว่าคอนเทนต์ที่เราดูจะไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อรองรับจอรีเฟรชเรทสูงก็ตาม

 

รองรับมาตรฐาน Widevine L1 และรองรับการแสดงผล HDR10

ใครที่อยากได้มือถือจอสวยๆ เอาไว้ดูหนังดูซีรีส์ภาพคมๆ สีสวยๆ ก็สบายใจได้เลยเพราะ Mi 10T Pro รองรับมาตรฐาน Widevine L1 สามารถดูคอนเทนต์จาก Netflix แบบ HD ได้ รวมถึงรองรับการแสดงผลแบบ HDR10 อีกต่างหาก

 

กล้องหลัง 3 ตัว ความละเอียดสูงสุด 108MP

Mi 10T Pro มากับกล้องหลังทั้งหมด 3 ตัว ประกอบด้วยกล้องหลักความละเอียด 108MP + กล้อง Ultra Wide มุมมอง 123° ความละเอียด 13MP + กล้องมาโครความละเอียด 5MP ซึ่งจากการทดสอบถ่ายภาพนิ่งบอกเลยว่าอยู่ในระดับดี ไม่ว่าจะเป็นการถ่ายในที่แสงปกติ หรือที่แสงน้อยซึ่งมีการจัดการกับ Noise ได้ดีเลยทีเดียว ส่วนการโฟกัสต่างๆ ก็รวดเร็วฉับไวด้วยอานิสงส์จากชิป Snapdragon 865 นั่นเอง

แต่ถึงแม้ว่ากล้องหลักจะอัดมาให้ถึง 108MP แต่การถ่ายรูปปกติจะใช้เทคโนโลยี Pixel Binning ที่จะรวมเม็ดพิกเซล 4 เม็ดให้เป็นเม็ดใหญ่เม็ดเดียว ทำให้ภาพที่ออกมามีความละเอียดอยู่ที่ 27MP

แต่จริงๆ เราก็สามารถเลือกโหมดถ่ายเต็มความละเอียด 108MP ได้ด้วยนะครับ ซึ่งจากที่ทดลองแล้วพบว่าภาพที่ออกมาก็ไม่ได้สวยมากกว่าการถ่ายแบบปกติเท่าไหร่ แถมยังจัดการกับ Noise ได้ไม่ดีเท่าภาพขนาดปกติอีกด้วย แต่จะมีข้อดีตรงที่ถ่างนิ้วซูมภาพดูได้มากขึ้นโดยยังคงมีรายละเอียดที่พอใช้ได้อยู่

Crop จากภาพถ่ายเต็มความละเอียด 108MP

การถ่ายแบบ Portrait หน้าชัดหลังเบลอก็อยู่ในระดับทั่วไป คือเนียนในระดับนึง แต่ก็ยังมีจุดอ่อนที่การตัดขอบบริเวณเส้นผมหรือช่องแหว่งเว้าเล็กๆ น้อยๆ ที่ยังตัดได้ไม่ค่อยเนียนนัก

ส่วนการซูมของ Mi 10T Pro มีให้เลือกตั้งแต่ 0.6x (Ultra wide) / 2x / 5x / 10x / 30x ซึ่งทั้งหมดล้วนแต่เป็นการซูมแบบดิจิตอลนะครับ เนื่องจากมือถือรุ่นนี้ไม่ได้มีเลนส์ซูม Optical มาให้นั่นเอง แต่จะอาศัยการ Crop ภาพ แล้วใช้ซอฟท์แวร์ช่วยเกลี่ยรายละเอียดให้เนียนขึ้น

 

ลูกเล่นสนุกๆ ก๊อปปี้ภาพบุคคลด้วยโหมด Clone

Mi 10T Pro ได้ใส่ฟีเจอร์สนุกๆ อย่าง Clone มาให้ สำหรับใช้ในการถ่ายรูปให้มีนางแบบ / นายแบบ คนเดียวกัน แต่แยกร่างออกมาได้ 4 ร่างอยู่ในเฟรมเดียว โดยที่ไม่ต้องใช้ขาตั้งกล้องช่วยเลย ขอแค่ใช้มือจับเครื่องให้นิ่งๆ เอาไว้ก็พอ

โหมด Clone ยังเอาไปใช้กับการถ่ายวิดีโอได้ด้วย แต่คราวนี้จะแยกร่างออกมาได้แค่ 2 เท่านั้นครับ

Play video

 

เปลี่ยนท้องฟ้าในภาพถ่าย

อีกหนึ่งโหมดสนุกๆ ก็คือเราสามารถเปลี่ยนท้องฟ้าจากภาพที่เราถ่ายเอาไว้ได้ โดยเข้าไปที่โหมด Edit ใน Gallery ซึ่งระบบจะตรวจจับว่าภาพนั้นๆ มีท้องฟ้าอยู่หรือเปล่า ถ้า AI หาท้องฟ้าเจอ เราก็จะเลือกท้องฟ้าแบบต่างๆ มาเปลี่ยนได้ ทั้งฟ้าตอนแดดจ้า, ฟ้าผ่า, ดาวเต็มฟ้า, แสงเหนือ ฯลฯ จากที่ลองก็ดูเนียนดีเหมือนกันนะ

 

กล้องเซลฟี่ 20MP

ให้ความละเอียดมาที่ 20MP พร้อมโหมด Beauty ที่มีลูกเล่นให้เลือกปรับมากมาย ทั้งเกลี่ยผิว, ปรับตาโต, จมูกเรียว, ปรับคาง, ปรับริมฝีปาก ฯลฯ รวมถึงมีโหมดเซลฟี่หน้าชัดหลังเบลอมาให้ด้วย

 

ถ่ายวิดีโอ

Mi 10T Pro มากับความสามารถในการถ่ายวิดีโอสูงสุดได้ถึงระดับ 8K (เป็นโหมดแยกออกมาให้กดใช้ต่างหาก) โดยมีระบบกันสั่นมาให้ใช้ด้วย แต่จะทำงานได้ที่การถ่ายในระดับ 1080p 30fps และ 4K 30fps เท่านั้นครับ

Play video

หากใครต้องการระบบกันสั่นระดับเทพขึ้นมาอีก ก็สามารถเปิดโหมด Steady เพิ่มได้ (รองรับเฉพาะ 1080p 30fps) ซึ่งจะเพิ่มระดับกันสั่นได้แบบเนียนสุดๆ จนแม้แต่วิ่งถ่ายก็ยังลื่นปรื๊ดๆ เหมือนใช้อุปกรณ์ Stabilizer ช่วยเลย แต่ก็ต้องแลกมากับคุณภาพของภาพที่ลดลง เนื่องจากมันจะเปลี่ยนมาใช้เลนส์ Ultra wide ในการเก็บภาพมุมกว้างแล้วใช้การ Crop ภาพช่วยอีกทีนึงนั่นเอง โดยจะเห็นได้ชัดๆ ว่าคุณภาพของภาพด้อยลงไปเมื่อถ่ายตอนแสงน้อย เพราะรายละเอียดและความคมจะหายไปเยอะมาก

Play video

Play video

แบตเตอรี่ใช้ข้ามวันสบายๆ และระบบชาร์จไวเต็มในเวลาไม่ถึงชั่วโมง

แบตเตอรี่ของ Mi 10T Pro ยัดมาให้แบบจุใจถึง 5000 mAh (เครื่องเลยค่อนข้างหนักไงล่ะ…) ซึ่งจากการใช้งานจริงแบบหนักๆ ทั้งเล่นเกม, เล่นเน็ต, เล่นโซเชียล, ถ่ายรูป ถ่ายวิดีโอ (ถ่ายเยอะด้วย), YouTube, ฟังเพลงผ่าน Spotify, เปิดจอ 144Hz ตลอดเวลา (ใช้ 4G/5G นอกบ้านประมาณ 10 ชม.) พบว่าตอนดึกๆ แบตเตอรี่ยังเหลืออยู่ที่ราว 27% เลยทีเดียว ส่วนการชาร์จไฟด้วยที่ชาร์จไว 33W จาก 0% – 100% ใช้เวลาไม่ถึงชั่วโมงเท่านั้น

 

ลำโพงสเตอรีโอบน-ล่าง เสียงดี

ลำโพงของ Mi 10T Pro อยู่ที่ขอบเครื่องด้านบนและล่าง เพิ่มมิติเสียงให้กับการเล่นเกม ดูหนัง และฟังเพลง คุณภาพเสียงอยู่ในระดับใช้ได้ เสียงไม่แหบแห้ง และค่อนข้างทุ้ม ใช้ฟังเพลงได้สนุกๆ แต่ความรู้สึกส่วนตัวคิดว่าเร่งระดับเสียงจนสุดแล้วยังไม่ค่อยดังมากนัก ส่วนใครที่อยากใช้หูฟังแบบมีสายก็ต้องใช้คู่กับตัวแปลง USB-C > รูแจ๊ค 3.5 มม. ที่แถมมาให้ในกล่องนะครับ

 

ประสิทธิภาพเครื่องแรงหายห่วง

ชิป Snapdragon 865, RAM LPDDR5 ขนาด 8GB และความจุแบบ UFS 3.1 ซึ่งเป็นสเปคที่เรียกว่าอยู่ในระดับไฮเอนด์ของปี 2020 แน่นอนว่าการใช้งานต่างๆ ไม่มีอาการสะอึกให้เห็นเลย ทดสอบเล่นเกมฮิตๆ ทั้ง ROV, LOL Wild Rift, PUBG, Genshin Impact ก็สามารถปรับกราฟิกขั้นสูงสุดได้แบบสบายๆ เล่นได้ลื่นปรื๊ดไม่มีปัญหา

ทดสอบประสิทธิภาพด้วย AnTuTu ก็ได้คะแนนออกมาแรงๆ ที่ 580,827 คะแนน สูสีกับเรือธงรุ่นอื่นๆ และทดสอบความจุแบบ UFS 3.1 ด้วยแอป Androbench ก็มีความเร็วในการเขียน-อ่าน ได้อย่างไม่ผิดหวัง จะย้ายไฟล์ จะเขียนไฟล์ หรือจะเปิดแอป เปิดเกมเล่นก็ไวสุดๆ ไปเลยจ้า

 

สเปค MI 10T PRO

  • หน้าจอ IPS LCD ขนาด 6.67 นิ้ว ความละเอียด Full HD+ สัดส่วน 20:9 รีเฟรช 144Hz ขอบเขตสี DCI-P3
  • CPU : Snapdragon 865
  • RAM : (LPDDR5) 8GB
  • ความจุ : (UFS 3.1) 128GB / 256GB ไม่รองรับ microSD Card
  • กล้องหลัง :
    • 108 MP (Mi 10T Pro)
    • Ultra-wide 13MP
    • Macro 5MP
  • กล้องหน้า : 20MP
  • การเชื่อมต่อ : Wi-Fi 2.4GHz, 5GHz, Bluetooth 5.1, NFC, Dual frequency GPS, IR blaster, USB Type-C
  • 5G : NSA n1 / n3 / n7 / n8 / n20 / n28 / n38 / n41 / n77 / n78
  • เซ็นเซอร์ : สแกนลายนิ้วมือ (ด้านข้าง), accelerometer, gyro, proximity, compass, barometer
  • ระบบเสียง : ลำโพงคู่สเตอรีโอ, ไม่มีรูหูฟัง
  • แบตเตอรี่ : 5000mAh, รองรับชาร์จไว 33W
  • ระบบ Android 10 ครอบด้วย MIUI 12

Play video

สรุป

จากการใช้งาน Mi 10T Pro 5G เป็นเวลา 1 เดือน ก็พบว่ามันเป็นมือถือสเปคระดับไฮเอนด์ที่ครบเครื่องสุดๆ กับราคาค่าตัวแค่ 13,990 บาท ซึ่งก่อนหน้านี้ผมไม่เคยใช้มือถือจากแบรนด์ Xiaomi มาก่อนเลย (ส่วนมากจะใช้ Samsung, ASUS) แต่พอลองได้ใช้ Mi 10T Pro เป็นเครื่องหลักก็ไม่พบปัญหาอะไรให้หงุดหงิดเลย เครื่องแรง ลื่น เล่นเกมปรับกราฟิกสุดได้สบายๆ หน้าจอแบบ LCD ที่ตอนแรกคิดว่าน่าจะสู้จอประเภท OLED ไม่ได้ แต่ได้ใช้จริงแล้วก็มีสีสันสวยสดงดงามและคมชัดดี แถมยังลื่นปรื๊ดด้วยรีเฟรชเรท 144Hz อีกต่างหาก

แบตเตอรี่ขนาด 5000 mAh ก็อึดจริง ถึกจริง ใช้งานปกติได้สบายๆ ข้ามวันข้ามคืน ส่วนระบบชาร์จไวพร้อมที่ชาร์จ 33W ที่ให้มาในกล่องเลย ก็รวดเร็วว่องไวชาร์จจาก 0%-100% ได้ในเวลาไม่ถึงชั่วโมงเท่านั้น โดยส่วนตัวแล้วคิดว่าความไวในการชาร์จขนาดนี้ก็เพียงพอกับการใช้งานปกติ

กล้องหลังชัดเจน และโฟกัสไว ถ่ายกลางคืนก็ออกมาสว่างเก็บรายละเอียดและจัดการ Noise ได้ดีเลย ขาดไปก็แค่กล้อง Telephoto เท่านั้น แต่ก็พอทดแทนได้จากการ Crop Zoom ด้วยเซ็นเซอร์หลักที่มีความละเอียดถึง 108MP

ปัญหาเดียวที่พบจากการที่พึ่งเคยใช้ MIUI ก็คือเรื่องการแจ้งเตือน อย่าง Facebook Messenger เด้งบ้างไม่เด้งบ้าง ซึ่งสาเหตุน่าจะมาจากการที่ระบบคอยจัดการหน่วยความจำ และช่วยประหยัดแบตเตอรี่ มันก็เลยคอยไล่ปิดแอปที่เปิดอยู่เบื้องหลังนั่นเองครับ

ข้อดี

  • หน้าจอลื่นปรื๊ดด้วยรีเฟรชเรท 144Hz และให้สีสันที่สวยงาม แถมยังรองรับ HDR10
  • กล้องหลังถ่ายสวยทั้งภาพนิ่งและวิดีโอ
  • ระบบ Steady สำหรับถ่ายวิดีโอ นิ่งมากๆ (ที่ความละเอียด 1080p)
  • แบตเตอรี่อึด และชาร์จไวดี
  • ลำโพงคู่สเตอรีโอ เสียงค่อนข้างดี
  • สเปคแรงระดับไฮเอนด์
  • ราคาถ้าเทียบกับสเปคโดยรวมแล้วเรียกว่าคุ้มสุดๆ

ข้อสังเกต

  • หน้าจอ LCD ถ้าเทียบกับ OLED แล้วสีสันจะดูจืดกว่า และสว่างน้อยกว่า
  • ตัวเครื่องค่อนข้างหนัก
  • ลำโพงน่าจะเสียงดังได้อีกหน่อย (เทียบกับ ROG II เครื่องเก่าของผม)
  • ฝาหลังเป็นรอยนิ้วมือง่าย
  • โมดูลกล้องหลังยื่นออกมาจากตัวเครื่องเยอะ
  • MIUI ยังคงมีปัญหาการแจ้งเตือน Messenger ไม่เด้งเป็นครั้งคราว

บอกเลยว่ามือถือที่อยู่ในช่วงราคานี้ Mi 10T Pro กินขาดสุดๆ ไปเลย ทั้งสเปคที่แรงระดับไฮเอนด์ที่ใช้งานได้อีกยาวๆ, กล้องหลังสวยทั้งภาพนิ่ง / วิดีโอ, จอ 144Hz, แบตเตอรี่อึด, รองรับชาร์จไว แถมยังใช้ 5G ได้อีกต่างหาก ทั้งหมดนี้กับราคาแค่ 13,990 บาท แนะนำว่าใครที่มีงบพอดีตามนี้ ก็จัดได้เลยแบบไม่ต้องคิดมากครับ