สวัสดีเพื่อนสมาชิก Droidsans ทุกท่าน วันนี้กลับมาพบกันอีกแล้วกับบทความรีวิวมือถือจากผมนาย laruku เมื่อเร็วๆนี้ทาง Xiaomi ได้เข้ามาเปิดตัวในประเทศไทยอย่างเป็นทางการไปแล้วเป็นที่เรียบร้อย หลังจากที่รอให้เหล่าแฟนๆรอมานานแสนนาน พร้อมนำมือถือเรือธงตัวล่าสุด Mi 6 เข้ามาจำหน่ายในราคาเริ่มต้นเพียง 13,790 บาทเท่านั้น เรามาดูรายละเอียดความน่าสนใจของรุ่นนี้กันดีกว่า
สำหรับเครื่องที่นำมารีวิวให้อ่านกันในวันนี้เป็นเครื่องหิ้วที่ซื้อมาใช้งานได้สักพักแล้วนะครับ ไม่ใช่เครื่องศูนย์ไทยแต่อย่างใด อย่างไรก็ตาม ROM ที่ใช้งานเป็น Global ROM เหมือนกับเครื่องที่เข้ามาจำหน่ายในประเทศไทยนี่แหละ ดังนั้นรายละเอียดต่างๆคงไม่ต่างกันสักเท่าไหร่
สเปกของ Mi 6
- ชื่อและรหัสเครื่อง : Mi 6
- ขนาด : 145.17 x 70.49 x 7.45 มม.
- น้ำหนัก : 168 กรัม
- หน้าจอ :
- IPS LCD
- ขนาด 5.15 นิ้ว
- ความละเอียด FullHD (1920 x 1080)
- 428 PPI
- ความสว่างสูงสุด 600-nit
- Contrast ratio 1500:1
- 94.4% NTSC color gamut, high color saturation
- เครือข่ายที่รองรับ:
- 4G : FDD-LTE 850 / 900 / 1800 / 2100 / 2600MHz , TD-LTE : 1900+ / 2300 / 2500 / 2600MHz
- 3G : WCDMA 850 / 900 / 1900 / 2100
- 2G : GSM 850 / 900 / 1800 / 1900
- SIM : 2 SIM แบบ NanoSIM (Dual Standby)
- CPU : Qualcomm Snapdragon 835 octa-core 2.45GHz
- GPU : Adreno 540
- RAM : 6GB
- หน่วยความจำภายใน : 64GB/128GB UFS 2.1 ไม่รองรับ microSD card
- กล้องหลัง :
- กล้องคู่ตัวหลัก Wide angle 12 ล้านพิกเซล
- เซ็นเซอร์เลนส์ 6 ชิ้น, f/1.8 aperture
- OIS 4 แกน
- ขนาดพิกเซล 1.25μm
- Focal length 27mm
- กล้องคู่ตัวรอง Telephoto 12 ล้านพิกเซล
- เซ็นเซอร์เลนส์ 5 ชิ้น, f/2.6 aperture
- Optical Zoom 2X
- ขนาดพิกเซล 1.0μm
- Focal length 52mm
- Portrait mode
- ระบบโฟกัส PDAF
- แฟลชแบบ Two-tone
- กล้องคู่ตัวหลัก Wide angle 12 ล้านพิกเซล
- กล้องหน้า :
- 8 ล้านพิกเซล
- แบตเตอรี่ : 3350mAh
- OS : Android 7.1.1 Nougat พร้อม MIUI 8.2 Global version
- สแกนลายนิ้วมือ : มี
- NFC : มี
- OTG : มี
- ไฟแจ้งเตือน : มี
- เซ็นเซอร์และการเชื่อมต่ออื่นๆ:
- GPS, A-GPS, GLONASS, BeiDou
- Wi-Fi 802.11a/b/g/n Dual-band และ 2×2 802.11ac MU-MIMO Wi-Fi
- Bluetooth 5.0
- USB Type-C
- Accelerometer, Ambient Light, Proximity, Gyroscope, Hall sensor, Compass, Barometer
- สีที่มีให้เลือก : Black, Blue, White
- ราคา :
- รุ่น 64GB 13,790 บาท
- รุ่น 128GB 15,990 บาท
แกะกล่อง
สำหรับแพ็คเกจของ Mi 6 นั้นนั้นมาพร้อมกล่องสีขาวเรียบๆ ไม่มีอะไรพิเศษ ดู minimal ดี
อุปกรณ์ที่แถมมา โดยในกล่องประกอบด้วยของดังต่อไปนี้
- ตัวเครื่อง Mi 6
- Adapter สำหรับชาร์จ
- สาย USB
- เข็มจิ้มถาดซิม
- ตัวแปลง USB C เป็นหูฟัง 3.5 มม.
- เคสซิลิโคนใส
- คู่มือการใช้งานเบื้องต้น
Adapter สำหรับชาร์จที่ให้มารองรับระบบชาร์จเร็ว Quick Charge 3.0 เรียบร้อย จ่ายไฟได้ 3 ระดับคือ 5V===3A / 9V===2A / 12V===1.5A
สายข้อมูลแบบ USB Type-A to Type-C
ตัว Adapter แปลง USB Type-C เป็นรูหูฟัง 3.5 มม.
เคสซิลิโคนใสตรงรุ่น ตัดช่อง เจาะรูมาเป๊ะแล้ว (ก็มันตรงรุ่น)
จะเห็ว่าของแถมในกล่องของ Mi 6 นั่นให้มาค่อนข้างครบ ยกเว้นที่หายไปคือ หูฟัง smalltalk ที่ทาง Xiaomi ไม่แถมอยู่แล้วในมือถือทุกรุ่น เพื่อเป็นการประหยัดต้นทุน และโดยส่วนใหญ่คนใช้มักจะมีหูฟังที่ใช้ประจำอยู่แล้ว ก็เลยไม่แถมมาให้ครับ
Hardware
Mi 6 นั้นมีขนาดหน้าจอเพียง 5.15 นิ้ว ถือว่าเป็นมือถือเรือธงขนาดเล็กอีกหนึ่งรุ่นในตลาด เพราะไม่ค่อยมีคนทำมือถือสเปกแรงๆ แต่หน้าจอเล็กสักเท่าไหร่ เมื่อบวกกับขอบบางๆของหน้าจอ จึงทำให้ตัวเครื่องเล็ก สามารถจับได้ถนัดมือมาก วัสดุที่ใช้เป็นกระจกทั้งสองด้านหน้าและหลัง โดยเครื่องรีวิวเป็นรุ่นสีน้ำเงิน ตัวเฟรมของเครื่องเป็นโลหะสีทอง ตัดกับสีน้ำเงิน สวยงามมากๆครับ งานประกอบก็แน่นหนาดีมาก เนื่องจากไม่สามารถแกะฝาหลังเปลี่ยนแบตเตอรี่ได้ น้ำหนักถือว่าไม่หนักไม่เบากำลังพอดี จับถือได้ง่าย ไม่หลุดมือแน่นอน
ส่วนบนของหน้าจอประกอบด้วยกล้องหน้า, ช่องเซ็นเซอร์ Proximity กับ Ambient Light และ ลำโพงสนทนา
ส่วนล่างของหน้าจอมีปุ่มสัมผัส 3 ปุ่มได้แก่ Recents และ Back ขนาบอยู่ 2 ข้างของปุ่ม Home ที่เป็นเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือในตัว
พลิกมาด้านล่างของตัวเครื่องได้เห็นเฟรมโลหะสีทองแบบชัดๆ สวยจริงๆ ด้านล่างประกอบด้วย ไมโครโฟนสำหรับสนทนา, พอร์ต USB Type-C และลำโพงสำหรับเสียงเรียกเข้า
ด้านบนของตัวเครื่องพอร์ตอินฟราเรด และรูเล็กๆนั่นคือ ไมค์ตัดเสียงรบกวน หายากแล้วครับมือถือเรือธงมี Infrared ด้วยเนี่ย
ด้านซ้ายของตัวเครื่องมีช่องถาดซิมที่ต้องใช้เข็มจิ้มออกมา
ด้านขวาของตัวเครื่องมีการจัดเรียงปุ่มตามมาตรฐานของ Android คือ ปุ่มปรับเสียงอยู่ด้านบนและปุ่ม Power อยู่ถัดลงมา
พลิกมาดูด้านหลังตัวเครื่องได้เห็นงานออกแบบสีน้ำเงินตัดทองแบบชัดเจน สวยสดงดงามจริงๆ ชมแล้วชมอีก
ซูมเข้ามาส่วนบนจะเป็นกล้องคู่ Dual camera 12MP+12MP มีการจัดเรียงไม่เหมือนใคร ถัดไปด้านซ้ายเป็นส่วนของไฟแฟลชแบบ Two-tone
ส่วนล่างมีเพียงตัวอักษรโลโก้ mi สีทอง และประโยคด้านล่างที่บอกอย่างภูมิใจว่า
“Designed by Xiaomi Assembled in China”
ถาดซิมของ Mi 6 เป็นแบบ 2 ซิม โดยเป็น NanoSIM ทั้งสองช่อง รุ่นนี้ไม่รองรับ microSD อ้อ ระบบ 2 ซิมของรุ่นนี้เป็นแบบ 4G ทั้ง 2 ซิม Full netcom ด้วยครับ
โดยรวมงานออกแบบของรุ่นนี้ถือว่า ทำได้โดดเด่นมาก ทั้งการเลือกสีและวัสดุที่ใช้ สีน้ำเงินเข้มตัดด้วยสีทองดูแล้วสวยเด่นแปลกตา การใช้วัสดุกระจกรวมกับเฟรมโลหะก็ทำได้เนียนตา งานประกอบแน่นปัง รุ่นนี้ืถือแล้วสวยเตะตาคนแน่นอน
Software
Mi 6 มาพร้อมกับระบบปฏิบัติการ MIUI 8.2 Global version ที่ทำงานอยู่บน Android 7.1.1 Nougat ถือเป็นเวอร์ชันเกือบล่าสุดแล้วเนื่องจาก Google เพิ่งเปิดตัว Android 8.0 Oreo อย่างเป็นทางการไปไม่นาน ในส่วนของ Security update ตอนที่รีวิวยังเป็นของเดือนพฤษภาคมอยู่ ถือว่าไม่ใหม่มาก ส่วนเรื่องการอัพเดตซอฟต์แวร์นั้นก็มีมาเรื่อยๆตามสไตล์ของ MIUI
MIUI
แน่นอนครับมือถือ Xiaomi ทุกรุ่นต้องมาพร้อมกับหน้าตา UI ที่เป็นเอกลักษณ์อยู่แล้ว โดยนอกจากหน้าตาที่ดูสวยงามแลัวยังอัดแน่นมาด้วยฟีเจอร์ที่น่าสนใจหลายๆอย่างเลยทีเดียว และเนื่องจากรุ่นนี้เป็น Global version จึงรองรับภาษาทั่วโลกรวมถึงภาษาไทย และไม่มีการเจือปนด้วยแอปภาษาจีนใดๆทั้งสิ้นครับ
สำหรับ MIUI ถือว่าเป็น Android UI รุ่นแรกๆที่ไม่มี App Drawer มาให้ใช้งานเลย คือจะเน้นการใช้งานแบบเดียวกับ iOS เป็นหลัก ดังนั้นแอปทุกแอปจะวางเรียงบนหน้า Homescreen เลย เวลาเอาออกจากหน้าจอก็คือการ uninstall ออกจากเครื่องทันที ส่วนที่เหลืออย่าง Widget และ Shortcut ต่างๆ ก็ยังคงใช้งานเหมือนกับ Android ทั่วไป
Notification
สำหรับส่วนการแจ้งเตือนหรือ Notification ใน MIUI นั้น เราสามารถปรับค่าได้หลายอย่าง ทั้งในส่วนของ Layout ที่เลือกว่าจะเป็นแบบ Noti และ toggles อยู่รวมกัน (Combined) หรือแบบแยกคนละหน้า (Separate) นอกจากนั้นก็ปรับได้ว่าจะให้แอปไหนแสดงข้อความแจ้งเตือนได้บ้าง (App notifications) และจัดเรียงตำแหน่งของ toggles ต่างๆได้เอง
สำหรับส่วนของไฟแจ้งเตือน (Notification light) เราสามารถเลือกปรับได้ 2 อย่างคือ จะให้สว่างตอนชาร์จมือถือหรือไม่ และ จะให้กระพริบตอนมีข้อความแจ้งเตือนหรือไม่ สำหรับรุ่นนี้ปรับสีของไฟแจ้งเตือนไม่ได้เหมือนกับรุ่นล่างๆ เช่น Redmi 4A ที่ปรับได้ 7 สีเลย
MIUI Theme
ในเมื่อขึ้นชื่อว่ามือถือของ Xiaomi ก็ต้องมีระบบ Theme ของ MIUI มาให้ด้วยเป็นของคู่กัน ซึ่งต้องบอกว่ามี Theme สวยๆให้เลือกใช้งานมากมายเลย 1c]tน่าจะเป็น UI แรกๆของ Android ที่มีระบบ Theme เลยมั้ง สำหรับ Theme ก็จะเป็นการเปลี่ยนแทบทุกส่วนของ UI เลย ไม่ใช่เฉพาะ Icon และ Wallpaper เหมือนบางเจ้า
การปรับระบบภาพของหน้าจอ
Mi 6 อนุญาตให้เราสามารถปรับการแสดงผลหน้าจอให้เหมาะกับความชอบของเราได้ทั้งเรื่องความสว่าง (Brightness), โหมดสำหรับการอ่าน (Reading mode) รวมไปถึงการปรับสีและมิติของภาพ (Colors & contrast) นั้นสามารถทำได้ในมือถือรุ่นเล็กแบบนี้ด้วยเช่นกัน โดย Contrast สามารถเลือกได้ว่าจะให้ปรับอัตโนมัติตามสภาพแสงหรือให้คงที่ก็ได้เช่นกัน นอกจากนั้นเรายังสามารถปรับขนาดตัวอักษร (Text size) และเปิดโหมด Double tap to wake ได้อีกด้วย
Security center
MIUI มาพร้อมกับแอป Security ที่เป็นศูนย์ฟีเจอร์หลายๆอย่าง ได้แก่
- Cleaner : เอาไว้เคลียร์ขยะในหน่วยความจำของเครื่อง
- Data usage : ตรวจเช็ครวมถึงบล็อคการใช้งานอินเตอร์เน็ตของแอปต่างๆ
- Blocklist : บล็อคการโทรเข้าของเบอร์ที่ไม่ต้องการรับสาย
- Battery : ตรวจสอบการใช้งานแบตเตอรี่พร้อมจัดการระบบประหยัดพลังงาน
- Virus scan : ระบบสแกนไวรัส
- Permissions : การจัดการสิทธิ์ของแอปในการเข้าถึงทรัพยากรในเครื่องของเรา
ฟีเจอร์เสริม Second space, Dual apps, App lock และ Child mode
ฟีเจอร์เสริมที่น่าสนใจของ MIUI มีอีกหลายอย่าง ได้แก่
- Second space : เปิดพื้นที่ที่สองสำหรับการใช้งานมือถือ เสมือนเรามีมือถืออีก 1 เครื่อง แบ่งแยกแอปและพื้นที่การใช้งานออกจากกันชัดเจน และสามารถสลับไปมาได้ เช่น พื้นที่หลักเอาไว้ใช้งานส่วนตัว ส่วนพื้นที่รองเอาใช้ตอนทำงาน เป็นต้น
- Dual apps : เราสามารถโคลนแอปบางอย่าง เช่น Facebook, Messenger และ Line ออกมาเป็นแอปอีก 1 อัน เพื่อให้เราสามารถใช้งานแอปเหล่านี้แบบ 2 ไอดีได้เลย
- App lock : เราสามารถสั่งล็อคด้วยรหัสผ่านได้ เพื่อความเป็นส่วนตัว ไม่ให้คนอื่นมาเปิดแอปนั้นๆดูได้ตอนที่เอามือถือเราไปเล่น
- Child mode : ปรับมือถือให้เหมาะกับเด็กเอาไปใช้งาน ในกรณีที่จะให้ลูกหลายยืมมือถือไปเล่น โดยเราสามารถเลือกแอป
Google apps และแอปเสริมอื่นๆ
Mi 6 มาพร้อมกับ MIUI Global version ดังนั้นจึงมาพร้อมกับแอปมาตรฐานของ Google อย่างครบครัน รวมไปถึง Play Store ด้วย นอกจากนั้นยังมีแอปเครื่องมือแบบมาตรฐานที่สามารถใช้งานได้จริง เช่น Calculator, Recorder, Scanner และ Compass เป็นต้น ไม่มี bloatware เจือปนมาแต่อย่างใด
ปัญหาความไม่เสถียรของ MIUI
MIUI 8.2 เวอร์ชันที่ใช้งานบนเครื่องนี้ดูเหมือนจะมีความไม่เสถียรอยู่ครับ จากการใช้งานไปสักพักมีหลายๆครั้งที่แอปเกิดการปิดตัวเอง หรือ Force close อยู่บ่อยๆ ทั้งที่ RAM 6GB ก็เหลือให้ใช้งานอีกมากมาย นอกจากนั้นตัว Theme เองก็ยังมี bug อยู่ในบางครั้งที่เปิดหน้าจอ Lockscree ขึ้นมาแล้วนาฬิกาหายไป ตรงนี้ต้องรอดูว่า Xiaomi จะมีการอัพเดตแก้ไขออกมาหรือไม่ ขอตั้งเป็นข้อสังเกตไว้ก่อน
ประสิทธิภาพการใช้งาน
Mi 6 เป็นมือถือเรือธงที่มีสเปกไม่น้อยหน้าเรือธงรุ่นอื่นในตลาด ไม่ว่าจะชิปเซต Qualcomm Snapdragon 835 Octa-core 2.45GHz และ GPU Adreno 540 ในส่วนของ RAM ก็จัดเต็มมาถึง 6GB ส่วน ROM มี 2 ขนาดแต่ก็จุเยอะมั้ง 64GB และ 128GB สำหรับการใช้งานทั่วไปถือว่าเกินพอ ไม่ต้องมี microSD ก็ได้ ประสิทธิภาพของมือถือรุ่นนี้ก็ตามสเปกเลยครับ ผลคะแนนทดสอบ benchmark ก็ได้ตามนี้
Antutu Benchmark
Geekbench 4 : CPU / GPU
ในส่วนของความเร็ว Storage จากการทดสอบด้วย AndroBench ก็ได้ความเร็วการอ่านข้อมูลประมาณ 720MB/s ถือว่าเป็น memory แบบ UFS 2.1 แน่นอนครับ
สำหรับประสิทธิภาพของ Mi 6 จากการทดลองใช้งานจริงนั้น ต้องบอกว่าไม่ทำให้ผิดหวัง การใช้งานมีความลื่นไหล อาการกระตุกไม่มีให้เห็น การใช้งานปกติทั่วไป เรียกว่าเหลือๆ ส่วนการเล่นเกมก็สบายๆ ตามสไตล์มือถือเรือธง แต่มีข้อสังเกตนิดนึงเนื่องจาก ผมใช้ HTC U11 เป้นเครื่องหลักอยู่ เมื่อเทียบการใช้งานแล้วพบว่า U11 ยังลื่นไหลกว่า Mi 6 นิดๆ ทั้งที่ความละเอียดหน้าจอมากกว่าด้วยซ้ำ ตรงนี้เข้าใจว่า Xiaomi ยังจูนซอฟต์แวร์มาไม่สุด แต่แว่วๆว่า MIUI 9 ที่กำลังจะปล่อยอัพเดตมานั้น จะมายกระดับประสิทธิภาพไปอีกขั้นเลยล่ะ ต้องรอดูอีกทีครับ
GPS
สำหรับระบบ GPS ของ Mi 6 นั้นตอนแรกเข้าใจว่าจะไม่มีปัญหาอะไร เพราะมือถือระดับนี้ไม่น่าจะมีจุดอ่อนเรื่อง GPS ปรากฎว่า ไม่เป็นอย่างที่คิด เพราะ Mi 6 เครื่องที่รีวิวนั้นจับสัญญาณ GPS ได้ช้าและจับดาวเทียมได้ไม่กี่ดวงอีกต่างหาก พอเอาไปใช้นำทางก็ไม่ work ตำแหน่งไม่มีการเคลื่อนที่ไปตามรถ ต้องรอหลายนาที ถึงจะมีการขยับตามสักที ไม่แน่ใจว่าเป้นปัญหาซอฟต์แวร์หรือฮาร์ดแวร์ของเครื่องรีวิวนะครับ ตรงนี้ขอแจ้งข้อมูลไว้เป็นข้อสังเกต คนที่ซื้อเครื่องมาแล้วก็ลองดูว่าเป็นมั้ย
ความอึดของแบตเตอรี่
Mi 6 มาพร้อมกับแบตเตอรี่ขนาดถึง 3350mAh ถือว่ากำลังพอดีเมื่อเทียบกับขนาดและสเปกเครื่อง จากการใช้งานปกติของผมพบใช้งานได้ครบ 1 วันแบบสบายๆ ตั้งแต่เช้ายันดึกเหลือแบตอีก 20% ถือว่าอึดจริง ส่วนของ Screen on time นั้นทำได้ถึง 5 ชั่วโมง เรียกว่าน่าประทับใจมากเรื่องแบตเตอรี่ของมือถือรุ่นนี้ แถมยังมีระบบชาร์จเร็ว Quick Charge 3.0 มาให้อีก ชาร์จเร็วได้ใจเลยครับ
กล้องถ่ายรูปและตัวอย่างภาพถ่าย
แน่นอนหนึ่งในจุดขายของมือถือรุ่นนี้คือ กล้องคู่ Dual Camera โดย Mi 6 มาพร้อมกล้องหลังคู่ 2 เซ็นเซอร์ ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล เท่ากัน แต่การใช้งานต่างกัน โดยกล้องตัวหลักเป็นเลนส์ wide ค่า aperture f/1.8 สามารถถ่ายในที่มืดได้ดีขึ้น มาพร้อมระบบกันสั่น OIS แบบ 4 แกน ส่วนกล้องตัวรองเป็นเลนส์ Tele สามารถซูมได้ 2X เน้นการถ่ายรูปแบบ Portrait เลยมีค่า f/2.6 ในส่วนของระบบโฟกัสเป็นแบบ PDAF มีแฟลชแบบ Two-tone มาให้ใช้งานด้วย
สำหรับ UI ของกล้องนั้นก็ตามสไตล์ของ MIUI ด้านซ้ายมีปุ่มเปิดปิด HDR, ปุ่ม Portrait และเปิดปิดแฟลช ด้านขวามีปุ่มสลับกล้องหน้าหลัง, ปุ่มเลือกโหมดกล้อง และปุ่มเปิด Realtime Filter สำหรับโหมดกล้องก็มีให้เล่นหลายแบบ เช่น Beautify, Panorama และ Manual เป็นต้น ส่วน Filter ก็มีให้เลือกหลายโทนสีแล้วแต่สะดวกเลย
ในส่วนของ Settings สำหรับกล้องนั้นจะแยกกันระหว่างการถ่ายภาพนิ่งและวิดีโอ รวมไปถึงกล้องหน้าด้วย โดยถ้าเราเปิดโหมดถ่ายรูปธรรมดาก็จะมี settings ชุดนึง ถ้าโหมดถ่ายวิดีโอก็จะมี settings อีกชุดนึงแยกกันนั่นเอง ส่วนค่า settings ที่เราปรับได้ก็มีเรื่องความละเอียดและสัดส่วนของรูปหรือวิดีโอ รวมไปถึงการเปิดปิดเสียงถ่ายรูปและการบันทึกตำแหน่งลงไปในรูป เป็นตัน
หน้าตาการซูมด้วยกล้อง Tele สามารถซูมได้สูงสุด 2X แบบภาพไม่แตกเลย
หน้าตาการถ่ายโหมด Portrait มีคำแนะนำให้วัตถุอยู่ห่างกล้องไม่เกิน 2 เมตร บางทีอยู่ใกล้เกินก็ถ่ายไม่ได้ต้องถอยห่างนิดนึง
โหมด Manual ของ Mi 6 ก็มีค่าให้ปรับได้หลายอย่าง ทั้ง WB, Focus, Exposure time (Shutter speed), ISO และเลือกเลนส์ Wide/Tele
แล้วก็ถึงเวลามาดูตัวอย่างภาพถ่ายกันแล้ว สำหรับ Mi 6 นั้นถือว่าเป็นกล้องที่ดีที่สุดของ Xiaomi เลยนะ ภาพที่ได้มีความคมชัด สีสันสวยงาม Dynamic range ถือว่าดี ส่วนของ HDR ถือว่าช่วยได้เยอะในการถ่ายรูปในสภาพแสงน้อยที่ในที่ร่มหรือวันฝนตก ภาพออกมาดีทีเดียว ส่วนภาพตอนกลางคืนถือว่าโอเค แต่ยังไม่ดีมากเท่าไหร่ ยังมี noise ให้เห็นค่อนข้างชัดเจน โดยรวมคุณภาพอาจยังไม่ถึงมือถือเรือธงยี่ห้ออื่น แต่ด้วยราคาระดับนี้ถือว่าคุ้มค่ามากแล้วครับ มาชมรูปตัวอย่างกันได้เลย
สำหรับการถ่ายรูปแบบ Portrait นั้นตอนแรกอาจจะถ่ายยากสักนิด เพราะเครื่องไม่สามารถจับวัตถุที่จะโฟกัสได้ พอใช้ไปสักพักก็เริ่มชืน ถ่ายได้สนุกเลยทีเดียว อย่างไรก็ตามการเบลอฉากหลังบางครั้งยังไม่เนียน ต้องถ่ายซ้ำเรื่อยๆครับ
บทสรุป
Mi 6 นับว่าเป็นมือถือที่น่าสนใจในการซื้อไปใช้งานรุ่นหนึ่ง ด้วยสเปกระดับเรือธง งานออกแบบตัวเครื่องที่สวยงามและพรีเมียมพอสมควร มือถือขนาดไม่ใหญ่ ใช้งานมือเดียวสบาย และแบตเตอรี่ที่อึดพอสมควร ในส่วนของกล้องถือว่าทำได้ดีมากในราคาระดับนี้ ถึงแม้จะไม่ดีเท่ามือถือเรือธงยี่ห้ออื่น ร่วมด้วยประสิทธิภาพของระบบซอฟต์แวร์ MIUI ที่มีฟีเจอร์น่าสนใจหลายอย่างนอกจากความสวยงาม ขอสรุปข้อดีและจุดที่ควรปรับปรุงไว้ดังนี้
ข้อดี
- งานออกแบบสวยงาม งานประกอบดี แข็งแรงมาก
- กล้องคู่ดีที่สุดของ Xiaomi
- ประสิทธิภาพลื่นไหล ใช้งาน เล่นเกมสบายๆ
- แบตเตอรี่อึดเกินคาด
- MIUI Global หน้าตาสวยงาม ฟีเจอร์หลากหลาย
- ราคาสุดคุ้มค่า
จุดที่ควรปรับปรุง
- ความเสถียรของซอฟต์แวร์
- GPS มีปัญหา
- ไม่รองรับ MicroSD card
- กล้องยังดีได้อีก เมื่อเทียบกับเรือธงยี่ห้ออื่น
- ประสิทธิภาพยังรีดได้อีก เมื่อเทียบกับเรือธงยี่ห้ออื่น
Mi 6 วางจำหน่ายแล้วในประเทศไทยพร้อมประกันศูนย์ 1 ปี โดยมีอยู่ 2 รุ่นคือ รุ่นความจุ 64GB ราคา 13,790 บาท และรุ่นความจุ 128GB ราคา 15,990 บาท มี 2 สีให้เลือกคือ ดำและน้ำเงิน สำหรับคนที่สนใจสามารถหาซื้อได้แล้วทางออนไลน์ผ่าน Xiaomi Official Store ส่วนทางร้านออฟไลน์ก็มีผ่านร้าน IT City ครับ ในส่วนของรีวิวผมขอจบเพียงเท่านี้ กลับมาเจอกันใหม่ในรีวิวหน้านะครับ สวัสดีครับ
ถามหน่อยครับ ตัวนี้เป็น Full NetCom 4 รึเปล่าครับ แล้วมันสามารถใช้ Data 4G ได้พร้อมกันทั้ง 2 sim เลยรึเปล่าครับ
เท่าที่ทดสอบ SIM1 เป็น 4G ส่วน SIM2 เกาะ 3G ครับ
gps น่าจะต้องรออัพเดทนะ เพราะผมใช้ note 4x ตอนแรกจับแม่นมาก พออัพเดท fwล่าสุด เอ๋อจับได้มั่งไม่ได้มั่ง
ผมว่ามีผลเยอครับ
พอใช้รอม global dev ตัวเกือบล่า กับ ตัวล่าสุด GPS ง้อยมากครับ
..พอกลับมา global stable 8.2.10 นี่ GPS จับอย่างไวพอๆกับ Note3pro เลยครับ
เลยอยุ่ตัวนี้ยาวๆไม่รีบไป MIUI9 ละ
แนะนำซื้อเพจ Official คับ.. เรื่องประกันไม่น่าปัญหาคับ.. มีโค้ดลด 500 บาท
ตอนนี้มีโปรลดอยู่ด้วยมีโค้ดลดอยู่คับ >> http://smarturl.it/xiaomi-official-shop
ติดใจ ตรง gps นี้และ
Miui นี่ต้องคอยอัพเดทตลอดอะ แต่รู้ว่าสึกว่าถ้าอัพไปเรื่อยๆก็จะหาเสถียรสุดๆยากอยู่ดี
แปลกใจเรื่อง GPS จังคิดว่าปรับปรุงแล้วนะนิ – -''
สอบถามหน่อยครับ
mi6 รับรอง VoLTE เจ้าไหนบ้างครับ?
Mi Max 2 กับ Redmi Note 4X รอม Miui Eu Stable ใช้ GPS แม่นนะครับ นำทางขับรถสบายๆ
มือถือรุ่น GPS รวน นำทางขับรถไม่ได้ ที่ผมใช้มี Mi4 กับ Mi5 Prime
สรุปรุ่นท๊อปห่วย รุ่มประหบัดแม่นว่างั้น – –
เหมือนว่า GPS เป็นปัญหาที่ Software ของ Xiaomi ครับ บางคนรุ่นเดียวกันคนนึงแม่นคนนึงง่อย บางคนพออัพเดทแล้วแม่น/ง่อย บางคนปรับแก้นิดๆหน่อยๆเช่น ntp server ก็แม่น อย่างผมใช้ Mi Note ตอนแรกก็แม่น หลังอัพเดทแล้วเรียกว่าใช้การไม่ได้เลยดีกว่าครับ
GPS นี่ หลายรุ่นแล้วนะ ไม่ปรับปรุงซะที
เป็นการรีวิวที่ละเอียดยิบที่สุดที่เคยเจอ ทำให้ตัดสินใจง่ายขึ้นเยอะเลย
ขอบคุณครับ ไม่ได้ประชดใช่มั้ย 55
มีวิทยุออฟไลน์ไหมครับ ขัดใจตรงเพิ่มเมมไม่ได้ไปแล้วอย่าง ถ้าไม่มีวิทยุอีก จบเลย
ไม่มีครับ
mi4ลองลงรอม eu devยัง gps ปกติดี ตอนนี้ใช้note4xอยุ่ ลงeu dev miui9 android7 uiโคตรพริ้ว ดีกว่าmiui8มาก สมฉายาไลท์นิ่งจริงๆ มัลติวินโดวนี่พับหน้าจอแบบเสียงยูทูปไม่หายได้เลย ยังกะใช้คอมตั้งโต๊ะ
กันน้ำมั้ยครับ
กันแค่น้ำกระเซ็นหรือฝนตกใส่เท่านั้นครับ แช่น้ำไม่ได้
นึกว่าเหมือนปีที่แล้ว ปลายปีมี Mi6S / Mi6S Plus
จะดีกว่านี้ถ้าแบ่งใช้กล้องเดี่ยวแต่เซนเซอร์ใหญ่แบบ 5s 5s+ เบื่อกระแสกล้องคู่มากมาย
ฝาหลังของ MI6 เป็นกระจกกันรอยไหมครับ
กะ U11 ต่างกันมากไหมครับ
ชอบ U11 แต่ชอบ Rom กับฟังก์ชั่น Miui มากกว่า ลังเลๆ
ผมว่า U11 นะ ผมชอบ Pure หน่อยๆ MIUI ถ้างบถึงไป U11 ดีกว่า แต่ถ้าเรื่องศูนย์ของ Xiaomi เยอะกว่า HTC ครับ
สีนี้เจ็บมาก จะซื้อได้ที่ไหนอ่าครับ
ซื้อทาง Lazada เป็นร้าน Official ของ Xiaomi แค่ตอนนี้ของยังไม่มาครับ http://www.lazada.co.th/xiaomi-mi-6-6gb128gb-1-40189552.html?spm=a2o4l.seller-78733.0.0.zHLT1E&ff=1&sc=KY0zAQ==&mp=1&rs=78733
@laruku คิดยังไงกับเสี่ยวมี่ที่ลอกไอโฟนโดยการตัดรูหูฟังออกโดยไม่ใช้เหตุผลว่าสมัยนิยม
จริงๆ iPhone ไม่ได้เป็นคนเริ่มนะ แต่เป็นนำกระแสแหละ เพราะคนเริ่มจะเจ๊งแล้ว 55 ผมว่ามีผู้ผลิตหลายเจ้าอยากทำอยู่แล้ว พอมี Apple ทำก่อนแล้วก็ตามเลย HTC,Moto,Xiaomi และจะตามมาอีกหลายยี่ห้อเลย ผมว่านะ
ในราคานี้มีตัวเทียบแค่op5 ถ้าเพิ่มเงินมีรุ่นอื่นดีกว่าอยู่แล้ว
ปุ่ม home เป็นแบบ note5 หรือแบบ iphone7 ครับ
เป็นแบบสัมผัส กดลงไปไม่ได้ครับ ตอบคำถามมััย
นี่แหละที่อยากรู้ครับ ขอบคุณสำหรับคำตอบครับ
ถามนอกเรื่องหน่อย แอพเช็ค GPS, Antivirus และ Multiwindows ใช้ตัวไหนดี
GPS แนะนำ GPS Test ครับ ส่วน Antivirus อย่าลงเลย สำหรับ Multiwindow เข้าใจว่าต้องรองรับโดยตัวมือถือ ไม่มีแอปทำได้ครับ
ไม่รู้จักmi ไม่เคยใช้ แต่กล้องคู่การวางเหมือนp9 ลายเซ็นใต้รูปก็คล้ายp9เลย uiก็คล้ายp9 ตกลงใครลอกใคร
ขอบคุณครับสำหรับคำตอบ เรื่อง Multiwindow เห็นมีใน App store หลายตัว เลยอยากรู้ว่าจะลองเล่นตัวไหนดี
ตายตรง GPS แท้เหลา