เปิดตัวเรียบร้อยแล้ว กับ Xiaomi Mi 9 Pro และ Mi Mix Alpha มือถือเรือธงสุดล้ำที่มาพร้อมกับหน้าจอโค้งไม่เหมือนใคร เพราะโค้งจนไปพาดอยู่ที่ตัวเครื่องด้านหลัง จนเหมือนกับเป็นจอที่ 2 ไปเลย ทำให้มือถือเครื่องนี้ไม่ต้องทำจอแหว่ง จอเว้า เจาะรู หรือกล้องเด้ง เพราะสามารถถ่ายเซลฟี่ด้วยกล้องหลังความละเอียด 108MP ได้เลย ส่วนฟีเจอร์เด็ดอื่นๆ จะมีอะไรบ้าง.. มาดูกันครับ
Xiaomi Mi 9 Pro 5G
เริ่มกันที่ Mi 9 Pro 5G มือถือรุ่นอัพเกรดที่ได้รับการพัฒนาจาก Mi 9 รุ่นเดิมไปอีกขั้น ไม่ว่าจะเป็นชิปตัวแรงรุ่นล่าสุดอย่าง Snapdragon 855+ ที่ทำคะแนนจาก AnTuTu ไปได้ถึง 480,830 คะแนนเลยทีเดียว
และด้วยประสิทธิภาพในการทำงานที่สูงลิ่วขนาดนี้ Mi 9 Pro 5G ก็ยังใช้ระบบระบายความร้อนด้วยไอน้ำแบบ Vapor Chamber ที่ช่วยลดอุณภูมิของ CPU ลงไปได้ถึง 10.2°C
หน่วยความจำที่อัพเกรดขึ้นมาแบบเหลือเฟือ โดยให้ RAM มาถึง 12GB และความจุสูงถึง 512GB
แบตเตอรี่ขนาดใหญ่ขึ้นจากเดิม 3300 mAh เพิ่มเป็น 4000 mAh พร้อมระบบชาร์จไว Mi Charge Turbo ที่รองรับการชาร์จแบบมีสายที่ระดับ 40W และชาร์จไร้สายได้ถึง 30W
นอกจากนี้ยังมีระบบ Reverse Wireless Charge สำหรับชาร์จไฟให้กับอุปกรณ์อื่นๆ ที่รองรับเช่นหูฟัง สมาร์ทวอทช์ หรือแม้แต่มือถือได้ถึง 10W
Mi 9 Pro 5G ยังแถมหม้อแปลง 45W ให้มาในกล่อง โดยถึงแม้ว่ามือถือรุ่นนี้จะรองรับการชาร์จที่ 40W แต่ที่ Xiaomi แถมหม้อแปลง 45W มาให้ด้วย ก็เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายสำหรับคนที่มีโน้ตบุ๊ค เพราะมันสามารถชาร์จไฟให้ MacBook ได้ด้วย
และแน่นอนว่ามันเป็นรุ่น Xiaomi 9 Pro 5G ความสามารถหลักของมันก็คือรองรับการใช้งานเครือข่าย 5G ที่ทำความเร็วในการดาวน์โหลดได้สูงปรี๊ดถึง 1.78 Gbps
Xiaomi Mi 9 Pro 5G มีให้เลือกด้วยกัน 2 สี คือ สีขาว Dream White และสีดำ Titanium Black
Mi 9 Pro 5G มีทั้งหมด 4 รุ่น โดยแบ่งออกตามหน่วยความจำดังนี้
- 8GB / 128GB : ราคา 3699 หยวน หรือประมาณ 15,900 บาท
- 8GB / 256GB : ราคา 3799 หยวน หรือประมาณ 16,300 บาท
- 12GB / 256GB : ราคา 4099 หยวน หรือประมาณ 17,600 บาท
- 12GB / 512GB : ราคา 4299 หยวน หรือประมาณ 18,500 บาท
จะเริ่มวางจำหน่ายวันที่ 27 กันยายน 2019 ในประเทศจีน ส่วนประเทศอื่นๆ ในตอนนี้ยังไม่มีข้อมูลครับ
Xiaomi Mi Mix Alpha
Mi Mix Alpha เป็นมือถือที่มีหน้าจอ Surround Display แบบพันรอบเครื่อง 360° จะเหลือแถบเอาไว้วางกล้องหลังอยู่นิดเดียวเท่านั้น ทำให้มือถือรุ่นนี้มีอัตราส่วนหน้าจอต่อตัวเครื่องสูงถึง 180.6% ส่วนขอบจอด้านล่าง-บน ก็มีความบางสุดๆ เพียง 2 มม. นิดๆ เท่านั้น
ขอบเครื่องทนทานสุดๆ เพราะเป็นไทเทนี่ยมอัลลอย, แถบด้านหลังเครื่องสำหรับวางกล้องเป็นเซรามิค ส่วนกระจกครอบกล้องเป็น Sapphire glass ที่ทนการขีดข่วนได้ดี
หน้าจอ Surround Display สามารถใช้งานแยกกันได้อิสระทั้งหน้าและหลัง ทำให้ผู้ใช้เปิดแอปไปพร้อมๆ กันได้ทั้ง 2 ด้านเลย หรือจะเลือกใช้หน้าจอด้านใดด้านหนึ่งก็ยังได้
ใช้งานด้านหน้า
ใช้งานด้านหลัง
Mi Mix Alpha ใช้ลำโพงแบบฝังใต้หน้าจอ โดยมีช่องเสียงขนาด 1.0cc ที่ให้เสียงดังกว่า
หน้าจอสุดล้ำของ Mi Mix Alpha ทำให้การถ่ายภาพเซลฟี่ไม่ต้องพึ่งพากล้องหน้าเลย เพราะหน้าจอ Surround Display ด้านหลังสามารถใช้งานร่วมกับกล้องหลังเพื่อถ่ายเซลฟี่ได้เลยนั่นเอง
Mi Mix Alpha มีกล้องทั้งหมด 3 ตัว กล้องหลักใช้เซ็นเซอร์กล้อง ISOCELL ของ Samsung ความละเอียด 108MP เป็นรุ่นแรกของโลก ภาพที่ถ่ายออกมาจะสามารถครอปซูมเข้าไปได้อีก 8 เท่า โดยรายละเอียดต่างๆ ยังคงครบถ้วน ส่วนกล้องตัวที่สองเป็นเลนส์ Ultrawide ความละเอียด 20MP ที่รองรับการถ่ายภาพมาโครได้ในระยะใกล้สุด 1.5 ซม. สุดท้ายคือกล้องตัวที่สามเป็นกล้องซูมออพติคอล 2 เท่า ความละเอียด 12MP
สเปคของ Mi Mix Alpha จัดมาให้แบบไฮเอนด์สุดๆ ตามนี้
- CPU : Snapdragon 855+
- RAM : 12GB
- ความจุ : 512GB แบบ UFS 3.0
- กล้อง 3 ตัว : 108MP + 20MP + 12MP
- แบตเตอรี่ : 4050mAh รองรับชาร์จไว 40W
- ช่องเสียงลำโพงขนาด 1.0cc
Xiaomi Mi Mix Alpha เปิดราคามา 19,999 หยวน หรือราวๆ 85,900 บาท (แปดหมื่นห้าพันเก้าร้อยบาท)
น่าเสียดายที่ตอนนี้ยังไม่มีข้อมูลว่า Mi Mix Alpha 5G จะเริ่มวางจำหน่ายเมื่อไหร่ และจะวางจำหน่ายในประเทศไหนบ้าง เอาไว้ถ้ามีข้อมูลเพิ่มเติมแล้วเราจะรีบมาอัพเดทให้ทันทีครับ.. ในระหว่างนี้ก็เก็บเงินรอกันไปก่อน แค่แปดหมื่นกว่าบาทเท่านั้นเอง T-T
วางขายเมื่อไหร่นิ?
น่าสนทั้ง 2 รุ่นเลย
mi mix alpha มีบอกแค่สเปค หน้าจอเหรอครับ
สเปคอื่นๆ กับราคาอ่ะครับ หรือว่าเหมือน mi 9 pro 5g
ใส่เพิ่มแล้วครับ
Xiaomi Mi Mix Alpha สร้างมาเพื่อโชว์เทคโนโลยีไม่เน้นขาย
กล้องจัดเต็มจริงแหะ 🙂 🙂
ตัว Alpha นี่ 2 ว๊าว กับ 2 คำถาม
– ว๊าวกับการออกแบบว่ากล้าทำได้ไหง ทำจอพาดไปถึงข้างหลัง ปกติเห็นแค่ สองจอ หน้ากับหลัง
– ว๊าวกับราคา เพราะปกติ Xiaomi ทำมือถือราคาไม่แรงมาก อย่างเก่งก็เกือบ 3 หมื่น
– คำถามว่าจะใส่เคสยังไงให้ทัชจอข้างหลังได้ หรืออาจจะเป็นเคสแบบ Bumper
– ถ้ามือถือตกแตก เวลาซ่อมมันจะทำยังไง เวลาเปลี่ยนจอ
สวย แต่ไม่ว้าว ดีไซน์แค่แปลกตาเฉยๆ
ถ้าจะเอาว้าวจริงๆ นวัตกรรมที่ใช้ได้จริงๆ ในปีนี้ คือ จอที่พับได้
แถมการใช้งานยังดูลำบาก ตกทีนึง เปลี่ยนเครื่องใหม่ได้เลย
เพราะจอน่าจะแพงสุด
รอีวิวเลยครับ