หลังจากประสบความสำเร็จไปกับ R7 และ F1 จน OPPO ยอดขายพุ่งทะลุคว้าสมาร์ทโฟนขายดีอันดับ 4 ของโลก แซงหน้า Lenovo และ Xiaomi ล่าสุด OPPO ก็ได้นำเอา OPPO F1 Plus เข้ามาวางจำหน่ายในประเทศไทยอย่างเป็นทางการแล้ว ซึ่งชื่อของ OPPO F1 นั้นก็การันตีกล้อง Selfie Expert อยู่แล้ว และพอมาเป็น OPPO F1 Plus ก็ยิ่งเพิ่มพลังเซลฟี่ตีบวก ด้วยกล้องหน้าความละเอียด 16MP f/2.0 และอัพเกรดสเปคใหม่ ใส่ RAM 4GB ให้ลื่นไหลใช้งานง่ายมากขึ้น และตอนนี้ก็ได้เวลาแกะกล่องพรีวิว OPPO F1 Plus กันแล้ว

สเปค OPPO F1 Plus

  • OS: Android 5.1 Color OS 3.0
  • หน้าจอ: AMOLED 5.5 นิ้ว ความละเอียด Full HD 1080p
  • CPU: MediaTek Helio P10
  • RAM: 4GB
  • หน่วยความจำภายใน: 32GB / 64GB
  • กล้องหลัง: 13 ล้านพิกเซล, F2.2, PDAF
  • กล้องหน้า: 16 ล้านพิกเซล, F2.0
  • รองรับ 2 ซิม
  • รองรับ 4G LTE
  • Fingerprint Sensor
  • แบตเตอรี่: 2,850 mAh รองรับ VOOC Charge
  • สัดส่วน: 151.8 x 74.3 x 6.6 มิลลิเมตร
  • น้ำหนัก: 145 กรัม
  • สี: Gold, Rose Gold

Play video

OPPO F1 Plus นั้นหรือ ก็คือ OPPO R9 ที่เปิดตัวและวางจำหน่ายในประเทศจีนนั่นเองครับ คือสเปคเดียวกัน แต่ใช้ชื่อในการทำตลาดต่างกันนิดหน่อย สำหรับ OPPO F1 Plus รุ่นที่วางจำหน่ายในไทยนั้นมาพร้อมกับความจุ 64GB / RAM 4GB โดยวางจำหน่ายทั้งสีทอง (Gold) และสีชมพู (Rose Gold) ในราคา 15,990 บาท

หลายคนเห็นสเปคแล้วอาจจะสงสัยว่าเขียนผิดหรือเปล่า ทำไมกล้องหน้า 16 ล้านพิกเซล แล้วกล้องหลัง 13 ล้านพิกเซล อันนี้บอกเลยว่าไม่ผิด ไม่ได้สลับกัน เขียนถูกแล้ว ไม่งั้น OPPO F1 Plus จะถูกเรียกว่า Selfie Expert ได้เหรอ ฮ่าๆ เอาจริงๆ ตั้งแต่รีวิวเครื่องมาเท่าที่จำได้ ไม่น่ามีมือถือกล้องหน้าชัดกว่ากล้องหลังผ่านมือสักเท่าไหร่ ส่วนมากจะความละเอียดเท่ากันซะมากกว่า

แต่ก่อนจะลงไปถึงรายละเอียดมากกว่านี้ เรามาแกะกล่อง OPPO F1 Plus กันก่อน อุปกรณ์ภายในกล่องนั้นก็มาครบแบบไม่ต้องซื้ออะไรเพิ่ม ตัวเครื่อง หน้าจอติดฟิล์มมาแล้ว (ใช้งานได้ไม่ต่องลอกออก), หม้อแปลง VOOC Flash Charge, สาย micro USB, หูฟัง และยังมีเคสซิลิโคนใสมาให้ในกล่อง ไม่ต้องซื้อเพิ่ม จบครบในกล่องเดียว

เว้นแต่ว่าคุณจะบอกว่าหน่วยความจำ 64GB นั้นใช้ถ่ายรูป หรือใช้เซลฟี่ไม่พอ งานนี้ก็คงต้องซื้อ micro SD เพิ่มมาใส่กันเอง

หม้อแปลง VOOC Flash Charge ของ OPPO F1 Plus นั้นจ่ายไฟที่ 5V 2A และ 5V 4A จุดเด่นคือชาร์จเร็ว และไม่ร้อนเหมือนระบบชาร์จเร็วของค่ายอื่นๆ ใช้เวลาชาร์จแค่ 30 นาทีก็ได้แบตเตอรี่มาถึง 75% คือไวมาก

ขนาดตัวเครื่อง OPPO F1 Plus เมื่ออยู่ในมือ แม้หน้าจะมีขนาด 5.5 นิ้วแต่ด้วยขอบด้านข้างที่บาง และกรอบตัวเครื่องใช้พื้นที่ด้านหน้าไม่มาก  เลยทำให้เครื่องไม่รู้สึกใหญ่เกินไปเวลาใช้งาน ด้านล่างมีปุ่มโฮมที่ใช้เป็นสแกนลายนิ้วมือในตัว

ด้านหลังของ OPPO F1 Plus เป็นโลหะทั้งชิ้นแบบเดียวกับ F1 ผิวสัมผัสบอกเลยว่าจับแล้วลื่นอยู่เหมือนกัน และก็ด้วยความบางการถือใช้งานมือเดียวอาจจะลื่นหลุดมือได้ แต่ถ้าใส่เคสซิลิโคนที่แถมมาในกล่องก็พอจะแก้ปัญหาได้ เพราะเคสมันจะหนึบๆ มือหน่อย จะถือพิมพ์มือเดียวเครื่องก็ไม่หล่น

หน้าตาตัวเครื่อง OPPO F1 Plus สีทอง ด้านหลัง และ ด้านหน้า

ตัวเครื่อง F1 Plus นั้นก็บางซะ 6.6 มิลลิเมตร กรอบด้านข้างเป็นทรงโค้งมนเวลาจับก็เข้ามือดี (แต่ก็ยังติดที่ลื่น) งานประกอบถือว่าผ่าน เพราะเครื่องที่ผมแกะมาลองนี่ลูบไปตรงไหนก็ไม่เจอความคมของโลหะ นับว่าเก็บงานมาดี ด้านซ้ายตามภาพมีปุ่มปรับเสียง volumne rokr เพียงอย่างเดียว

เซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือของ F1 Plus นั้นมาใช้ปุ่มโฮมด้านหน้า ซึ่งแอบแปลกใจเพราะแต่ไหนแต่ไร OPPO ไม่เคยมีปุ่มโฮมแบบกดได้มาก่อน ก็แปลกดีเหมือนกัน แต่จากที่ลองกดๆ เล่นตั้งค่าให้จดจำลายนิ้วมือแล้วก็พบว่าสแกนเร็วดีครับ สำหรับการปลดล็อคหน้าจอในกรณีจอดับอยู่ ต้องกดปุ่มโฮมลงไปด้วย แต่ถ้าหน้าจอติดอยู่แล้ว แค่แตะก็สแกนนิ้วปลดล็อคให้เลย 

ลำโพงนั้นอยู่ทื่ด้านล่างซ้ายของตัวเครื่อง ถัดไปเป็นช่อง micro USB และ หูฟัง 3.5 มม.

ปุ่มพาวเวอร์อยู่ด้านขวา ถัดขึ้นไปช่องสำหรับถาดซิม 

OPPO F1 Plus รองรับการใช้งาน 2 ซิม โดยเป็นนาโนซิมทั้งสองช่อง ช่องที่สองเป็น Hybrid slot ต้องเลือกระหว่างซิม 2 หรือ Micro SD 

ลองเอาเคสซิลิโคนที่แถมในกล่องมาใส่ดู เนื้อบางแต่ดูแข็งแรงทนทานดีครับ ที่สำคัญคือเพิ่มความหนึบหนับไม่ลื่นหลุดมือง่ายๆ แน่นอน

ตัวเคสเจาะช่องต่างๆ ไว้ให้ตรงเป๊ะ แถมบริเวณปุ่มกดก็นุ่ม กดง่าย กดแล้วไม่ไปโดนปุ่มอื่นๆ เหมือนเคสบางตัวที่แข็งๆ กดไม่ค่อยลง ถือว่าทำออกมาดีเลยครับ 

OPPO F1 Plus นั้นมาพร้อมกับ Color OS 3.0 บน Android 5.1 ที่ทำงานได้เร็วและลื่นขึ้นมาก เทียบกับ OPPO R7 Plus ที่ได้ลองเล่นล่าสุดเจ้านี่ลื่นกว่า แถมหน้าตา UI และไอคอนต่างๆ ก็ปรับมาให้ดูง่ายขึ้น

RAM 4GB ที่ให้มาก็เหลือเฟือเปิดแอพสลับกันทำงานได้สบายๆ 

หน่วยความจำภายใน 64GB นั้นถูกกินไปด้วยระบบของตัวเครื่องราว 10GB นิดๆ จริงๆ น่าจะเหลือพื้นที่ราวๆ 50 GB เผอิญว่าผมเอาไปลงแอพถ่ายรูปถ่ายคลิปบ้างแล้ว เลยจะเห็นในภาพว่าเหลือประมาณ 48GB

มาถึงกล้องหน้าที่มาสานต่อความเป็น Selfie Expert จาก OPPO F1 กันบ้าง

กล้องหน้า 16 ล้านพิกเซลนั้นไม่ได้แค่เพิ่มความละเอียด แต่ยังมาพร้อมรูรับแสงที่กว้างขึ้น ช่วยให้แสงเข้าถึงเซนเซอร์ได้มากกว่าเดิมถึง 4 เท่า และใช้เซนเซอร์ที่มีขนาดใหญ่ 1/3.1 นิ้ว เพื่อให้ได้ภาพที่สว่างและความละเอียดมากขึ้นด้วย

แม้แต่การเซลฟี่ย้อนแสงจ้าๆ จากหลอดไฟถนน พอ OPPO F1 Plus มันตรวจจับเจอใบหน้าก็จะปรับความสว่างให้โดยอัตโนมัติ คือดูมีความใส ดูมีความเนียน

และด้วยความสามารถของซอฟต์แวร์ Beautify 4.0 ช่วยให้สามารถถ่ายภาพเซลฟี่ได้หลากหลายรูปแบบ และกล้องของ OPPO F1 Plus ก็จะปรับสภาพแสงและเลือกความสว่างให้เหมาะกับการ Selfie ในหลายๆ สภาพแสง ถ้ามืดเกินไปก็ยังมี Screen flash ใช้ไฟจากหน้าจอมาเพิ่มความสว่างให้กับหน้าของเราได้

  

จะถอดแว่นหรือใส่แว่น OPPO F1 Plus ก็ไม่มีปัญหาในการตรวจจับใบหน้า เพื่อให้ภาพเซลฟี่ออกมาเนียนใส ไร้ริ้วรอย ปรับระดับได้ตามความพอใจ

และยังมีโหมด Selfie Panorama ช่วยให้เราถ่ายภาพ Selfie ได้มุมกว้าง เก็บวิวทิวทัศน์ หรือเพื่อนๆ ที่มาจอยกันได้มากมาย

การถ่ายภาพ Selfie Panorama ก็ไม่ได้ยากอะไรแค่เปิดโหมดจากนั้นก็ถ่ายภาพแรกแล้วก็บิดข้อมือไปซ้ายขวาเพื่อเก็บองประกอบภาพด้านข้างมาเท่านั้นก็เป็นอันเสร็จ

โหมดกล้องที่เคยมีเยอะจนเลือกใช้ไม่ถูกหรือบางโหมดที่ซ้ำซ้อนกันก็ถูกทาง OPPO จับมาเรียงใหม่ โดยจะมีโหมดในหน้าหลักด้วยกัน 5 โหมด เช่นโหมดถ่ายภาพ, โหมดบิวตี้, โหมดพาโนรามา, โหมดถ่ายวิดีโอ, และโหมดไฮเปอร์แลป

นอกจากนั้นก็ยังมีโหมดยอดนิยมอย่าง Ultra HD, โหมด Filter, โหมดภาพเคลือนไหวแบบ GIF, โหมดถ่ายภาพซ้อน Double Exposure และโหมดผู้เชี่ยวชาญหรือโหมด Pro นั่นเอง

 

= ตัวอย่างภาพถ่ายจาก OPPO F1 Plus =

สำหรับใครที่สนใจ OPPO F1 Plus ตอนนี้ก็มีวางจำหน่ายกันไปแล้ว ทั้งสีทองและสีชมพูคือเข้ามาวางจำหน่ายพร้อมกันทั้งสองสีครับ