เชื่อว่าทุกคนน่าจะเคยใช้งานตัว Cloud Storage Service กันอยู่แล้วแหละ อย่างเช่น Google Drive ตัวดัง ที่พ่วงมากับบัญชี Gmail ของเรา แต่ในตลาด Cloud Service เนี่ยมีผู้ให้บริการหลากหลายเจ้ามากๆ แทบจะนับได้ไม่ถ้วนเลย แต่ในบทความนี้เราจะมาเปรียบเทียบและพูดถึงความสามารถของ 3 ผู้ให้บริการ Cloud รายใหญ่ที่ใกล้ตัวทุกคนกัน

Cloud Storage Service ที่เราจะเอามาแชร์ให้เพื่อนๆดูกันในบทความนี้ สำหรับเอาไว้เก็บทั้งภาพ วีดีโอ ไฟล์ต่างๆ เป็นแพลนส่วนตัวแบบใช้ Personal แถมบางตัวยังมีเสริมบริการด้านอื่นๆของตัวเองให้มาอีกด้วยที่เป็นจุดเด่นเฉพาะให้น่าใช้ขึ้นไปยิ่งขึ้นด้วย ส่วนบริการที่เรายกมาพูดถึงวันนี้คือ
1.Google One
2.OneDrive จาก Microsoft
3.iCloud+ จาก Apple

แต่ละผู้ให้บริการก็จะมีค่าบริการ และความจุที่แตกต่างกันออกไป เราก็ได้ทำตารางเปรียบเทียบมาให้เพื่อนๆดูกันได้แบบง่ายๆ

ฟีเจอร์/บริการGoogle OneOneDriveiCloud+
พื้นที่ฟรี เริ่มต้น 15 GB5 GB5 GB
ค่าบริการ/รายเดือน100 GB : ฿70

200 GB : ฿99

2 TB : ฿350

5 TB : ฿875

10 TB : ฿1,750

20 TB :  ฿3,500

Standalone 100GB
฿69

Personal 1TB
฿209

Family 6TB
฿289

 

50GB: ฿35

200GB: ฿99

2TB: ฿349

ค่าบริการ/รายปี (ถูกกว่า)100 GB : ฿700

200 GB : ฿990

2 TB : ฿3,500

5 TB : ฿8,750

Standalone 100GB
฿689
Personal 1TB
฿2,099

Family 6TB
฿2,899
(แชร์ได้คนละ 1 TB 6 คน ตกคนละ 40 บาทต่อเดือน)

ระบบที่รองรับAndroid, iOS, Windows, MacOSAndroid, iOS, Windows, MacOSiOS, MacOS
Windows, Browser (เข้าถึงข้อมูล/จัดการไฟล์แบบทั่วไป)
ระบบการแชร์ไฟล์แชร์แบบเจาะจงบุคคล

แชร์แบบลิงค์

แชร์แบบเจาะจงบุคคล

แชร์แบบลิงค์

ตั้งเวลาหมดอายุไฟล์ได้

ตั้งค่ารหัสผ่านไฟล์ได้

แชร์แบบเจาะจงบุคคล

แชร์แบบลิงค์

เข้าถึงไฟล์ Offline แบบไม่ใช้พื้นที่ในเครื่องบน Desktopได้ได้ได้
แอปจัดการรูปภาพแยกGoogle Photos
แยกมาให้
Photos (Apple)
แอปเอกสารGoogle Docs

Google Sheet

Google Slides

Office 365Pages

Keynote

Numbers

บริการ E-mailG MailOutlook

ข้อจำกัดคือถึงจะซื้อพื้นที่เพิ่มเติม
แต่ยังไงก็จะเก็บข้อมูลใน Outlook
ได้สูงสุดแค่ 100 GB

iCloud Mail
จุดเด่นเฉพาะตัวบัญชีสามารถ Sync กับบริการทั้งหมดของ Google ได้ระบบการรักษาความปลอดภัยในการแชร์ไฟล์

แอป Office ที่เป็นมาตรฐาน

รองรับใน Ecosystem ของ Apple ได้ครบถ้วน

มีบริการซ่อนอีเมล์

มีบริการ Private Relay ซ่อน VPN

Google (One)

เริ่มที่บริการ Google One ก่อนเลยเป็นบริการ Subscription ของทาง Google ที่ถ้าใครใช้พื้นที่ฟรีจากบัญชีของ Google 15GB ไม่พอแล้วเนี่ย สามารถเข้าสมัครเพิ่มเป็นสมาชิกในระบบของ Google One ได้ การสมัครบริการ Google One ทำให้เราสามารถใช้บริการของ Google ได้ทั้งหมดทุกตัวเหมือนเดิมเพิ่มเติมคือ ได้พื้นที่ ที่มากขึ้นตามที่เราเลือก Package นั่นเอง Google เป็นเจ้าที่ได้รับความนิยมในบริการกลุ่ม Cloud Service มากทั้งเรื่องของบริการเสริมที่หลากหลายครอบคลุม ตั้งแต่ระบบ Search และการทำงานทั้ง Gmail, Maps, Drive, บริการเรื่องการทำงานเอกสารเช่น Google Sheet, Slides, Docs

รวมถึงบริการที่ใช้จัดการเก็บรูปโดยเฉพาะอย่าง Google Photos ทุกๆบริการทำงานร่วมกันได้อย่างไร้รอยต่อ บวกกับการที่ Google เองพัฒนา AI มาช่วยเสริมการใข้งานของผู้ใช้ให้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องด้วย จุดเด่นของ Google อีกตัวเลยคือ แอป Google Photos เพราะมาพร้อมระบบจัดการภายในแอปที่ดี และ AI ที่ช่วยให้ค้นหาภาพได้ฉลาดมากๆ รวมถึงตอนนี้ตัวแอปของ Google Drive ที่อยู่บน Desktop ก็พัฒนาความสามารถของตัวเองให้รองรับฟีเจอร์ที่มากขึ้นเหมือนกับการใช้งาน Browser ในบางฟีเจอร์บ้างแล้ว และเชื่อว่าทาง Google เองก็พัฒนาให้ดีขึ้นเรื่องๆในอาคตด้วย 

Google One เหมาะกับใคร ?

สำหรับใครที่ใช้บริการออนไลน์ส่วนมากของทาง Google เป็นประจำอยู่แล้ว ทั้ง ส่วนเอกสาร การเก็บข้อมูลบน Drive

– ผู้ใช้งาน Android และ ผู้ใช้งาน Gmail เป็นหลัก เพราะรหัสเดียวของ Gmail สามารถทำงานร่วมกับระบบ Android ได้แบบแบบไร้รอยต่อ ทั้งข้อมูลในเครื่อง และ บริการเสริมของ Google

– ใครที่ใช้ Google Photos เก็บรูปและวีดีโอ

ข้อจำกัดของ Google Drive คือมีการจำกัดปริมาณข้อมูลที่ Upload ขึ้นไปบน Cloud ต่อวันได้แค่ 750 GB พอครบแล้วจะโดนบล็อคอัติโนมัติและต้องรอวันถัดไป ฟังดูแล้วอาจจะเยอะมากๆสำหรับความจุ 750 GB แต่สำหรับถ้าใครที่ทำงานสายวีดีโอที่ต้อง Upload ไฟล์เยอะจริงๆ บางวันอาจทำให้เกิดปัญหาได้

OneDrive

OneDrive เป็นบริการจากทาง Microsoft ที่มาพร้อมพื้นที่บน Cloud เริ่มต้นฟรีที่ 5 GB ในเราลองใช้กันก่อน หลายๆคนอาจจะคุ้นชินในส่วนของตัวแอป Office สำหรับงานเอกสาร เพราะถือเป็นแอปที่นิยมและเป็นมาตรฐานเลย เพราะบริษัทหลากหลายและก็โรงเรียนเลือกใช้ในการทำงาน ส่วน Package ของทาง OneDrive ที่มีความจุ 1 TB ยังมาพร้อมบริการที่ให้ใช้ Office 365 ได้อีกด้วยถือว่าคุ้มค่ามาก

แล้วหากใครที่คิดว่า OneDrive น่าจะเหมาะกับคนที่ใช้ Windows มากกว่ารึเปล่า ต้องบอกเลยว่าตอนนี้แอปที่ทาง Microsoft พัฒนามาให้ใช้บนอุปกรณ์ Apple บน iOS และ MacOS มีความสามารถแทบจะไม่ต่างกันกับ Windows เลย ในการรองรับการใช้งานฟีเจอร์หลากหลาย ทั้งความเร็วในการเข้าถึงไฟล์, ระบบโฟลเดอร์ที่ฉนวกเข้าไปใน Finder, การแชร์ไฟล์, และการเพิ่มพื้นที่แบบ Offline ให้เครื่อง เรียกได้ว่าจะ OS ไหน Microsoft ก็ใช้งานได้ดีหมดเเล้วตอนนี้ อย่างเช่น ฟีเจอร์ Free up space ที่ทำให้ไม่เปลืองที่บนเครื่อง ยังรองรับบน macOS ด้วย 

OneDrive เหมาะกับใคร ?

– เหมาะสำหรับใครที่ใช้งานเอกสารโปรแกรมเช่น Word, PowerPoint, Excel แอปจาก Office เป็นประจำ
– ผู้ใช้งาน Outlook เป็นเมล์หลัก
– คอมพิวเตอร์เครื่องหลักที่ใช้งานประจำเป็นระบบ Windows

คำแนะนำจากเรา Package 6 TB ราคา 2,899 ต่อปี ถ้าเราหาคนมาหารรวมกลุ่มกันได้ 6 คนจะคุ้มมาก เพราะสามารถใช้ได้แยกกันได้อย่างอิสระคนละ 1 TB เลย 6 คน ไม่มีการรวมไฟล์ด้วยกัน และยังได้ใช้บริการ Skype และ Microsoft Office 365 ด้วย เท่ากับ เฉลี่ยแล้วจะตกปีละ 483 บาท / ต่อคน หรือคิดเป็นประมาณ 40 บาท ต่อคน / ต่อเดือน  คุ้มค่ามากๆ

iCloud +

สุดท้ายเป็นบริการ Cloud Storage จากทาง Apple เชื่อว่าคนที่ใช้ iPhone แทบทุกคนน่าเคยเห็นป๊อปอัพ เด้งขึ้งมาแจ้งว่า iCloud เต็มให้ซื้อพื้นที่เพิ่มเติมกันแน่นอน นี่แหละ คือบริการ iCloud โดยมาตรฐานยืนพื้นแล้วทาง Apple เค้าจะให้เรามาฟรี 5 GB แต่ก็จะมี Package ให้สามารถซื้อเพิ่มเติมได้หากเราใช้ไม่พอ iCloud ค่อยข้างมีชื่อเสียงเเละเด่นเรื่อง ระบบ Back up ข้อมูลเครื่องและ Restore ที่ทำงานได้เสถียร บนทุกๆอุปกรณ์เลยไม่ว่าจะเป็น iPhone, iPad, Mac, หรือ Apple Watch, จุดเด่นเรื่องแอป Photos ในการ Sync รูปภาพ และแชร์รูปภาพในครอบครัว, และการ Back up ข้อมูลของแอป Third Party ที่จะสำรองข้อมูลการใช้งานในแอปบนเครื่อง ที่ใช้งานง่ายและครอบคลุมระบบ Ecosystem รวมๆของ Apple ได้เสถียร
เราสามารถเข้าถึงและใช้งาน iCloud บน Browser และแอปบน Windows ที่โหลดผ่าน Microsoft Store ได้ ในการเข้าถึงรูปภาพ วิดีโอ ปฏิทิน ไฟล์ และข้อมูลสำคัญอื่นๆ ใน PC ที่ใช้ Windows ได้ด้วยเหมือนกัน

การที่เราอัพเกรดจาก iCloud เป็น iCloud+ แล้ว สิ่งที่เราจะได้มาหลังจากเสียเงิน Subscription แล้วนอกจากพื้นที่ความจุบน Cloud ที่มากขึ้นแล้ว ก็จะได้ฟีเจอร์ที่น่าสนใจอย่าง
ซ่อนอีเมลของฉัน > ที่จะสร้างที่อยู่อีเมลแบบสุ่มที่ไม่ซ้ำกันในทันที ซึ่งจะถูกส่งต่อไปยังอินบอกซ์ส่วนตัว ทั้งยังให้เราตอบกลับได้อีกด้วย ทำให้เราไม่ต้องเปิดเผยที่อยู่อีเมลจริงๆ เมื่อต้องกรอกแบบฟอร์มบนเว็บ
iCloud Private Relay > เป็นการเข้ารหัสการท่องเว็บหรือการซ่อน IP Address เหมือนกับการใช้งาน VPN แต่ Apple เป็นผู้ให้บริการเองเลย จะมีความปลอดภัยมากยิ่งกว่าโดยจะมีการเข้ารหัสที่ซับซ้อนในขณะที่ใช้ปลอดภัยจนกระทั่ง Apple เองก็ไม่สามารถรู้ได้ว่าเราเข้าใช้งานเว็บไซต์อะไรอยู่เหมือนกัน การใช้งาน Private Relay จะต้องทำงานผ่านทาง เบราเซอร์ Safari เท่านั้นและยังเป็นเวอร์ชั่น Beta อยู่

แล้ว iCloud+ เหมาะกับใคร ?

– เหมาะกับผู้ที่ใช้อุปกรณ์ของ Apple ทั้ง iPhone, iPad, Mac และใช้ Ecosystem ส่วนมากเป็นของ Apple
– มีอุปกร์ของ Apple หลากเครื่อง เพราะ iCloud ช่วยให้การ Sync ข้อมูลระหว่างเครื่องได้เสถียร
– เน้นการแชร์ไฟล์กันในครอบครัวใน Package ที่รองรับ Family Sharing

 

เราแนะนำให้เพื่อนๆลองประเมินไลฟ์สไตล์ และจุดประสงค์ของตัวเองในการเลือกใช้บริการของ Cloud Service แต่ละเจ้าว่า เราเน้นใช้งานในการเอามาเก็บข้อมูลประเภทไหน และเราอยู่กับ Service หรือ Ecosystem ของแบรนด์ไหนเป็นหลักมากกว่ากัน เพราะว่าทั้งสามผู้ให้บริการแต่ละเจ้าก็จะจุดเด่นที่แตกต่างกันออกไป