ปี 2560 ไทยติดอันดับหนึ่งประเทศที่มีอุบัติเหตุบนท้องถนนมากที่สุดในโลก สาเหตุหลักๆก็มาจากพฤติกรรมของผู้ใช้รถ ไม่ว่าจะเป็นขับรถเร็ว ไม่มีสมาธิในการขับ หรือแม้แต่ขับรถนานจนเหนื่อยแล้วหลับใน ซึ่งเราได้เคยเห็นเทคโนโลยี AI ช่วยวิเคราะห์พฤติกรรมของผู้ขับขี่และแจ้งเตือนเมื่อคนขับมีอาการไม่พร้อมเหล่านั้นกันบ้างแล้วในต่างประเทศ แต่ตอนนี้เทคโนโลยีนี้เริ่มมีใช้งานในบ้านเราแล้วในโครงการ AI for Road Safety ที่ พีทีที โกลบอล เคมิคอล ร่วมกับฟรอนทิส และไมโครซอฟท์ ร่วมกันพัฒนาขึ้นมา

เทคโนโลยีดังกล่าวเป็นการนำนวัตกรรมปัญญาประดิษฐ์หรือที่เรียกกันว่า AI มาวิเคราะห์ภาพวิดีโอจากกล้องที่คอยจับภาพของคนขับรถ เพื่อป้องกันหากผู้ขับรถเกิดมีอาการหลับใน หรือมีพฤติกรรมที่ไม่ปลอดภัยระหว่างการขับรถอื่นๆ เช่น คุยโทรศัพท์ ไม่มองทาง ฯลฯ โดยระบบ AI ดังกล่าวจะแบ่งขั้นตอนทำงานออกเป็น 4 ขั้นตอน ตามนี้

  1. ติดตามพฤติกรรมการขับรถ เพื่อตรวจจับความง่วง การเสียสมาธิ ความเร็ว และตำแหน่งของรถ
  2. รับส่งข้อมูลและแสดงผลผ่านระบบคลาวด์ (Cloud) จากนั้นวิเคราะห์และประมวลผลด้วย AI
  3. ส่งสัญญาณแจ้งเตือนผู้ขับและผู้จัดการระบบขนส่ง เมื่อตรวจพบค่าความเสี่ยงถึงระดับที่ต้องแจ้งเตือน
  4. แสดงผลรายงานด้วยการวิเคราะห์ข้อมูล วิเคราะห์พฤติกรรมของผู้ขับ หาสาเหตุที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุ และเส้นทางการเดินทางของรถ ไปยังผู้จัดการระบบขนส่ง

ตัวอย่างข้อมูลใน Dashboard ของผู้ดูแลระบบที่ใช้งานจริง โดยข้อมูลของผู้ขับรถจะถูกส่งกลับไปที่ผู้จัดการระบบขนส่งแบบ Real Time

ปัจจุบันทาง พีทีที โกลบอล เคมิคอล ได้เริ่มนำร่องทดลองใช้กับรถตู้รับส่งพนักงานในเส้นกรุงเทพ – ระยอง ซึ่งถือเป็นจังหวัดที่ติด Top 5 อุบัติเหตุทางรถยนต์ของประเทศ โดยรถเหล่านี้ต้องทำการติดตั้งอุปกรณ์เพิ่มเติม และเชื่อมต่อกับคลาวด์ซึ่งทางบริษัทฟรอนทิสเป็นคนพัฒนาขึ้นมา โดยการแจ้งเตือนจะมีทั้งในรูปแบบเสียงเตือนผู้ขับขี่ภายในรถ และข้อความเตือนผ่านหน้า dashboard ของทางผู้ดูแลระบบ โดยระบบจะบันทึกตำแหน่งและเวลาที่เกิดเหตุรบกวนไว้ เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการวิเคราะห์และวางแผนในอนาคตด้วย

ก็ถือว่าเป็นอีกหนึ่งเทคโนโลยีดีๆ ที่จะเข้ามาช่วยให้การใช้รถใช้ถนนมีความปลอดภัยมากขึ้น โดยเฉพาะรถรับส่ง อย่างเช่นพวกรถตู้ หรือรถทัวร์ ที่มักจะมีข่าวให้เราเห็นกันบ่อยๆ ว่าคนขับหลับในบ้างล่ะ เมาบ้างล่ะ ขับไปเล่นมือถือไปบ้างล่ะ ฯลฯ และเมื่อเทคโนโลยีดังกล่าวได้รับการพัฒนาเสร็จเรียบร้อย เริ่มมีการใช้แพร่หลายมากขึ้น ก็เชื่อว่ามันจะทำให้ถนนหนทางในบ้านเราปลอดภัยขึ้นมาอีกเยอะเลย (หรืออย่างน้อยๆ ก็อย่าได้เป็นประเทศที่มีอุบัติเหตุทางถนนสูงสุดอันดับ 1 ของโลกเหมือนตอนนี้ก็ยังดีล่ะนะ)