ฟีเจอร์ตัดเสียงรบกวนบนหูฟังไร้สาย เป็นฟีเจอร์ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในช่วงหลายปีหลัง โดยเฉพาะระบบตัดเสียงรบกวนแบบแอกทีฟ ที่ทำงานโดยอาศัยเทคนิคการปล่อยคลื่นเสียงด้านตรงข้ามออกมาหักล้างกับเสียงแวดล้อม ซึ่งผู้ผลิตต่างโฆษณาว่าการมีอยู่ของฟีเจอร์นี้ช่วยให้ผู้ฟังสามารถดื่มด่ำกับเสียงเพลงหรือสิ่งที่กำลังฟังได้อย่างเต็มที่ ทว่าในอีกมุมหนึ่ง ผู้ป่วยที่มีภาวะ auditory processing disorder (APD) กลับมีจำนวนเพิ่มขึ้น จนผู้เชี่ยวชาญเริ่มตั้งข้อสังเกตว่า 2 สิ่งนี้อาจเกี่ยวเนื่องกัน

การได้ยิน ≠ การฟัง
ในทางการแพทย์ ‘การได้ยิน’ และ ‘การฟัง’ ถือว่าเป็นคนละอย่างกัน กรณีของโรค APD นั้น ผู้ป่วยยังสามารถได้ยินเสียงได้ตามปกติ แต่ทักษะในการฟังจะลดลง ฟังแล้วจับใจความไม่ได้ เป็นผลมาจากการที่หูและสมองส่วนที่ควบคุมเรื่องของการได้ยินไม่สามารถทำงานประสานกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ
โรค APD มีอาการอย่างไร
ตัวอย่างอาการของผู้ที่มีภาวะ APD มีดังนี้
- ปัญหาในการจดจ่อกับเสียง ในสภาพแวดล้อมที่มีเสียงดัง
- ปัญหาในการระบุที่มาของเสียง
- ปัญหาในการแยกแยะเสียงสูง – เสียงต่ำ
- ปัญหาในการสะกดคำ และอ่านออกเสียง
- ปัญหาในการปฏิบัติตามคำสั่งที่มีความซับซ้อน
- ปัญหาในการจดจำข้อมูล และจับใจความจากคำพูด
- ปัญหาการตีความคำพูดตรงเกินไป (ไม่เข้าใจมุกตลก การพูดเสียดสี หรือประชดประชัน)
นอกเหนือจากที่กล่าวมา ภาวะ APD ยังส่งผลให้ผู้ป่วยตอบกลับหรือตอบสนองต่อคำพูดได้ช้าลง และมักพบร่วมกับผู้ที่มีปัญหาด้านความสนใจและการเรียนรู้ภาษา ลักษณะเดียวกับที่พบในผู้ป่วยโรคออทิสติกและโรคสมาธิสั้น
ทำไมระบบตัดเสียงบนหูฟังจึงน่ากังวล
เดิมที ภาวะ APD ถูกวินิจฉัยว่ามีสาเหตุมาจากการได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะ หรือการกระทบกระเทือนทางสมอง จนส่งผลต่อระบบประสาทการได้ยินส่วนกลาง หรือการติดเชื้อในหูชั้นกลางซ้ำ ๆ ซึ่งที่ผ่านมา APD มักเกิดในวัยเด็กและวัยชรา
แต่ปัจจุบันผู้ป่วยวัยรุ่นกำลังเพิ่มขึ้น ผู้เชี่ยวชาญหลายรายจึงพุ่งเป้าไปที่ฟีเจอร์ตัดเสียงรบกวนบนหูฟังไร้สาย โดยชี้ให้เห็นว่า ทักษะการฟังของมนุษย์จะพัฒนาเต็มที่เมื่ออายุใกล้วัยรุ่นตอนปลาย ในระหว่างนี้หูของเรามีความจำเป็นต้องได้ยินเสียงที่หลากหลายเพื่อกระบวนการพัฒนา ไม่ว่าจะเป็นเสียงรถบนถนน เสียงมอเตอร์ไซค์ท่อดัง เสียงจอแจของผู้คน เสียงหมาเห่า หรือแมวกัดกัน
ในขณะที่ฟีเจอร์ตัดเสียงรบกวนบนหูฟัง จะเป็นการสร้างสภาพแวดล้อมแบบปลอม ๆ ขึ้นมา เมื่อนานวันเข้าสมองอาจ ‘ลืม’ การกรองเสียงที่ไม่ต้องการตามกระบวนการทางธรรมชาติของสมองไป กระทั่งทักษะการฟังพัฒนาช้าลง พัฒนาไม่เต็มที่ หรือแย่สุดคือนำไปสู่ภาวะ APD ในท้ายที่สุด

ยังยืนยันความเกี่ยวโยงไม่ได้ แต่กันไว้ดีกว่าแก้
แม้ยังไม่มีหลักฐานหรืองานวิจัยชิ้นใด ที่ชี้ชัดว่าหูฟังตัดเสียงรบกวนเป็นต้นเหตุของโรค APD แต่ปัจจุบัน APD ยังไม่มีวิธีรักษาให้หายขาด ทำได้เพียงบรรเทาอาการ การรักษาแต่ละครั้งต้องใช้เวลานาน มีค่าใช้จ่ายสูง และแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในแขนงนี้โดยตรงยังมีจำกัดอยู่มากแม้ในต่างประเทศ นักโสตวิทยาจึงมองว่าหากจะป้องกัน – ระมัดระวัง ไว้แต่เนิ่น ๆ ก็ไม่ใช่เรื่องเสียหาย พร้อมเรียกร้องให้มีการศึกษาประเด็นนี้เพิ่มเติมอย่างจริง ๆ จัง ๆ
วิธีลดความเสี่ยงจาก APD
การไม่ใช้หูฟังต่อเนื่องเป็นเวลานานเกินไป ไม่ว่าจะเปิดฟีเจอร์ตัดเสียงรบกวนหรือไม่ก็ตาม อาจสามารถช่วยลดความเสี่ยงจากภาวะ APD ได้ นอกจากนี้การสลับไปใช้โหมดเปิดรับเสียงภายนอก (กรณีหูฟังรองรับ) เป็นครั้งคราว ก็สามารถช่วยได้เช่นกัน
อ้างอิง : BBC | Mayo Clinic | NHS | Wikipedia
Comment