มีรายงานจาก The Financial Times ว่า Samsung กับ Apple กำลังคุยอยู่กับ GSMA ซึ่งเป็นองค์กรกลางที่จัดการเรื่องมาตรฐาน,การนำไปใช้งานและการโปรโมตระบบโทรศัพท์มือถือ GSM โดยทั้ง Samsung และ Apple ต้องการที่จะนำเอาเทคโนโลยี electronic SIM card หรือ e-SIM มาใช้กับโทรศัพท์มือถือของตัวเอง และเมื่อสองยักษ์ใหญ่แห่งวงการโทรศัพท์มือถือเคลื่อนไหวในเรื่องเดียวกัน มันจึงกำลังจะเป็นมาตรฐานใหม่ในไม่ช้า
e-SIM หรือชื่อเต็มๆคือ Electronic SIM นั้นต่างจาก SIM card ทั่วไปในปัจจุบันตรงที่ มันจะไม่ล็อคตัวเองอยุ่กับเครือข่ายใดเครือข่ายหนึ่ง และตัว e-SIM เองจะถูกฝังมากับเครื่องโทรศัพท์มือถือหรือ gadget ประเภทอื่นๆที่ใช้เทคโนโลยีนี้เลย ดังนั้นผู้ผลิตก็ไม่จำเป็นต้องทำ “ถาดซิม” หรือ SIM tray ไว้ให้ผู้ใช้เปลี่ยน SIM เองแล้ว เพราะไม่จำเป็นต้องเปลี่ยน SIM อีกต่อไป และเมื่อไม่ต้องมีถาดซิมก็จะช่วยทำให้ออกแบบมือถือได้บางมากขึ้นหรือมีพื้นที่ไปใส่อะไรได้มากขึ้นนั่นเอง
จริงๆแล้วประเทศไทยก็มีอะไรที่คล้ายๆแบบนี้อยู่แล้ว มันคือการ “ย้ายค่ายเบอร์เดิม” ที่พวกเราทำกันอยู่นี่แหละครับ เพียงแต่เรายังใช้ SIM card ธรรมดากันอยู่ ต่อไปถ้า e-SIM เป็นมาตรฐานได้จริงๆ คนรุ่นหลังอาจจะไม่รู้จัก SIM card ไปเลยก็เป็นได้เพราะมันเป็นเพียงแค่ชิ้นส่วนหนึ่งที่ฝังอยู่บนบอร์ดของอุปกรณ์เท่านั้น คาดกันว่าอย่างเร็วที่สุดคงเป็นปี 2017 ที่เราจะได้เห็นมือถือที่ใช้ e-SIM จากทั้ง Apple และ Samsung ครับ
ที่มา: Engadget
อด copy เบอร์โทรลงซิม ไปใช้เครื่องอื่นแล้วสินะ
ระบบนี้ก็ดีนะ แต่ที่ต้องดูต่อคือ มันจะสลับซิมใช้ข้ามเครื่องเหมือนซิมยุคนี้รึเปล่า
ถ้ายังสลับเครื่องได้อยู่ ก็คงไม่มีปัญหา
เทคโนโลยีเจ๋งๆ ของเมืองนอก ทำไมพอมาเข้าไทยแล้วผมรู้สึกว่ามันเหมือนจะไม่เวิร์ค(ในไทยเลยอ่ะ)
สามค่ายยักษ์ใหญ่ วุ่นแน่ๆ ถ้าเอามาใช้
ไหนจะต้องมายืนยันตัวเองอีกป่าว
เหมือนจะกดดัน Feature phone แหะ
เมืองไทย จะทำได้ไหม
ถ้าใช้แต่ไอโฟนเครื่องเดียว ไม่มีประเด็นเลย แต่ถ้าใช้หลายเครื่อง ที่ไม่ได้มีระบบนี้ ลำบากแน่ แต่เชื่อว่าแอปเปิ้ลคงไม่สนใจอะไรทั้งนั้น อยากใช้ก็ใช้เลย
ส่วนเหตุผล ฟังไม่ขึ้น จะซิมใหญ่ซิมเล็ก มือถือก็มีแต่ขนาดใหญ่ขึ้นทุกวันๆ ทำบางลงได้ แต่แบตก็ไม่ทน แทนที่จะเอาเหตุผลปัญญาอ่อนมาลดขนาดซิม หรือเอาซิมออกไปเลยเนี่ย ไปทำแบตให้มันเล็กและบาง แต่ทนดีกว่าไหม คนที่ใช้หลายเครื่องสลับซิมไปมา พังเพราะตัวแปลงซิมก็หลายคนอยู่เหมือนกัน
คือว่าเรื่องแบตมันไม่ได้ง่ายนะสิครับ ไม่ใช่เค้าไม่อยากลดขนาดแล้วทำมันให้ทนขึ้น แต่เพราะมันยาก ต้องหาธาตุสสารอะไรที่ทำให้เก็บและคลายประจุได้เยอะในขนาดเล็ก มันไม่ได้ง่ายครับ
อันนี้เข้าใจครับ หลายปีที่ผ่านมา ถ้าเทียบเทคโนโลยีด้านอื่นๆ นอกจากแบตแล้ว ถือว่าพัฒนาไปได้พอควร
แต่ข้ออ้างการทำ e-sim มันดูไม่มีน้ำหนักเลย หากเทียบกับพื้นที่ๆ จะได้คืนมา คิดเป็น % เทียบกับเครื่องนะ ตีไปว่าเอาภาครับซิมออก ได้พื้นที่คือมาประมาณ 3% จะเอาไปทำอะไรได้มากมาย
ดีมากถ้าเครื่องโดนขโมยก็ทำให้รู้เลยว่าใครเอาไปใช้และทำการล็อคเครื่องกับทุกเครือข่ายด้วยเลย
เครื่องบางๆ มันดีจริงหรอ
ถ้าทำได้ในไทยการหลอกแจกซิมระบบเติมเงินฟรี(หลอกว่าเติมเงินแต่เอาเข้าจริงเป็นแบบจ่ายรายเดือน) ของบางค่ายในไทยคงหมดไปจะดีมากครับ
ดีนะ e-sim น่าจะทำให้โทรศัพท์เครื่องนึง ใช้ได้หลายเบอร์ สบายไปเลย อิอิ
เหมือน wifi มี mac address แบบนี้ ถ้าเลขอิมมี เราแก้เองไม่ได้ หมายความว่า
ถ้าจะเปลี่ยนโทรเล่น เช่นวันนี้ใช้ S6 พรุ่งนี้ฉันจะใช้ 6+ ก็หมดสิทธิ์เลยสิ
เพราะเราย้ายซิมเองไม่ได้ เหมือนบังคับลูกค้า เพราะถ้าจะย้ายเบอร์
ไปผูกกะเครื่องใหม่ มันต้องใช้เวลา และขาดอิสระ ต่อตัว ผู้ใช้ ถามว่าดีไหม
ในมุมมอง เรื่องความปลอดภัย อาจจะดี ขึ้น หรือแย่ลง เพราะถ้าโทรหาย
จะทำอย่างไร …… ผมก็คิดได้ไม่สุด รู้แต่ว่า มันขาดความยืดหยุ่น ต่อผู้ใช้งาน
ซัมซุง กับ แอปเปิล กำลังผูกขาดลูกค้า เพราะความยุ่งยาก เหล่านี้หรือป่าว
ตลกว่า แนวคิดมันจะซ้ำซ้อนกับ IMEI เลย
แค่ใหม่กว่า เจาะยากกว่าเท่านั้น
(วันไหนเจาะได้มีหนาวแน่ๆ อยู่ๆจะได้บิลค่าโทรมหาโหด โดยที่เราไม่ได้ใช้)
ในแง่การใช้งาน เห็นด้วยกับคุณ mewzira เลยว่าไม่สะดวก คือ
วันนี้ใช้เครื่องนึง พรุ่งนี้จะใช้อีกเครื่องนึง – ก็ไม่ได้
โดยเฉพาะกรณีเครื่องเสียกระทันหัน จะถอดซิมเอาไปใส่เครื่องสำรองทันทีไม่ได้ ต้องไปรายงานตัวกับ Operator ก่อน
ไปร้านซื้อมือถือมาใหม่ จะใส่ซิมเดิม ใช้ได้ทันที – ก็ไม่ได้ ต้องเอามือถือใหม่ไปรายงานตัวกับ Operator ก่อน
ฯลฯ
ใช้หลายเบอร์จะทำไงนี้