Galaxy AI ของฝั่ง Samsung เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในฟีเจอร์ที่เข้ามาพลิกหน้าวงการสมาร์ทโฟน เป็นหนึ่งในผู้เปิดประตูให้เข้าสู่ยุค AI Phone อย่างเป็นทางการ และในงาน WWDC 2024 ผ่านมา Apple ก็ไม่ยอมตกขบวน โดยได้เปิดตัว Apple Intelligence ฟีเจอร์ AI ที่เปิดให้ใช้ครอบคลุมทั้งบน iPhone, iPad และ macOS เราเลยลองจับ AI จากทั้งสองฝั่งมาเปรียบเทียบให้ดูกันว่าทั้งสองค่าย มีอะไรที่เหมือน หรือต่างกันยังไงบ้าง

เทียบ AI จาก 2 แบรนด์มือถือ Apple และ Samsung ในแต่ละด้าน

เทียบฟีเจอร์ AI ด้านการเขียน

ฝั่ง Apple 

Apple Intelligence ที่เพิ่งเปิดตัวออกมานั้น เปิดตัวมากับไฮไลต์ฟีเจอร์ที่ส่วนใหญ่ที่มุ่งเน้นไปในด้านการเขียนเป็นหลัก ซึ่งฟีเจอร์ชูโรงตัวแรกที่เปิดตัวออกมานั่นก็คือ AI Writing Tools เพียงแค่เพียงคลุมดำตัวหนังสือที่เราพิมพ์ ก็ให้ AI ช่วยทำได้ทั้ง

  • Proofread ช่วยตรวจภาษา แกรมม่า โครงสร้างประโยค การเลือกคำให้ถูกต้อง
  • Rewrite ช่วยปรับการเขียน เปลี่ยนโทนการเขียนได้ 3 แบบ เป็นกันเอง, สุภาพ หรือย่อให้สั้นกระชับขึ้น
  • Transform ช่วยสรุปการเขียนให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น เปลี่ยนแปลงได้ทั้งหมด 4 รูปแบบ
    • สรุปให้สั้นลง
    • สรุปย่อยเป็นประเด็นเด่น ๆ
    • สรุปเป็นลิสต์ Bullet Point 
    • สรุปข้อมูลเป็นตาราง

ส่วนเรื่องแอปที่รองรับฟีเจอร์ AI Writing Tools จะสามารถใช้งานได้กับแอปที่ Apple พัฒนาเองอย่าง Notes, KeyNote, Mail, Pages หรือแอป Third Party ที่ผู้พัฒนานำเครื่องมือ API TextView ของ Apple นำไปใช้งาน แต่ในช่วงแรกจะยัง รองรับแค่ภาษาเดียวคือ ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน แต่ในอนาคตมีแผนว่าจะเปิดให้รองรับในอีกหลาย ๆ ภาษาภายในปี 2025

ฝั่ง Samsung 

Galaxy AI ของฝั่ง Samsung ก็เรียกได้ว่ารองรับฟีเจอร์ด้านการเขียนด้วยเช่นกัน โดยจะติดตั้งมาทั้งใน Samsung Keyboard และใน Samsung Notes โดยฟีเจอร์ AI บนคีย์บอร์ดนั้นจะเน้นไปที่การช่วยตอบแช็ตสั้น ๆ อย่าง Chat Assist ที่มีฟีเจอร์ทั้ง

  • Chat Translation การแปลแช็ตเป็นอีกภาษา
  • Writing Style ช่วยเปลี่ยนโทนการเขียนได้
  • Spelling and Grammar ตรวจแกรมม่า แก้คำผิดก่อนส่ง

แต่สำหรับการเขียนที่มีตัวหนังสือยาว ๆ เกิน 200 ตัวอักษรขึ้นไป ในแอป Samsung Notes ก็มีฟีเจอร์ AI ที่รองรับการเขียนแบบยาว ๆ เช่น

  • Summarize ช่วยสรุปเนื้อหาให้สั้นลง
  • Auto Format สรุปประเด็นเด่นเป็นหัวข้อ ย่อยเนื้อหาเป็น Bullet Point ช่วยให้อ่านง่าย 
  • Spelling ช่วยตรวจคำผิด

เทียบฟีเจอร์ AI ด้านการสื่อสาร

ฝั่ง Apple 

Apple Intelligence ณ ตอนนี้แทบจะยังไม่มีฟีเจอร์ที่เน้นไปในด้านการสื่อสารเลย อย่างมากเท่าที่ทำได้ตอนนี้มีเพียงแต่ฟีเจอร์บันทึกเสียงขณะโทร และถอดเทประหว่างคุยออกมาเป็นตัวหนังสือ และสรุปเนื้อหาการโทรเท่านั้น และแน่นอนว่าปัจจุบันยังรองรับแค่เฉพาะภาษาอังกฤษอยู่ ทำให้การใช้งานในบ้านเรานั้น ยังค่อนข้างจำกัดมาก ๆ ซึ่งในอนาคตหากรองรับภาษาอื่น ๆ เพิ่มเติมแล้ว น่าจะมีฟีเจอร์เพิ่มเข้ามามากกว่านี้

ฝั่ง Samsung 

Galaxy AI บนมือถือ Samsung นั้น เนื่องจากได้เปรียบมากกว่าในเรื่องการรองรับภาษา ทำให้ฟีเจอร์สำหรับการสื่อสารนั้นค่อนข้างเยอะกว่า ใช้งานได้หลายรูปแบบ เช่น

  • Interpreter ช่วยเป็นล่ามแปลภาษา พูดใส่มือถือแล้ว ก็จะช่วยแปลเป็นอีกภาษาได้ทันที
  • Call Assist ช่วยถอดคำพูด แปลภาษาขณะโทร แปลงเป็นภาษาที่แต่ละฝ่ายเข้าใจแบบ Real-Time  

เทียบฟีเจอร์ AI ในด้านการทำงาน (Productivity)

ฝั่ง Apple 

ในเรื่องของการทำงานนั้น Apple จะค่อนข้างเน้นไปที่เรื่องการเขียนอ่าน สรุป และ แก้ภาษาตามที่เราได้เขียนไว้ใน AI Writing Tools นอกจากนี้ในแอป Notes ยังมีอีกหลากหลายฟีเจอร์ AI ที่เพิ่มขีดความสามารถในการทำงานให้สะดวกยิ่งขึ้น อย่างฟีเจอร์ Math Note ที่รองรับการแก้โจทย์เลขจากลายมือ ใช้งานร่วมกับ Apple Pencil 

  • เขียนโจทย์ลงไปตรง ๆ คำตอบจะออกมาอัตโนมัติ หลังเครื่องหมายเท่ากับ (‘=’)
  • รองรับการแก้โจทย์จากสมการ
  • รองรับการสร้างกราฟจากสมการ
  • คำตอบและกราฟ อัปเดตแบบเรียลไทม์ ถ้ามีการเปลี่ยนแปลงตัวเลขในสมการหรือในโจทย์ คำตอบและกราฟจะเปลี่ยนตามทันที

นอกจากนี้ผู้ใช้งานสามารถจดโน้ต ไปพร้อม ๆ กับการอัดเสียงได้ ซึ่งในระหว่างการอัดเสียงนั้น Apple Intelligence ก็จะช่วยถอดเสียงบันทึกเป็นตัวหนังสือให้เราพร้อม ๆ กัน อีกทั้งยังช่วยสรุปให้เราอ่านสั้น ๆ ว่าเนื้อหาในคลาส หรือการประชุมนั้น ๆ มีใจความหลักว่าอะไร เพื่อให้เรากลับไปทบทวนได้สะดวก

Apple ยังมีการนำระบบ Priority ใช้ AI ช่วยเรียงลำดับความสำคัญของการแจ้งเตือน ถ้าสมมุติว่าในกรุ๊ปแชตทำงานจะมีการพูดคุยอยู่ตลอดเวลาจนตามไม่ทัน ระบบก็จะสรุปเนื้อหาสำคัญมาให้ในการแจ้งเตือน และสมมุติว่ามีการนัดหมายอะไรด่วน ๆ ระบบก็จะคัดการแจ้งเตือนมาให้เห็นก่อนทันที

นอกจากนี้ Apple ยังได้นำระบบ Priority มาใช้กับแอป Mail ด้วยเช่นกัน โดยจะวิเคราะห์ และดึงอีเมลที่สำคัญ ๆ ขึ้นมาให้เราเห็นก่อน เมื่อกดเข้าไปดูจะสรุปใจความสำคัญในอีเมลให้ และถ้าจะตอบก็มีระบบ Smart Reply ช่วยแนะนำคำตอบให้ทันที แถมยังระบุคำถามในอีเมลเพื่อให้สามารถตอบได้แบบครบถ้วนด้วย

ส่วนการท่องโลกหาข้อมูลบน Safari ฝั่ง Apple ก็มาพร้อมกับระบบ Spotlight ใน Read Mode ที่สามารถสรุปเนื้อหาทั้งหมดบนหน้าเว็บไซต์ที่เราอ่านมาสั้น ๆ พร้อมเรียบเรียงสารบัญตาม Heading ให้เรากดอ่านได้ง่าย ๆ อีกทั้งยังสามารถดึงข้อมูลการติดต่อจากหน้าเว็บไซต์ ให้เราโทรติดต่อ หรือดูตำแหน่งผ่าน Apple Maps ได้ทันที

ฝั่ง Samsung 

Galaxy AI มากับฟีเจอร์ที่ช่วยในเรื่องการทำงานที่หลากหลายกว่าพอสมควร นอกจากใน Samsung Notes ที่สามารถ สรุปเนื้อหา ปรับแก้ตรวจทาน และ แปลภาษาได้ในตัวแล้ว ยังมีฟีเจอร์อย่าง Note Assist (เฉพาะ Galaxy S Ultra Series) ที่สามารถแปลงลายมือที่เราเขียนหนังสือให้สวยขึ้น ตรงแถวมากขึ้น หรือจะแปลงให้เป็นตัวพิมพ์ก็ทำได้ทันที 

ส่วนการแก้โจทย์คณิตศาสตร์นั้น Google ก็เพิ่งอัปเดตฟีเจอร์ดังกล่าวให้กับ Circle to Search เพียงแค่เราวาดนิ้ว วงโจทย์คณิตศาสตร์ที่เราไม่เข้าใจ  เพื่อให้ AI ช่วยสอนอธิบายแบบทีละขั้นตอน ทั้งโจทย์คณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ วิเคราะห์ข้อมูลที่มีความซับซ้อนในรูปแบบสูตรสัญลักษณ์ แผนภูมิไดอะแกรม กราฟ และอื่น ๆ ได้อย่างละเอียด

อีกหนึ่งแอปที่รองรับงาน Productivity ได้แบบแจ่ม ๆ คือแอปบันทึกเสียง หรือ Voice Recorder ที่มีฟีเจอร์อย่าง Transcription + Translation แปลงเสียงบันทึกเป็นตัวหนังสือสคริปต์ แยกผู้พูดในห้องประชุมได้หลายคน พร้อมแปลภาษาให้เลยทันที อีกทั้งยังมี Summary ที่สามารถสรุปเนื้อหาประชุมให้ทันทีเหมือนมีเลขาส่วนตัว 

นอกจากนี้หากใช้งาน Samsung Internet เป็นเบราว์เซอร์ท่องเว็บแล้ว ยังมีระบบ Browser Assist ให้ Galaxy AI ช่วยสรุปเนื้อหาบนหน้าเว็บได้ด้วยเช่นกัน ซึ่งจะสรุปออกมาให้เป็น Bullet Point อ่านง่าย ใจความครบ และสามารถกดแปลเป็นภาษาที่เราต้องการได้

เทียบฟีเจอร์ AI ด้านภาพ

ฝั่ง Apple 

ณ ตอนนี้ในบรรดา AI Phone ทั้งหมดในตลาด Apple Intelligence ถือไพ่ใบเหนือที่สุดในด้าน Image Generative เพราะให้มาติดมากับ OS เลย ไม่ต้องดาวน์โหลดเพิ่ม โดยฟีเจอร์ที่ Apple ได้มีการเปิดตัวออกมามีทั้ง

Image Playground

สามารถใช้ AI Generate ภาพบุคคลสนุก ๆ โดยอิงจากใบหน้าของเรา หรือรูปใบหน้าของเพื่อน ๆ ในสไตล์ลายเส้นแบบ การ์ตูนแอนิเมชัน, ภาพสเก็ตช์ หรือภาพวาดสวย ๆ สามารถเลือกธีมที่ Apple เซ็ตมาให้ในการเจเนอเรต หรือจะพิมพ์ Prompt อธิบายภาพที่เราอยากได้เองก็ได้ โดยฟีเจอร์นี้จะถูกฝังมากับแอป iMessage, Keynote, Freeform, และ Pages บน iOS18 เวอร์ชั่นใหม่ และมีแอปแยก Stand Alone ให้ดาวน์โหลดไปใช้งานด้วย

Image Wand

ในแอป Notes จะมาพร้อมกับเครื่องมือ Apple Pencil ใหม่ที่มีชื่อว่า Image Wand ที่เมื่อเราวงภาพวาดที่เราร่างเอาไว้ AI ก็จะช่วยเปลี่ยนภาพสเกตช์ธรรมดา ให้กลายเป็นภาพสวย ๆ สำหรับใช้ประกอบการจดโน้ตให้น่าอ่านมากยิ่งขึ้น

Genmoji 

ฟีเจอร์ Genmoji เป็นฟีเจอร์ Generative AI สนุก ๆ ที่ฝังมากับระบบคีย์บอร์ดบน iOS 18 เราสามารถสร้างอีโมจิใหม่ ๆ ได้เพียงแค่กรอก Prompt เพื่อนำอีโมจิมาผสมกันเพื่อให้ได้รีแอคชันใหม่ ๆ ไว้ใช้ส่งหาเพื่อน อีกทั้งสามารถใช้ภาพตัวเรา หรือภาพเพื่อนเราเพื่อนำไปเจเนอเรตเป็นอีโมจิใหม่ที่หน้าตาคล้ายเราก็ได้เช่นกัน 

Clean Up Tool

ในแอป Photo บน iOS 18 มีฟีเจอร์ใหม่อย่าง Clean Up Tool ที่เปรียบเสมือนยางลบ ลบวัตถุส่วนเกิน หรือคนที่ไม่ต้องการออกจากภาพ พร้อมเติมฉากหลังให้แบบเนียน ๆ โดยที่ไม่พลาดไปโดนวัตถุหลักในภาพ

ฝั่ง Samsung

สำหรับฝั่ง Samsung นั้นอาจจะไม่ได้มีฟีเจอร์ Generate ภาพที่โหดเท่าฝั่ง Apple เพราะส่วนใหญ่จะเน้นใช้ AI ในการตกแต่งภาพถ่ายให้ตรงใจมากกว่า เช่น

Generative Edit

Generative Edit เป็นฟีเจอร์ลบวัตถุที่เหนือกว่าฟีเจอร์ยางลบ AI ของค่ายอื่น ๆ เพราะนอกจากเราจะลบวัตถุที่เราไม่ต้องการออกจากภาพได้แล้ว แล้วยังสามารถเคลื่อนย้ายวัตถุ ขยายวัตถุไปยังส่วนอื่น ๆ ของภาพ แถมยังสามารถ Generate วัตถุเพิ่มเติมเข้าไปในภาพได้ทันที 

Edit Suggestion

ฟีเจอร์ Edit Suggestion เป็นฟีเจอร์ AI ที่อยู่ในแอป Gallery โดยจะคอยเป็นผู้ช่วยแนะปรับแก้รูปต่าง ๆ ให้ เพียงแค่กดปุ่ม Details (i) หลังจากนั้น Galaxy AI ก็จะสแกนรูปภาพพร้อมแนะนำการแก้ในโหมดต่าง ๆ ให้ทันที เช่น

  • Remaster ปรับรายละเอียดในภาพให้ชัดเจนด้วย AI แก้สีภาพให้ดูดีขึ้น
  • Erase shadows ลบเงาต่าง ๆ ในภาพในกรณีที่แสงไม่เป็นใจ
  • Erase Reflections ลดแสงสะท้อนในภาพ เวลาที่ถ่ายกับวัตถุเช่น กระจก หรือวัสดุพลาสติกใสที่มักจะมีเงาสะท้อนออกมาเวลาเจอแสงจ้า ๆ 

Enhance-X

ถึงแม้ว่าจะไม่ใช้ฟีเจอร์ หรือแอปที่ติดมากับระบบ แต่มือถือ Samsung Galaxy ก็สามารถดาวน์โหลดแอป X-Enhance ที่ช่วยปรับแก้ภาพได้ด้วยพลัง AI มาใช้งานได้บน Galaxy Store โดยสามารถปรับระดับ HDR, แก้ความสว่าง, แก้ไขเบลอ, คมชัด, ลบเงา และแสงสะท้อน รวมไปถึงการปรับผิวหรือใบหน้าก็ทำให้ดูเป็นธรรมชาติมากขึ้น นอกจากนี้ยังมี 5 ฟีเจอร์ที่เพิ่งเพิ่มเข้ามาใน OneUI 6 อย่าง

  • Sky Guide ช่วยวาดดาวฤกษ์ด้วย AI
  • Clean Lens ถ่ายรูปตอนเลนส์หมอง แก้รูปให้ชัดได้
  • Slow-mo ใช้ AI แทรกเฟรมปรับวิดีโอธรรมดาให้เป็นวิดีโอสโลว์โมชัน
  • แปลงวิดีโอสั้น ๆ เป็นภาพ Long Exposure ได้
  • Single Take แคปช็อตสวย ๆ จากวิดีโอได้ในพริบตา

Instant Slow-mo

Instant Slow-mo เป็นฟีเจอร์ AI ที่ช่วยเปลี่ยนการดูวิดีโอธรรมดา ๆ เป็นวิดีโอแบบ Slow Motion โดยระบบจะทำการ Generate และแทรกเฟรมลงไปในตัววิดีโอภายในชั่วพริบตาเพียงแค่กดหน้าจอค้างไว้ในขณะดูวิดีโอใน Gallery เท่านั้น ซึ่งฟีเจอร์นี้จะช่วยให้แคปรูปภาพจากวิดีโอได้ง่าย ๆ โดยไม่ต้องกรอหน้า กรอหลังให้เสียเวลา

AI Wallpaper Generator

แต่ก็มีฟีเจอร์ที่น่าสนใจอย่าง Generative Wallpaper ที่ติดมากับ Android 14 สามารถสร้างภาพวอลล์เปเปอร์ AI ได้จาก ธีม และชุดคำสั่ง Preset Prompt ที่ทาง Google กำหนด ซึ่งถ้าหากเราถูกใจภาพไหนก็กด Set ภาพดังกล่าวเพื่อตั้งเป็นภาพหน้าจอได้เลย

ส่วนฟีเจอร์ Genmoji นั้น ฝั่งของ Samsung รวมถึงมือถือรุ่นอื่น ๆ ก็มีฟีเจอร์ที่พอทดแทนกันไปได้ Emoji Kitchen บนคีย์บอร์ด สามารถผสมผสานอีโมจิ 2 ตัวให้ได้เป็นอีโมจิอารมณ์ใหม่ ๆ ที่ไม่มีในระบบ แต่ Emoji ที่นำมาผสมกันรูปแบบต่าง ๆ นั้น เป็น Emoji แบบ Preset ที่ทาง Google ออกแบบมาให้อยู่แล้ว ไม่ได้ใช้ระบบ AI ในการสร้างภาพแต่อย่างใด ทำให้สร้างอีโมจิใหม่ได้ไม่ครอบคลุมเท่าที่ควร

เทียบฟีเจอร์ AI ด้านผู้ช่วยอัจฉริยะ

ฝั่ง Apple

Apple Intelligence นั้นเรียกได้ว่ามาเพื่อเสริมความเก่งของ Siri โดยเฉพาะ สามารถเข้าใจภาษา และโต้ตอบได้อย่างเป็นธรรมชาติ แม้พูดผิดหรือเปลี่ยนคำสั่งกลางคันก็ยังทำงานได้ หรือจะพิมพ์สั่งการเหมือน Chatbot ก็ได้ด้วยเช่นกัน 

นอกจากนี้ Siri ยังรู้จักผู้ใช้งานได้ดี สามารถดึงข้อมูลผู้ใช้งานทั้งรูปภาพ โน้ต หรือเอกสารต่าง ๆ ขึ้นมาใช้ Generate เป็นคำตอบ สามารถจดจำคำสั่งเก่า เข้าใจสิ่งที่อยู่บนหน้าจอ และสั่งการข้ามแอปได้อย่างลื่นไหล จะสั่งการงานรูทีน หรือถามในสิ่งที่เราไม่รู้ Siri คนใหม่ก็เข้ามาช่วยได้แบบไร้รอยต่อ เรียกได้อย่างเต็มปากว่าเป็นผู้ช่วยอัจฉริยะอย่างแท้จริง

ฝั่ง Samsung

ถึงแม้ว่า Bixby ตอนนี้จะค่อย ๆ ลดบทบาทตัวเองไป แต่มือถือ Samsung Galaxy ก็สามารถตั้งค่านำ Gemini จาก Google มาใช้เป็นผู้ช่วย AI อัจฉริยะควบคู่ไปกับ Google Assistant ได้ หากสงสัยเรื่องไหนก็เรียก Gemini ขึ้นมาช่วยหาคำตอบ ส่วนงานรูทีนเช่น ตั้งนาฬิกาปลุกหรือนาฬิกาจับเวลา, สั่งให้โทรออกและส่งข้อความ  หรือควบคุมอุปกรณ์สมาร์ทโฮม ระบบก็จะสลับไปใช้ Google Assistant ได้ทันที

แต่ทั้งนี้ Gemini ยังมีข้อจำกัดที่ด้อยกว่า Siri เวอร์ชั่นใหม่ ที่ยังไม่สามารถสั่งการแบบ Cross-App ข้ามไปมาสลับแอปได้เหมือนกับ Apple ซึ่งในอนาคตอาจจะต้องรออัปเดตให้ทัดเทียมกับฝั่ง Apple กันอีกที

อุปกรณ์ที่รองรับ

เช็กรุ่น iPhone, iPad, Macbook, Mac, MacStudio ที่ได้ใช้ AI Apple Intelligence สุดล้ำจาก Apple

เบื้องต้น Apple Intelligence จะรองรับเฉพาะอุปกรณ์ที่ใช้ชิป A17 Pro สำหรับ iPhone และ M1 ขึ้นไปสำหรับ iPad และสินค้ากลุ่ม Mac เท่านั้น รวมถึงน่าจะต้องมี RAM 8GB ขึ้นไป ทำให้อุปกรณ์ที่รองรับ AI ของ Apple ยังค่อนข้างน้อย ฝั่ง iPhone ก็มีเพียงแต่ iPhone 15 Pro Series เท่านั้นที่รองรับฟีเจอร์ดังกล่าว

กลับกันฝั่งของ Galaxy AI นั้น ทาง Samsung ค่อนข้างใจกว้าง เปิดให้มือถือรุ่นเก่า ๆ ตั้งแต่ Galaxy S22 Series, Galaxy Z Flip4 และ Z Fold4 รวมไปถึง Galaxy Tab S8 Series ให้ได้ใช้งานกันแบบครบ ๆ แต่บางฟีเจอร์ที่ต้องเน้นความแรงของตัวชิปในการประมวลผล AI แบบ On-Device จะมีการสงวนให้เฉพาะ Galaxy S24 Series เท่านั้น 

สรุปการเปรียบเทียบระหว่าง Apple Intelligence กับ Samsung Galaxy AI

ตอนนี้หากจะเทียบเรื่องความเก่งกาจ และความถูกต้องของข้อมูลจาก Apple Intelligence อาจจะยังสรุปไม่ได้ว่าจะทำออกมาได้เทียบเท่ากับฝั่ง Galaxy AI รึเปล่า เพราะตอนนี้ยังไม่ได้เปิดให้ผู้ใช้งานได้ลองใช้กันอย่างเป็นทางการ

แต่ถ้าดูจากฟีเจอร์ที่ทาง Apple นำมาอวดแล้ว  Apple Intelligence จะค่อนข้างเด่นในเรื่องของการ Generative รูปภาพ และงานเอกสารต่าง ๆ รวมถึงผู้ช่วยอัจฉริยะ Siri ที่ค่อนข้างเก่งกาจ เป็น AI ที่เข้ามาคอยช่วยจัดการชีวิตประจำวันได้อย่างแท้จริง

ส่วนฝั่ง Galaxy AI นั้นจะค่อนข้างเด่นในเรื่องของงาน Productivity ที่เข้ามาช่วยในการทำงานอย่างจริงจัง ทั้งถอดสคริปต์ประชุม สรุปข้อมูลต่าง ๆ ช่วยคิด เขียนร่างไอเดีย เปรียบเสมือนเป็นเลขาส่วนตัว อีกทั้งยังมีความรู้ด้านภาษาที่ค่อนข้างกว้างกว่า รองรับการใช้งานใน 16 ภาษา และอีกหลายสำเนียงถิ่น ทำให้เพิ่มความสามารถด้านการแปลมาอีกมากมาย ในขณะที่ฝั่ง Apple จะรองรับแค่เฉพาะภาษาอังกฤษก่อนเท่านั้น 

ต้องมารอดูกันต่อไปว่า หลังจากที่ Apple ได้เปิดให้ใช้ AI ของตัวเองอย่างเป็นทางการช่วงปลายปี 2024 จะสามารถใช้งานได้ดีกว่าฟีเจอร์ AI Phone จากมือถือแบรนด์อื่น ๆ ได้รึเปล่า ส่วนฝั่ง Google Gemini และ Galaxy AI จะสร้างประสบการณ์การใช้งาน AI แบบ Cross App ได้แจ่มเท่าฝั่ง Apple หรือไม่ แต่ที่แน่ ๆ  ต่อจากนี้ไปสังเวียน AI Phone จะร้อนแรงขึ้นมามาก ๆ เลยทีเดียว