Apple ยกขบวนสมาร์ทโฟนซีรีส์ iPhone 13 มาเปิดตัวอย่างเป็นทางการ มาครบ 4 รุ่น ทั้ง iPhone 13 mini, iPhone 13, iPhone 13 Pro และ iPhone 13 Pro Max ไม่มีรุ่นไหนโดนตัดออกตามที่เป็นข่าวลือ มาพร้อมกับชิปเซตตัวใหม่ A15 Bionic ยัดระบบกันสั่นในเซนเซอร์มาให้ในกล้องหลักทุกรุ่น โดย iPhone 13 Pro และ 13 Pro Max จะได้หน้าจอ ProMotion 120Hz ด้วย ความจุเริ่มต้นขยับขึ้นเป็น 128GB ราคาเริ่มต้นเท่าเดิม 25,900 บาท
ข้อมูล iPhone 13 mini | iPhone 13 – หน้าตาคล้ายเดิม มีกันสั่นบนเซนเซอร์ในกล้องหลักแล้ว
ดีไซน์โดยรวมของ iPhone 13 mini และ iPhone 13 ยังคล้าย ๆ เดิม จุดแตกต่างที่สังเกตได้ชัด ๆ มีเพียงแค่การจัดวางกล้องหลังที่เปลี่ยนจากแนวตั้งเป็นแนวทแยง โดยรอบนี้มากับกล้องหลัก 12MP ที่ Apple เคลมว่า ด้วยรูรับแสงที่กว้างและขนาดพิกเซลที่ใหญ่ จึงไวแสงมากขึ้น 47% และมีระบบกันสั่นฝังมาในตัวเซนเซอร์แล้ว (sensor-shift OIS) เสริมด้วยกล้องอัลตราไวด์ 12MP มุมกว้าง 120 องศา
โหมด Cinematic สลับจุดโฟกัสเนียน… ราวกับกล้องโปร
มีฟีเจอร์ใหม่ที่น่าสนใจมาก ๆ คือ โหมด Cinematic ซึ่งจะเป็นการเปลี่ยนตำแหน่งโฟกัสจากวัตถุหนึ่งไปสู่อีกวัตถุหนึ่งขณะถ่ายวิดีโออย่างนุ่มนวล อารมณ์เดียวกับเวลาเรากำลังดูหนังนั่นแหละครับ และเบื้องหลังจะมีการแทรกแผนที่ความลึกเข้าไปขณะถ่ายวิดีโอกับนำการเรียนรู้ของเครื่อง (ML) มาเสริมในโหมดนี้ด้วย ผลลัพธ์ที่ตามมา คือ สามารถปรับระยะชัดลึกได้แบบเรียลไทม์ ซึ่งยังไม่เคยมีสมาร์ทโฟนรุ่นไหนที่ทำได้มาก่อน
ออกแบบโครงสร้างภายในใหม่ แบตอึดกว่าเดิม กันน้ำ IP68
Apple ได้ออกแบบโครงสร้างภายในของ iPhone 13 mini และ 13 มาใหม่ ทำให้สามารถยัดแบตเตอรี่เข้าไปได้มากกว่าเดิม โดยสามารถใช้งานได้ยาวนานขึ้น 1.5 และ 2.5 ชั่วโมง ตามลำดับ อีกทั้งยังสามารถกันน้ำและฝุ่นได้ตามมาตรฐาน IP68 ด้วย …แต่ไม่ยอมบอกความจุแบตเตอรี่เหมือนเดิม (ฮา)
ชิป A15 Bionic โคตรแรงทั้งซีพัยูและจีพียู พร้อมหน่วยประมวลผลภาพตัวใหม่
อีกหนึ่งจุดที่เป็นไฮไลต์คือ ชิปตัวใหม่ A15 Bionic ซีพียู 6 แกน ความเร็วสัญญาณนาฬิกาเพิ่มขึ้น 50% ในขณะที่จีพียู 4 แกน ทรงพลังขึ้น 30% นอกจากนี้ยังมีการอัปเกรดคอร์ย่อย ๆ อีกบางส่วน เช่น หน่วยประมวลผลภาพกับเอนจินหน้าจอตัวใหม่ เทคโนโลยีการเข้าและถอดรหัสวิดีโอแบบใหม่ เป็นต้น
หน้าจอขนาดเท่าเดิม แต่สว่างมากขึ้นและรอยบากเล็กลง
ทั้งนี้ จอภาพของ iPhone 13 mini และ iPhone 13 ยังคงเป็น Super Retina XDR ในขนาด 5.4 และ 6.1 นิ้ว เท่าเดิมเป๊ะ ! แต่ปรับปรุงความสว่างให้ดีขึ้น 28% ดันได้สูงสุด 1200 นิต สำหรับการแสดงผลคอนเทนต์ HDR ครับ อ้อ ! รอยบากด้านบนก็เล็กลงด้วยนะ เพราะ Apple ขยับช่องลำโพงสนทนาขึ้นไปให้อยู่สูงกว่าเดิม น่าจะช่วยให้รู้สึกเกะกะสายตาน้อยลงได้บ้าง ไม่มากก็น้อย
สเปค iPhone 13 mini | iPhone 13
- จอภาพ : Super Retina XDR ขนาด 5.4 นิ้ว ; 6 นิ้ว
– ความละเอียด 2340 x 1080 พิกเซล ; 2532 x 1170 พิกเซล
– รองรับการแสดงผล HDR
– รองรับเทคโนโลยี True Tone
– คอนทราสต์เรโช 2,000,000:1
– ความสว่างปกติ 800 นิต
– ความสว่างสูงสุด 1200 นิต - ชิป : Apple A15 Bionic
– CPU 6 แกน
– GPU 4 แกน
– Neural Engine 16 แกน - ความจุ : 128, 256, 512GB
- กล้องหลัง :
– กล้องหลัก 12MP, รูรับแสง f/1.6, ซูมออปติคัล 2 เท่า, ซูมดิจิทัล 5 เท่า, ระบบกันสั่นในเซนเซอร์ (sensor‑shift OIS)
– กล้องอัลตราไวด์ 12MP, รูรับแสง f/2.4, มุมกว้าง 120 องศา - กล้องหน้า : 12MP
- สี : ชมพู น้ำเงิน ดำ ขาว แดง
ข้อมูล iPhone 13 Pro | 13 Pro Max – อัปเกรดกล้องหลังครั้งใหญ่ ใช้โหมดกลางคืนได้ทุกเลนส์
สำหรับ iPhone 13 Pro และ 13 Pro Max มีการเปลี่ยนแปลงในระดับเมเจอร์ คือ กล้องหลังที่คราวนี้มีชุดโมดูลขนาดมหึมามาก ๆ เรียกได้ว่า กินพื้นที่แนวกว้างมาแทบจะ 50% ของตัวเครื่องเลย ใหญ่ที่สุดเท่าที่ Apple เคยใส่มา (แต่ไม่ได้บอกขนาดเซนเซอร์ภาพที่ชัดเจนนะ) โดยกล้องหลังทั้ง 3 ตัวจะมีความละเอียด 12MP เท่ากัน และเป็นครั้งแรกที่สามารถใช้งานโหมดกลางคืนได้ทุกเลนส์ ที่น่าสนใจคือ กล้องอัลตราไวด์ที่ถ่ายในที่แสงน้อยได้ดีขึ้น 92% แถมยังมีระยะโฟกัสใกล้สุดเพียง 2 ซม. ใช้งานเป็นเลนส์มาโครในตัวได้เลย และกล้องเทเลโฟโตจะมีระยะโฟกัสเทียบเท่า 77 มม. หรือคิดเป็น 3 เท่าสำหรับการซูมออปติคัลจากเลนส์ปกติ
ชิป A15 Bionic เหมือนกัน แต่เพิ่มจีพียูเป็น 5 แกน แรงที่สุดในโลก
ไส้ในขับเคลื่อนด้วยชิป A15 Bionic เช่นเดียวกับ iPhone 13 mini และ 13 แต่เหนือกว่าเล็กน้อยตรงจีพียูที่มีเพิ่มเข้ามาอีก 1 แกน รวมทั้งหมดเป็น 5 แกน จึงมีความสามารถในการประมวลผลกราฟิกที่เหนือกว่าอยู่อีกระดับหนึ่ง หรือคิดเป็น 50% หากเทียบกับรุ่นก่อน และเพื่อให้ตอบรับกับ ProRes ที่เป็นฟีเจอร์การถ่ายวิดีโอแบบใหม่ด้วย โดย Apple กล่าวว่า นี่เป็นจีพียูของสมาร์ทโฟนที่โหดที่สุด ณ ตอนนี้เลย
ฟีเจอร์การถ่ายภาพและวิดีโอใหม่ ProRes, Photographic Styles และ Smart HDR 4
- Smart HDR 4 – เป็นการผสานการทำงานร่วมกันระหว่างภาคฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ คือ ชิปประมวลผลภาพตัวใหม่ที่อยู่ในชิป A15 Bionic พลังแห่งปัญญาประดิษฐ์ (AI) และการเรียนรู้ของเครื่อง (ML) โดยสามารถจำแนกบุคคลในภาพถ่ายเดียวกันได้มากถึง 4 คน และปรับแต่งความสว่าง สมดุลสีขาว คอนทราสต์ ได้อย่างเหมาะสมโดยอัตโนมัติ
- Photographic Styles – เปรียบเสมือนเป็นฟิลเตอร์ระดับแอดวานซ์ เพราะไม่ใช่แค่การซ้อนเลเยอร์สีเข้าไปอีก 1 ชั้นแบบง่าย ๆ หากแต่ระบบสามารถทำความเข้าใจเกี่ยวกับอังค์ประกอบในภาพ ณ ขณะนั้นได้อย่างลึกซึ้ง จึงสามารถปรับแต่งโทนสีโดยที่ไม่กระทบต่อสกินโทนได้แบบเรียลไทม์
- ProRes – จะมอบเวิร์กโฟลว์ระดับโปรตั้งแต่ต้นจนจบการทำงาน ตั้งแต่ขั้นตอนการบันทึกวิดีโอไปจนถึงขั้นตอนการตัดต่อเลย เพราะเป็นฟอร์แมตที่มีการบีบอัดข้อมูลน้อย จึงปรับแต่งหรือเกลี่ยสีในภายหลังได้อย่างยืดหยุ่น (ปีที่แล้วมี ProRAW สำหรับภาพนิ่ง ปีนี้เลยมี ProRes สำหรับ วิดีโอบ้าง เยี่ยมไปเลย)
จอภาพ 120Hz แบบไดนามิก ลื่นปรื๊ด… ไม่น้อยหน้าคู่แข่งอีกต่อไป
iPhone 13 Pro และ 13 Pro Max มาพร้อมกับหน้าจอ Super Retina XDR เวอร์ชันตีบวก เสริมเทคโนโลยี ProMotion เข้ามา ทำให้สามารถแสดงผลได้เนียนกริบ สูงสุด 120Hz และจะเป็นการทำงานในลักษณะไดนามิกคือ อัตรารีเฟรชแบบแปรผันตามคอนเทนต์ที่กำลังแสดงผล ต่ำสุด 10Hz เพื่อช่วยในการประหยัดพลังงานนั่นเอง
สเปค iPhone 13 Pro | 13 Pro Max
- จอภาพ : Super Retina XDR ขนาด 6.1 นิ้ว ; 6.7 นิ้ว
– เทคโนโลยี ProMotion อัตรารีเฟรชไดนามิก 10 – 120Hz
– ความละเอียด 2532 x 1170 พิกเซล ; 2778 x 1284 พิกเซล
– รองรับการแสดงผล HDR
– รองรับเทคโนโลยี True Tone
– คอนทราสต์เรโช 2,000,000:1
– ความสว่างปกติ 1000 นิต
– ความสว่างสูงสุด 1200 นิต - ชิป : Apple A15 Bionic
– CPU 6 แกน
– GPU 5 แกน
– Neural Engine 16 แกน - ความจุ : 128, 256, 512GB, 1TB
- กล้องหลัง :
– กล้องหลัก 12MP, รูรับแสง f/1.5, ระบบกันสั่นในเซนเซอร์ (sensor‑shift OIS)
– กล้องอัลตราไวด์ 12MP, รูรับแสง f/1.8, มุมกว้าง 120 องศา, ระยะโฟกัสใกล้สุด 2 ซม.
– กล้องเทเลโฟโต 12MP, รูรับแสง f/2.8 , ทางยาวโฟกัส 77 มม., ซูมออปติคัล 3 เท่า
– เซนเซอร์ LiDAR - กล้องหน้า : 12MP
- สี : ดำ ทอง เงิน น้ำเงิน
ราคาและการวางจำหน่าย iPhone 13 ทุกรุ่น
- iPhone 13 mini – ราคาเริ่มต้น 25,900 บาท
- iPhone 13 – ราคาเริ่มต้น 29,900 บาท
- iPhone 13 Pro – ราคาเริ่มต้น 38,900 บาท
- iPhone 13 Pro Max – ราคาเริ่มต้น 42,900 บาท
เบื้องต้น Apple เริ่มเปิดให้ประเทศกลุ่มแรกพรีออร์เดอร์ iPhone 13 ทุกรุ่นตั้งแต่วันที่ 17 กันยายน 2564 และจะเริ่มจัดส่งสินค้าในอีก 1 สัปดาห์ถัดไป ส่วนประเทศไทยของเรานั้น จะเริ่มเปิดให้พรีออร์เดอร์วันที่ 1 ตุลาคม 2564 ครับ
เปิดราคาและวันวางจำหน่าย iPhone 13 อย่างเป็นทางการของประเทศไทย ทั้ง 4 รุ่น เริ่มต้น 25,900 บาท
ทำไม 13 pro max เมือง ก็ขายเริ่มต้น 1099 $ เท่ากับตัว 12 pro max แต่ราคาในไทยถึงแพงกว่าเดิมหลายพันบาทครับ