ขึ้นชื่อว่าเป็นคนที่ชอบ Android แล้วความใฝ่ฝันอย่างนึงที่อยากมีสักครั้ง ก็คือการได้เข้าร่วมงาน WWDC หรือ Worldwide Developers Conference ของทาง Apple… (#ผิด มันต้องเป็น Google I/O ที่กำลังจะจัดขึ้นช่วงปลายเดือนมิถุนายนนี้ต่างหากเฟ้ย!!)

ก็เหมือนโชคชะตาเล่นตลก อะไรที่เราอยากได้อะไรมักจะไม่ได้ ไม่อยากได้อะไรมักจะได้ เมื่อนายอู๋ @spin9 แห่ง Digilife หนึ่งในผู้โชคดีที่ได้สิทธิ์เสียเงินกว่า 5 หมื่นบาทเพื่อเข้าร่วมงาน WWDC 2014 ได้โทรมาถามว่าสนใจจะไปเกรียนในงานประจำปีของเหล่าสาวกหรือเปล่า

หลังจากคิดได้ไม่นาน คำตอบที่ให้ไปก็คือ…ไปก็ไปวะ

ดังนั้น…วันนี้เดี๋ยวผมจะพาไปทัวร์งาน WWDC 2014 ที่อยู่นอกเหนือจากงานเปิดตัว แชร์ให้เพื่อนๆได้รู้กันว่าบรรยากาศที่ไปอยู่ท่ามกลางสาวกที่มารวมตัวกันจากทั่วโลกนั้นเป็นอย่างไร

งาน WWDC 2014 มีขึ้นในวันจันทร์ที่ 2 มิถุนายน 2014 ทำให้ผมและ @spin9 ต้องออกเดินทางกันตั้งแต่วันเสาร์เพื่อไปให้ถึงอเมริกาก่อนวันงานสักวันให้ร่างกายได้พักผ่อน ซึ่งหลายๆคนน่าจะพอทราบกันดีอยู่แล้วว่าการบินจากไทยไปอเมริกาช่างเป็นอะไรที่ยาวนาน และเหนื่อยเป็นที่สุด แต่เพื่องานใหญ่ของแบรนด์สุดที่รักแล้ว แค่นี้จิ๊บๆ!! #เหรอ

ขอตัดเรื่องราวของการเดินทางไป วาร์ปมาถึงวันอาทิตย์ วันก่อนงาน WWDC ซึ่งคนมีสิทธิ์เข้างานสามารถไปรับ Badge หรือป้ายห้อยคอเพื่อแสดงสิทธิ์เข้างานในวันรุ่งขึ้น จะได้ไม่ต้องมาวุ่นวายกับการลงทะเบียนให้เสียเวลา

Moscone West Convention Center – ศูนย์การประชุมที่เมื่อมีงานใหญ่ๆของซานฟรานส์หรือเมืองใกล้เคียงก็มักจะมาจัดที่นี่กัน รวมถึง Google I/O ที่กำลังจะมีขึ้นปลายเดือนนี้ก็มาจัดที่นี่ด้วยเช่นกัน

     

ชักภาพเป็นที่ระลึกสักหน่อย (สีมันรุ้งมวากกกกกก)


ในช่วงเวลางาน WWDC ฝั่งตรงข้าม Moscone (อ่านว่า มอสโคนี่) จะถูกประดับตกแต่งไปด้วยป้ายของงาน

มองจากด้านในก็ดูสวยอลังการดีแท้

หน้าตาของ Badge เป็นประมาณนี้ ดูเบสิคไม่มีอะไรหวือหวาเท่าไหร่ ซึ่งแจกมาพร้อมกับบัตรกำนัลมูลค่า $25 ให้เอาไปซื้อของจากร้าน Company Store ชั้น 2 ของงานได้ แต่ดูท่าว่าน่าจะมีคนไม่ใช้กันเยอะ เก็บบัตรไว้เป็นที่ระลึกแทนกันหมด (ก็มันสวยนี่นา)

Company Store ของงานจะมีสินค้า เช่น เสื้อยืด กระเป๋า ของชำร่วยที่แปะโลโก้ Apple เอาไว้มาขาย ซึ่งก็มีคนซื้อไปเยอะ ของแทบหมดกันแล้ว ซึ่งเปิดขายในวันที่ 2 ของงานเป็นวันแรก

โหลดแอพของงาน WWDC 2014 จาก App Store มาจะดูรายละเอียดของ session แต่ละวันซะหน่อย ได้ข้อมูลเยอะเลย….#แสรดดดด

หลังจากรับ Badge เข้างานแล้ว เราก็ออกมาเดินเล่นนู่นนี่ เที่ยวไปในซานฟราน ซึ่งแถบริมๆติดอ่าวจะมีสถานที่ให้เที่ยวมากมาย ทั้ง Pier 39,  Fishermans Wharf, Ghirardelli Square, Palace of Fine Arts รวมถึง สะพาน Golden Gate อันลือชื่อ… เอ๊ะ ไม่ใช่ Blog นำเที่ยว San Francisco นี่นา ข้ามๆๆๆ


สถานที่ที่บอกมาข้างต้น เป็นที่ที่คนมาซานฟรานต้องไปเดินสักครั้ง (แม้ว่ามันอาจจะดูไม่มีอะไรเท่าไหร่ก็ตาม)

แต่แม้ว่าจะหมดแรงกับเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเล และเดินชมเมืองเป็นเวลาหลายชั่วโมง อาการ Jet Lag ที่ทำให้ร่างกายปั่นป่วน แม้เวลาจะล่วงเลยไปถึงตีสอง ตาก็ยังสว่างไม่มีอาการง่วงแต่อย่างใด ผมและ spin9 จึงตกลงกันว่าจะลองเดินไปที่งานดูลาดเลาสักหน่อยว่ามีสาวกมากันมากน้อยแค่ไหนแล้ว

แต่ถึงกับต้องตะลึงเมื่องเห็นคนมาต่อแถวรอคิดกันกว่า 250 คน ตอนเวลาตีสาม และยังเห็นเดินมาเรื่อยๆ

มาดูกันดีกว่าว่าในแถวของคนที่มาต่อคิวเข้างาน WWDC ตั้งแต่ตีสามเนี่ย เป็นยังไงบ้าง

เหล่า Noob มือใหม่ที่เพิ่งมางาน และต่อแถวตั้งแต่เช้ามืดเป็นครั้งแรก ก็ยืนขาแข็งกันไปตามระเบียบ ต่างจากเหล่าขาประจำที่มากันบ่อยแล้วจะมีการเตรียมเก้าอี้มานั่งกันสบายใจเฉิบ สู้อากาศเย็นๆ 10℃ กันชิวๆ

ส่วนทีมนี้แบบว่าจริงจังมาก มีการเตรียมฟูกมานอนกันเลยทีเดียว

เดินไปหัวแถว เจอคนที่มาต่อคิวเป็นคนแรกและคนที่สาม เลยขอชักภาพร่วมด้วยเป็นที่ระลึก ซึ่งทั้งสองคนพูดคุยด้วยอัถยาศัยดีมาก เห็นว่ามาเริ่มต่อแถวตั้งแต่ตอน “บ่ายสองของเมื่อวาน” มางาน WWDC เป็นครั้งที่ 4-5 แล้ว และทุกครั้งก็จะมาต่อแถวข้ามวันข้ามคืนแบบนี้ ด้วยเหตุผลว่าปีละครั้ง มันได้อารมณ์ดี ถ้ามีการพูดถึงอุปกรณ์อื่นที่ไม่ใช่ Apple ก็จะส่ายหน้าพร้อมแซะขำๆแบบอารมณ์ดี ตามสไตล์สาวกชั้นสูง

หลังจากสนทนาพาทีอยู่ได้สักพักก็ต้องรีบจากมา เพราะว่าทั้งสองได้ให้คำแนะนำว่าให้รีบไปต่อแถว เพราะว่าถ้ามาช้าเกินไปได้ลำดับท้ายๆ อาจไม่ได้เข้าชม Keynote ในห้องใหญ่ได้ เพราะว่าห้องมันเต็ม และจะโดนอัปเปหิไปดูถ่ายทอดที่ห้องอื่นแทน!!?! 

ได้ยินอย่างงั้นก็รีบวิ่งกลับบ้านไปเอาของแทบไม่ทัน เพราะถ้าเกิดว่านาย @spin9 ที่มีตั๋วเข้างาน มาถึงที่นี่แล้วต้องไปดูถ่ายทอดสด Keynote อีกห้องนี่ก็คงอนาถแท้

เวลาประมาณตีห้า ผมและspin9 ก็ได้กลับมาถึงแถวอีกครั้ง พร้อมความยาวของแถวที่ยาวขึ้นกว่าเดิมมาราวๆ 2-3 เท่า และยาวขึ้นเป็น 5-6 เท่าเมื่อเวลาผ่านไปอีกชม.นึง จนแถวต้องขดเป็นงู ให้มันไม่ยาวจนไปรบกวนตึกอื่นๆ

หัวแถวคือปลายเส้นด้านซ้าย ลากยาวๆขึ้นไปจนถึงปลายด้านขวา แล้วก็ต้องขดแถวไปมาเพื่อไม่ให้แถวมันยาวเกินไป

ระหว่างต่อแถวจะมีเหล่าพ่อค้าหัวใส เดินมาขายกาแฟอุ่นๆ รวมถึงเหล่า App Marketer ทั้งหลายมาเสนอตัวให้เหล่า Developer ได้เลือกใช้งาน เป็นพาร์ทเนอร์กันได้ในอนาคต (ไม่มีรูปของคนเหล่านี้นะ เพราะยืนขาแข็ง มือสั่นจากอากาศที่หนาวๆ และลมพัดมาอย่างแรง >__<)

ตัดมาตอนเช้า ราวๆ 8โมง ออแกไนเซอร์จัดงานก็เริ่มเรียกเหล่าผู้ร่วมงานมายืนรวมแถวกันให้เป็นระเบียบ เพื่อเดินเข้าไปในอาคาร ประชากรเหล่า Developer ราว 2-3000 คนก็ต่อแถวเรียงรายกันเยอะมาก ต้องใช้เวลาราวๆ 1 ชม.กว่าๆถึงจะทยอยนำเอาคนเหล่านี้เข้าอาคารไปได้ทั้งหมด

ด้านนอกของงานจะรถส่งสัญญานของ CNN มายิงภาพสดอยู่

สำหรับ Blog เล่าเรื่องงาน WWDC ขอตัดจบเพียงเท่านี้ก่อน แล้วเดี๋ยวมาต่อเป็นตอนถัดไปให้ ไม่งั้นจะยาวเกิดไป แล้วในตอนหน้า เดี๋ยวเรามาส่องกันว่าภายในงาน WWDC จะเป็นอย่างไรครับ


เรื่องพิเศษของตอนแรก

มีเรื่องเกรียนๆขำๆของคนที่ซานฟรานต่องาน WWDC เกิดขึ้นสองครั้ง

ครั้งแรก เมื่อตอนที่ผมเพิ่งเดินไปถึงที่งานตอนตี 3 ระหว่างที่ยืนคุยๆกับคนที่มาต่อคิวอยู่นั้น ก็มีรถสีดำคันนึงวิ่งมาจากด้านค้าง ซึ่งพอเลี้ยงตรงหัวโค้งของถนนปั๊บ ก็ตะโกนออกมาอย่างสุดเสียงว่า

“ANDROID”!!!

แล้วก็เหยียบคันเร่ง บึ่งรถจากไปก่อนจะโดนเขวี้ยงของใส่

เหล่าสาวกก็ทำหน้างงๆ บ่นกับบ่นกันเบาๆตามหลังรถคันนั้นไปว่า…Asshole


 

ครั้งที่สอง ตอนต่อแถวราวๆตีห้า ระหว่างที่ยืนขาแข็ง นิ้วชา มีคนดำคนนึงขับจักรยานมาด้อมๆมองๆเหล่าคนที่ต่อแถว ทำหน้างงๆได้สักพักก็เอ่ยปากถามคนที่ยืนอยู่

นายคนดำ : “นี่มีงานอะไรเหรอ?”
สาวก : “งาน Apple Conference”
นายคนดำ : 555555 ต่อคิวกันไข่แข็งเลย ตรูขอใช้ Samsung สบายๆดีกว่า

แล้วแกก็ปั่นจักรยานจากไป…

บทสนทนานี้ผมไม่ได้แปลมาเป๊ะๆแต่ก็อารมณ์ประมาณนี้แหละนะ ซึ่งก็ไม่ต้องสงสัยไปว่าทำไมต้อง Samsung เพราะที่อเมริกาตอนนี้มีเพียง Samsung แบรนด์เดียวเท่านั้นแหละที่ตีตลาด Apple เข้าไปหาที่ยืนได้  

สองเรื่องนี้ทำให้เรารู้ว่าคนอเมริกันนี่มันก็เกรียนใช้ได้เลย แต่ว่ามีความแอดวานซ์กว่าตรงที่มาเกรียนถึงสถานที่จริง ไม่ใช่แค่สิงอยู่หลังคีย์บอร์ดเท่านั้น

เดี๋ยวเจอกันตอนที่ 2 ครับ 😀

ตอนที่สองมาแล้ว ไปเดินดูภายในงาน WWDC 2014 – After party – และความรู้สึกต่องานนี้กันได้เลย