ASUS ตอกฝาโลงสยบข่าวลือที่ว่าจะยุบแผนก Zenfone อย่างเป็นทางการ โดยการเปิดตัว Zenfone 11 Ultra ในวันนี้ – กลับมารอบนี้ ASUS เลิกสวนกระแสทำมือถือจอเล็ก หันมาทำมือถือจอใหญ่ที่แมสกว่าแทน ชูจุดเด่นด้านการถ่ายภาพ ด้วยระบบกันสั่น gimbal OIS ที่สืบทอดมาจากรุ่นก่อน พร้อมแบตเตอรี่ขนาดใหญ่สำหรับการใช้งานยาวนานตลอดวัน และที่ขาดไม่ได้คือ ปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI ตามเทรนด์เทคโนโลยีโลก

นอกเหนือจาก Zenfone 11 Ultra จะเป็นการกลับมาทำมือถือจอใหญ่ในรอบหลายปีของ ASUS แล้ว (ไม่นับ ROG ที่อยู่คนละไลน์สินค้าและแยกกันทำตลาด) รุ่นนี้ยังใส่กล้องหลังมาให้ 3 ตัวเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2021 อีกด้วย โดยรุ่นสุดท้ายก่อนหน้านี้ที่ได้กล้องหลัง 3 ตัว ต้องย้อนกลับไปถึง Zenfone 8 Flip

Zenfone 11 Ultra มากับหน้าจอ OLED ขนาด 6.78 นิ้ว อัตรารีเฟรชสูงสุดปกติจะอยู่ที่ 120Hz แต่สามารถเพิ่มได้เป็น 144Hz ในโหมดเกม และสามารถลงต่ำได้มากถึง 1Hz กรณีอยู่ในโหมด Always-On display (AOD) ขณะปิดหน้าจอ ตัวพาเนลทำความสว่างสูงสุดได้ 2,500 นิต รองรับการแสดงผล HDR10 และมีขอบเขตสีกว้างถึง 107% ของ DCI-P3 ตามมาตรฐานอุตสาหกรรมภาพยนตร์

ภายใน Zenfone 11 Ultra ขับเคลื่อนด้วยชิปเซตตัวท็อป Snapdragon 8 Gen 3 หน่วยความจำและสตอเรจเป็นแบบความเร็วสูงทั้งคู่ คือ LPDDR5x และ UFS 4.0 ตามลำดับ ความจุสูงสุดที่มีให้เลือก คือ 16 + 512GB

กล้องหลังทั้ง 3 ตัวของ Zenfone 11 Ultra ประกอบด้วยกล้องหลัก 50MP มีกันสั่น gimbal OIS แบบไฮบริด ที่มีประสิทธิภาพกันสั่นได้ 6 แกน ขนาบข้างด้วยกล้องอัลตราไวด์ 13MP มุมกว้าง 120 องศา จุดเด่นเพิ่มเติมคือ เลนส์เป็นเลนส์ free-form ที่ปรับแก้ความบิดเบี้ยวของภาพในระดับฮาร์ดแวร์ และปิดท้ายด้วยกล้องเทเลโฟโต 32MP ระยะซูมออปติคัล 3 เท่า ส่วนกล้องหน้ามีความละเอียด 32MP บนเซนเซอร์แบบ RGBW ที่รับแสงได้ดี

ในแง่ของฟีเจอร์ด้าน AI ที่ Zenfone 11 Ultra นำเสนอ มีดังนี้

  • ตัดเสียงรบกวนขณะสนทนาด้วย AI
  • ถอดเสียงเป็นข้อความด้วย AI
  • แปลภาษาขณะคุยโทรศัพท์ด้วย AI
  • สร้างวอลเปเปอร์ด้วย AI

ของใหม่อีกอย่างคือ เครื่องมือ AI Semantic Search สำหรับการค้นหาสิ่งต่าง ๆ บนเครื่อง เช่น สามารถพิมพ์ว่า ‘food in Thailand last year’ เพื่อค้นหาภาพอาหารที่ถ่ายในประเทศไทยเมื่อปีที่ผ่านมาได้

สเปค Zenfone 11 Ultra

  • จอภาพ Flexible AMOLED ขนาด 6.78 นิ้ว
    • ความละเอียด 2,400 x 1,080 พิกเซล
    • อัตรารีเฟรช 1 ~ 120Hz (สูงสุด 144Hz ในโหมดเกม)
    • ความสว่างกลางแจ้ง 1,600 นิต
    • ความสว่างสูงสุด 2,500 นิต
    • ขอบเขตสี 107% ของ DCI-P3
    • รองรับ HDR10
    • กระจก Gorrilla Glass Victus 2
  • ชิปเซต Snapdragon 8 Gen 3
  • หน่วยความจำ LPDDR5x 12 / 16GB
  • สตอเรจ UFS 4.0 256 / 512GB
  • กล้องหลัง
    • กล้องหลัก 50MP (𝑓/1.9), ระบบกันสั่น gimbal OIS
    • กล้องอัลตราไวด์ 13MP, มุมกว้าง 120 องศา, เลนส์ free-form
    • กล้องเทเลโฟโต 32MP (𝑓/2.4), ซูมออปติคัล 3 เท่า, ระบบกันสั่น OIS
  • กล้องหน้า 32MP, เซนเซอร์ RGBW
  • ลำโพงสเตอรีโอ
    • รองรับ Hi-Res Audio
    • รองรับ Dirac Virtuo for Headphone Spatial Sound
  • เครือข่าย 5G
  • การเชื่อมต่อ
    • Wi-Fi 802.11a/b/g/n/ac/ax/be
    • Bluetooth 5.4
    • NFC
    • ช่องหูฟัง 3.5 มม.
  • เซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือ (ใต้หน้าจอ)
  • แบตเตอรี่ 5,500 mAh
    • รองรับชาร์จไว 65W
    • รองรับชาร์จไร้สาย 15W
  • ระบบปฏิบัติการ Android 14
  • ทนน้ำทนฝุ่น IP68
  • ขนาด 163.8 x 76.8 x 8.9 มม.
  • น้ำหนัก 225 กรัม

ราคาและการวางจำหน่าย

Zenfone 11 Ultra เปิดราคาในต่างประเทศที่ 999 ยูโร หรือประมาณ 39,000 บาท ตัวเครื่องมีให้เลือกมากถึง 4 สี คือ Eternal Black, Misty Grey, Skyline Blue และ Desert Sand แต่จากการตรวจสอบข้อมูลเบื้องต้นพบว่า Zenfone 11 Ultra ไม่มีรายชื่ออยู่ในฐานข้อมูลของสำนักงาน กสทช. จึงเป็นไปได้ว่าอาจไม่ได้เข้ามาวางจำหน่ายในประเทศไทย ถึงแม้ในงานเปิดตัวจะใช้ ‘ประเทศไทย’ และ ‘กรุงเทพฯ’ ในการนำเสนอฟีเจอร์บางส่วนด้วยก็ตาม (ตามภาพด้านบน)