เชื่อว่าใคร ๆ ก็น่าจะคุ้นตาโลโก้อักษรตัว “B” สีแดงร้อนแรงที่ใคร ๆ ได้ใช้ก็บอกเลยว่าดูดีมีสไตล์แน่นอน ซึ่งวันนี้ DroidSans ก็ขอนำเอาหูฟังไร้สายแบบคล้องคออย่าง Beats Flex มาทดลองให้ทุกคนได้อ่านกันว่ามันจะมีดีแค่ไหน โดยหูฟังรุ่นนี้มาพร้อมกับฟีเจอร์เอาใจทั้งสายออกกำลังกาย หรือจะใส่ฟังเพลงเฉย ๆ ก็ไม่ว่ากัน ด้วยแบตเตอรี่สุดอึดใช้งานได้ยาวนาน วัสดุที่ทนทานใช้งานได้ทุกรูปแบบ แถมยังมากับราคาที่จับต้องได้ไม่ยากด้วย

ดีไซน์ และการสวมใส่

โลโก้ Beats ที่แดงอันเป็นเอกลักษณ์

หูฟัง Beats โดยทั่วไปก็จะมีรูปแบบในการดีไซน์ที่ค่อนข้างเป็นเอกลักษณ์อยู่แล้ว ด้วยโลโก้ตัว “B” สีแดงที่หน้าตาคุ้นเคยกันดี โดยหูฟังที่ Droidsans ได้มารีวิวในวันนี้เป็นสีดำแบบ Classic ตัดกับสีแดงบนตัว B สุดเท่ โดยหูฟังรุ่น Beats Flex มาในรูปแบบของหูฟัง In-ear ที่มีจุกยางให้เลือกหลายขนาดตามไซส์รูหูของแต่ละคน ซึ่งจะมีผลต่อการฟังมาก ๆ เพราะหูฟังตัวนี้ไม่มีระบบตัดเสียงรบกวน ANC นั่นเอง แต่ในที่แถมมาก็จะมีจุกหูฟังแบบ Double Flange มาให้ด้วยซึ่งจากที่ลองแล้วสามารถป้องกันเสียงภายนอกได้ค่อนข้างดีเลยล่ะครับ

ตัวหูฟังมีขนาดที่เล็กพอสมควร ซึ่งหลาย ๆ คนทั้งผู้หญิงผู้ชายก็น่าจะสามารถใส่ Beats Flex ได้ไม่มีปัญหาแน่นอน อีกทั้งรอบ ๆ ตัวหูฟังยังไม่มีมุม ไม่มีขอบที่เป็นเหลี่ยมคมหรือรอยต่อเลย ทำให้สามารถใส่ได้เป็นเวลานาน ๆ ไม่รู้สึกกดทับให้เจ็บหรือระคายเคือง

ตัวท่อส่งเสียงมีระยะที่ไม่ยาวมาก ทำให้ตัวหูฟังไม่ได้เข้าไปในรูหูลึกจนเกินไป แถมตัวท่อหูฟังยังเอียงขึ้นประมาณ 30 องศา เพื่อให้สามารถสอดเข้าหูได้สบายขึ้นนั่นเอง แต่มีข้อสังเกตอยู่ที่ข้อต่อที่ตัวหูฟังมีรูปร่างแบน ๆ ซึ่งจากประสบการณ์แล้วเป็นส่วนที่เสียหายได้ง่ายดายมากที่สุดจากอาการสายหักในนั่นเองครับ

ถัดมาดูที่สายหูฟังซึ่งเป็นที่มาของชื่อรุ่น “Flex” กันบ้าง สายที่คล้องคอไปด้านหลังจะแบ่งเป็น 2 ส่วนหลัก ๆ ได้แก่สายที่เชื่อมตัวหูฟังไปที่ปุ่มควบคุม กับสายที่คล้องคออ้อมไปด้านหลัง ซึ่งสายที่เป็นส่วนคล้องคอมีการคงรูปทรงเอาไว้ดีมาก ๆ จะงอจะบิดยังไงก็สามารถเด้งกลับมาเข้ารูปเหมือนเดิมได้เสมอแม้จะม้วนเก็บใส่กระเป๋าไว้ แถมยังมีความหนาเป็นพิเศษจับแล้วรู้สึกทนทานพอสมควร

 

การเชื่อมต่อกับ iPhone

Beats Flex ตัวนี้มีรายละเอียดเขียนมาที่กล่องอยู่แล้วว่า Made for Apple TV, iPhone และ iPad โดยเฉพาะซึ่งก็เป็นแบบนั้นจริง ๆ เพราะการเปิดใช้งาน Beats Flex ใกล้ ๆ อุปกรณ์ Apple ปุ๊บ ตัวเมนูสำหรับเชื่อมต่อหูฟังจะโผล่ขึ้นมาให้เห็นโดยอัตโนมัติ เป็นเพราะว่าหูฟัง Beats Flex มาพร้อมกับชิป W1 ที่เคยใส่ใน AirPods รุ่นแรก ทำให้การเชื่อมต่อมีความเสถียรต่อเนื่องเมื่อใช้งานกับอุปกรณ์ Apple นั่นเอง

 

การเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ Android

สำหรับใครที่ใช้งานมือถือ Android ก็ต้องทำความเข้าใจกันก่อนว่ามันก็สามารถทำได้เหมือนกันนะครับ แต่ชิป W1 ที่ใส่มาใน Beats Flex นั้นถูกดีไซน์ออกมาเพื่อใช้งานกับอุปกรณ์ Apple เป็นพิเศษ เพราะฉะนั้นเรื่องคุณภาพความเสถียรเรื่องการเชื่อมต่อก็อาจจะด้อยกว่าฝั่ง Apple อยู่แล้ว แต่ทาง Beats เค้าก็ไม่ได้นิ่งดูดาย เพราะมีแอปพลิเคชั่น Beats เพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถปรับแต่งฟีเจอร์หูฟังได้ผ่านแอปพลิเคชั่นโดยตรง ซึ่งจะมีการตั้งค่าการสั่งงานต่าง ๆ ครับ

 

การควบคุม

Beats Flex สามารถใช้งานฟีเจอร์ในการควบคุมได้ตามปกติเหมือนกับหูฟังประเภท Neck-band ทั่วไปที่จะเอาแผงควบคุมทั้งหมดมาวางไว้ที่ปุ่มทางซ้ายของสายหูฟัง ประกอบไปด้วยปุ่มเพิ่มเสียงลดเสียง และปุ่ม Play/Pause แบบปกติ เอาไว้ใช้ควบคุมการฟังเพลง หรือรับโทรศัพท์ได้

 

เชื่อมต่ออัตโนมัติเมื่อแยกหูฟังออกจากกัน

ด้วยความที่ตัวหูฟังไม่ได้มีกระเป๋าหรือเคสมาให้ ดูจากการออกแบบก็เลยสรุปได้ว่า Beats Flex เหมาะกับการใช้งานแบบคล้องคอไว้เมื่อไม่ใช้งาน โดยตัวหูฟังทั้ง 2 ข้าง จะมีแม่เหล็กเอาไว้ดูดกันเพื่อล็อคเอาไว้ และเมื่อเราแยกหูฟังออกจากกันมันก็จะเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ให้อัตโนมัติ และหากเอาหูฟังทั้ง 2 ข้างมาดูดติดกัน มันก็จะตัดการเชื่อมต่อทันทีเพื่อเป็นการประหยัดแบตเตอรี่เวลาไม่ได้ใช้งงานนั่นเองครับ

นอกจากนี้ Beats Flex ยังมีฟีเจอร์รับสายโทรศัพท์อัตโนมัติได้เพียงแค่แยกหูฟังออกจากกัน แถมไมค์ที่ติดมาก็เสียงดังฟังชัดมีคุณภาพ สามารถสนทนาได้อย่างไม่มีปัญหาเลย

 

ดูหนัง เล่นเกมแทบไม่ดีเลย์

ถัดมาในเรื่องของการใช้งานทั่วไปเช่นการดู YouTube Netflix รวมไปถึงเล่นเกม เจ้า Beats Flex ก็สามารถใช้งานได้ตามปกติแทบไม่มีอาการดีเลย์ของเสียงให้หงุดหงิดเลย แถมเสียงก็ดังฟังชัด และย่านเบสยังเข้ามาช่วยให้เสียงระเบิดให้ความรู้สึกที่กระหึ่มได้อารมณ์เหมือนดูหนังอยู่ในโรง เรียกว่าเหมาะทั้งฟังเพลง เล่นเกม ดูหนังเลยล่ะครับ

 

แบตเตอรี่

ในเรื่องของแบตเตอรี่ก็ถือว่าทำออกมาได้ดีทีเดียว ซึ่งจากการใช้งานทั้งสัปดาห์แบบหยิบเอามาใช้ระหว่างเดินทางหรือทำงานเป็นบางครั้งก็บอกได้เลยว่าใช้งานได้อึดจริง โดยจากหน้า Specs เคลมว่าสามารถฟังเพลงได้ต่อเนื่องถึง 12 ขั่วโมงต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง และสามารถฟังได้ถึง 1 ชั่วโมงครึ่งจากการชาร์จเพียง 10 นาทีเท่านั้น ถือว่าเหมาะกับผู้ใช้งานที่ต้องการพกหูฟังซักคู่ไปทำกิจกรรมต่าง ๆ แบบไม่ต้องกังวลว่าแบตจะหมดระหว่างใช้งาน ส่วนการชาร์จจะทำผ่านพอร์ต USB-C ที่มีสายแถมมาให้ในกล่องครับ

 

คุณภาพเสียง

คราวนี้ก็ลองมาพูดในเรื่องของเสียงกันบ้าง ถ้าใครเคยใช้งานหูฟัง Beats ส่วนใหญ่น่าจะคุ้นเคยกับ Sound Signature ที่เน้นเบสตึ้บ ๆ ฟังสนุก ๆ ซึ่ง Beats Flex ตัวนี้ก็ไม่ผิดหวังเช่นเคย เพราะเนื้อเสียงมาพร้อมเบสที่แน่นลึกคมชัดฟังสนุก ไม่ว่าจะเป็นเพลงแนว Hip-hop หรือ R&B ก็ทำออกมาได้ดีสมราคามาก ๆ เหมาะกับการฟังตอนออกกำลังกายเป็นที่สุด

ส่วนสาย Acoustic หรือเพลงฟังสบาย ๆ ก็ทำออกมาได้ไม่เลวเลยทีเดียว สามารถแยกชิ้นเครื่องดนตรีได้ดีเกินคาดมาก ๆ เสียงกลางมีความคมชัดอยู่ด้านหน้า ๆ หน่อยตามสูตรหูฟังแนว Pop ทั่วไป ทำให้เสียงร้องเป็นตัวชูโรงที่สุด และยังพ่วงมาด้วยย่านเบสแบบใหญ่ ๆ มาเป็นตัวเสริม

แต่ต้องบอกว่าเสียงเบสของ Beats ไม่ใช่เบสที่กระชับเท่าไหร่ แต่ให้ฟีลลิ่งแบบอุ่น ๆ หลวม ๆ มากกว่า ทำให้เป็นหูฟังที่เหมาะกับการออกกำลังกายมากกว่า ซึ่งด้วยความที่เสียงเบสเยอะเป็นพิเศษ มันทำให้เสียงย่านต่ำที่ไม่ใช้กลองเช่น Sub-bass ดังสั่นขึ้นมากลบย่านอื่น ๆ เป็นบางครั้ง ซึ่งจะเจอบ่อยในเพลงแนว ๆ Electronic ที่มีการเลเยอร์เสียงทับกันเยอะ ๆ

แต่ต้องบอกเลยว่ามีหลายครั้งที่ผมประทับใจกับเสียงของ Beats Flex เมื่อเปลื่ยนเพลงฟังไปเรื่อย ๆ เช่นครั้งหนึ่งมาเจอกับเพลง Dreams ของ Chloe Moriondo ซึ่งเป็นเพลงแนว ๆ Indie Pop ที่มีเสียงส่วนใหญ่เป็นกีต้าร์ บวกกับเสียง Synth เบา ๆ ซึ่งเมื่อฟังเพลงที่ไม่มีเสียงเบสเยอะ ๆ กลับทำให้รู้สึกว่า Beats Flex สามารถขับเสียงเพลงที่มีความโปร่งใสได้ดีอยู่พอสมควรเลย เพียงแค่ตัวไดรเวอร์ถูกปรับจูนให้ขับเสียงเบสออกมามากกว่าปกติ ทำให้เสียงที่ได้มีความอุดอู้บ้างเป็นบางครั้ง แต่สุดท้ายแล้วก็ขึ้นอยู่กับความชอบอยู่ดีนะครับ

อีกเรื่องที่เป็นปัญหาหลัก ๆ ของหูฟังประเภทไร้สายที่ผมเจอบ่อย ๆ เลยก็จะเป็นเรื่องของกำลังในการขับเสียงที่ยังให้ความรู้สึกที่ไม่ดังเท่าที่ควร ซึ่งส่วนตัวเป็นคนฟังเพลงเสียงค่อนข้างดังอยู่แล้ว พอมาใช้งาน Beats Flex ก็ต้องบอกเลยว่าต้องเปิดเต็ม Volume จึงจะสามารถฟังได้แบบเต็มอรรถรส แต่ก็ต้องบอกจริง ๆ ว่าถ้าดังได้มากกว่านี้ก็จะดีมาก ๆ เลย  แต่จากที่ได้ลองกับฝั่ง Android กลับทีเสียงที่ดังกว่าฝั่ง iPhone อยู่เล็กน้อย

 

สรุป

ข้อดี

  • คุณภาพที่ได้คุ้มค่าคุ้มราคา
  • ดีไซน์คงความเป็น Beats ดูสวยเท่มีความพรีเมี่ยม
  • เนื้อเสียงโดยรวมฟังสนุก เหมาะกับการฟังออกกำลังกาย หรือทำกิจกรรมต่าง ๆ
  • แบตเตอรี่ใช้งานได้ยาวนาน พร้อมรองรับชาร์จไว
  • การเชื่อมต่อสามารถทำได้ง่ายดายโดยเฉพาะกับ iPhone
  • อุปกรณ์ในกล่องครบครัน ทั้งสาย และจุกหูฟังหลายไซส์ และแบบ Double Flange

ข้อสังเกตุ

  • หูฟังไม่มีเคสเก็บ – ด้วยความที่ Beats Flex เน้นการใช้งานแบบคล้องคอเป็นหลักทำให้ตัวหูฟังไม่มีกระผ้า หรือเคสมาให้ใช้งานด้วย ทำให้การพกพาอาจจะเป็นปัญหาอยู่พอควร แต่ตัวสายเป็นแบบเหลี่ยม ๆ ทำให้สายพันกันยากขึ้น แต่สุดท้ายแล้วก็เก็บยากอยู่ดีครับ
  • การเชื่อมต่อกับมือถือ Android ไม่ได้สะดวกเท่ากับ iPhone (เฉพาะครั้งแรกเท่านั้น)
  • ไม่มีมาตรฐาน IPX แต่ในเว็บ Apple ก็บอกว่ากันน้ำกันฝุ่นได้ระดับหนึ่ง
  • ไม่ฟีเจอร์จำพวก ANC หรือ Ambient Sound ซึ่งมีในหูฟังบางรุ่นในราคาระดับเดียวกัน

โดยรวม ๆ แล้วเราต้องทำความเข้าใจกันก่อนว่าหูฟัง Beats น้อยครั้งมาก ๆ ที่จะเปิดตัวออกมาในราคาต่ำกว่า 2,000 บาท เพื่อที่จะคงความพรีเมียมเอาไว้ แต่คราวนี้ Beats Flex ก็ได้พิสูจน์ให้เราได้เห็นแล้วว่าหูฟังที่ดี ฟังก์ชั่นแน่น ๆ ดีไซน์ดูดีมีราคาก็ไม่จำเป็นต้องแพงเสมอไป ซึ่ง Beats Flex ให้ฟีเจอร์ที่คุ้มค่าสมราคา พร้อมงานประกอบที่เนี้ยบแข็งแรง ด้วยลักษณะเสียงที่ฟังสนุกเหมาะกับการออกกำลังกายเป็นที่สุด สำหรับใครที่กำลังหาหูฟังไร้สายแบบคล้องคอ ฟีเจอร์แน่น ๆ เสียงฟังสนุก ต้องเอา Beats Flex ไปพิจารณาด้วยนะครับ 😍