ถ้าการมาของ iPhone ในปี 2007 คือเหตุการณ์สำคัญครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์วงการมือถือ การจุติของ Samsung Galaxy S รุ่นแรกในเดือนมีนาคมปี 2010 ก็ถือเป็นอีกเหตุการณ์หนึ่งที่ต้องบันทึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ด้วยเช่นกัน Galaxy S รุ่นแรกเกิดขึ้นมาเพื่อเป็นคู่แข่งของ iPhone โดยเฉพาะ ด้วยหน้าจอขนาด 4 นิ้วและกล้องความละเอียด 5 ล้านพิกเซล แต่ก็มีปัญหาเรื่องประสิทธิภาพ (lag) ชัดเจน จนในปี 2011 Galaxy S2 ก็ตามออกมาด้วยดีไซน์แบบใหม่และสเปกดีขึ้นทุกด้าน…อ่านต่อหลังเบรก

Galaxy S2 นั้นถือว่าพลิกหน้ากระดานให้คนหันมาสนใจ Samsung กันมากขึ้นด้วยราคาต่อสเปกตอนที่วางจำหน่ายถือว่าคุ้มค่าที่สุดในยุคนั้น ด้วย CPU แบบ Dual-core และกล้องความละเอียด 8 ล้านพิกเซล แถมยังได้รับรางวัล “สมาร์ทโฟนแห่งปี (Smartphone of the Year)” จากงาน MWC ในปีนั้นอีกด้วย ปีถัดมา Galaxy S3 ก็กำเนิดมาพร้อมกับหน้าจอ HD Super AMOLED และ TouchWiz Nature UX เพื่อสานต่อความสำเร็จของรุ่นพี่และ Samsung ก็สามารถประกาศศักดาเป็นผู้ผลิตสมาร์ทโฟนเพียงรายเดียวที่สามารถต่อกรกับ Apple ได้ 

รุ่นถัดมาอย่าง Galaxy S4 เปิดตัวมาพร้อม CPU แบบ Quad-core (ของไทยเป็น Octa-core) และกล้อง 13 ล้านพิกเซล ก็ยังคงประสบความสำเร็จด้วยยอดจำหน่ายมากถึง 40 ล้านเครื่องทั่วโลก ส่งผลให้ Samsung กลายเป็นผู้นำส่วนแบ่งตลาดสมาร์ทโฟน Android อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด แต่ “การได้แชมป์นั้นยากฉันใด การรักษาแชมป์นั้นยากกว่าฉันนั้น” เห็นได้จากขวบปีถัดมาที่ Samsung นำเสนอ Galaxy S5 ในเรื่องดีไซน์แบบใหม่และคุณภาพงานประกอบที่ดีขึ้น แถมยังสามารถกันน้ำกันฝุ่นได้ที่ระดับ IP67 อีกด้วย แต่เสียงตอบรับของมือถือรุ่นนี้กลับไม่เป็นไปอย่างที่คิด ทั้งการถูกวิจารณ์ในเรื่องดีไซน์ และยอดขายที่น้อยกว่าที่คาดไว้

มาในปีนี้ Samsung กลับมาอีกครั้งกับการคิดใหม่ทำใหม่เปิดตัว Galaxy S6 และ Galaxy S6 edge ที่เปลี่ยนทุกอย่างใหม่หมดจด ทั้งงานดีไซน์ที่สวยงามด้วยการใช้วัสดุเป็นโลหะและกระจก พร้อมนวัตกรรมจอโค้งใน S6 edge ที่เข้ากันได้อย่างลงตัว ไม่ต้องสงสัยเลยว่า นี่คือสมาร์ทโฟนที่สวยงามมากที่สุดเท่าที่ Samsung เคยสร้างมา เสียงตอบรับเป็นเครื่องชี้วัดได้เป็นอย่างดี เมื่อมีรายงานตอนนี้มียอดสั่งจองถึง 20 ล้านเครื่องแล้ว ทั้งที่ยังไม่ได้วางจำหน่ายเลย

ร่ายมาซะยาวลองมาดูภาพ infographic สวยๆที่แสดงถึงวิวัฒนาการของ Samsung Galaxy S ตั้งแต่รุ่นแรกถึงปัจจุบันกันดีกว่า

 Click เพื่อดูภาพใหญ่

 

ที่มา: MobileMadhouse ผ่าน SamMobile