Brother บริษัทผู้ผลิตเครื่องพิมพ์รายใหญ่ ถูกกล่าวหาว่ามีการอัปเดตเฟิร์มแวร์เพื่อบล็อกหรือทำให้คุณภาพการพิมพ์ด้อยลงหากผู้ใช้เลือกใช้โทนเนอร์ (ตลับหมึก) จากผู้ผลิตรายอื่น (non-OEM) แทนของแท้จาก Brother ข้อกล่าวหานี้ถูกเปิดเผยโดย Louis Rossmann นักเคลื่อนไหวด้านสิทธิในการซ่อมแซมและช่างอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งระบุว่าการอัปเดตดังกล่าวเกิดขึ้นโดยไม่มีการแจ้งเตือนล่วงหน้า

Rossmann เปิดเผยผ่านว่าหลังจากอัปเดตเฟิร์มแวร์ เครื่องพิมพ์ Brother บางรุ่นไม่สามารถใช้งานฟีเจอร์สำคัญ เช่น การปรับแต่งสี (color registration) ได้ หากไม่ได้ใช้โทนเนอร์ของแท้จากบริษัท แต่ถ้าหากเปลี่ยนมาใช้โทนเนอร์ Brother ฟีเจอร์เหล่านั้นจะสามารถใช้งานได้ตามปกติ

ชาวเน็ตหลายคนก็พบปัญหาเดียวกัน โดยมีรายงานว่าหลังจากอัปเดตเฟิร์มแวร์คุณภาพการพิมพ์แย่ลงเมื่อใช้โทนเนอร์จากผู้ผลิตรายอื่น แม้ว่าก่อนหน้านี้จะสามารถใช้งานได้ตามปกติ และที่สำคัญการย้อนกลับไปใช้เฟิร์มแวร์เวอร์ชันเก่าเป็นเรื่องยาก แม้แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคนิคยังระบุว่ากระบวนการนี้ทำได้ยากมาก

Rossmann ได้สอบถามไปยังฝ่ายสนับสนุนของ Brother และได้รับคำตอบว่าแนะนำให้ใช้โทนเนอร์ของแท้จากบริษัท เพื่อแก้ไขปัญหาคุณภาพการพิมพ์ ซึ่งเขามองว่าคำตอบนี้เป็นเพียงการตอบตามสคริปต์ของฝ่ายสนับสนุน มากกว่าที่จะเป็นการตอบคำถามตรง ๆ

กรณีของ Brother ทำให้หลายคนนึกถึง HP ซึ่งเคยถูกฟ้องร้องเรื่องเดียวกันมาก่อน HP เริ่มปิดกั้นการใช้หมึกจากผู้ผลิตรายอื่นตั้งแต่ปี 2016 และในบางกรณี บริษัทถึงกับต้องจ่ายค่าชดเชยให้ลูกค้าเพื่อยุติข้อพิพาทเกี่ยวกับ Dynamic Security Feature ซึ่งถูกเพิ่มเข้ามาในการอัปเดตเฟิร์มแวร์

ในเวลาต่อมา Brother ได้ออกแถลงการณ์ปฏิเสธข้อกล่าวหา โดยระบุว่า

  • เฟิร์มแวร์ของ Brother ไม่ได้บล็อกการใช้โทนเนอร์จากผู้ผลิตรายอื่น
  • การอัปเดตเฟิร์มแวร์มีเป้าหมายเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพและความปลอดภัยของเครื่องพิมพ์ ไม่ใช่เพื่อจำกัดทางเลือกของลูกค้า
  • บริษัทกำลังดำเนินการเพื่อแก้ไขข้อมูลที่ไม่ถูกต้องที่เผยแพร่ออกไป

แม้ว่า Brother จะปฏิเสธข้อกล่าวหา แต่ประเด็นนี้อาจกระทบต่อความไว้วางใจของลูกค้าและเพิ่มกระแสเรียกร้องเกี่ยวกับสิทธิในการซ่อมแซม (Right to Repair) ซึ่งกำลังได้รับความสนใจมากขึ้นทั่วโลก ทำให้หลายคนตั้งคำถามว่า Brother กำลังเดินรอยตาม HP หรือไม่ และยังมีผู้ใช้จำนวนไม่น้อยที่เริ่มมองหาทางเลือกอื่นแทนแบรนด์นี้

โดยรวมแล้ว ประเด็นนี้ยังคงเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ และต้องติดตามต่อไปว่า Brother จะมีการชี้แจงเพิ่มเติมหรือดำเนินการแก้ไขปัญหาอย่างไร

ที่มา : theregister

ภาพ : brother