อธิบดีกรมการขนส่งทางราง ได้มีการประชุมคณะกรรมการเพื่อเสนอโครงการลดค่าครองชีพให้กับชาวกรุง โดยเป็นการลดค่าเดินทางรถไฟฟ้าเฉลี่ย 40% ทั้งแบบรายเดือนและรายเที่ยวในช่วงเวลาคนใช้น้อยหรือ Off Peak เพื่อจูงใจให้มาใช้งานช่วงเวลานี้มากขึ้น และลดปริมาณคนในช่วงเร่งด่วน ซึ่งถ้าหากมีค่าโดยสารเกิน 15,000 บาท สามารถนำเงินมาลดหย่อนภาษีได้อีกด้วย คล้ายกับนโยบายช็อปช่วยชาติ

โดยมาตรการดังกล่าวทางคณะกรรมการจะมีการหารือกับกระทรวงการคลังในวันศุกร์ที่ 6 ก.ย. นี้ ก่อนที่จะเสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมและเข้า ครม. ในลำดับถัดไป ซึ่งหากมีการอนุมัติจริงๆ คาดว่าจะสามารถนำมาตรการนี้มาทดลองใช้ก่อน 3 เดือน ภายในเดือน ต.ค. 2019 นี้เป็นต้นไป

สำหรับมาตรการลดค่าครองชีพค่าโดยสารรถไฟฟ้าจะแบ่งออกเป็น 2 แบบคือ ลดราคาค่าโดยสารแบบรายเดือน และ ลดค่าโดยสารช่วง Off Peak  ซึ่งสามารถแบ่งประเภทตามชนิดรถโดยสายได้คือ

  • รถไฟฟ้าแอร์พอร์ตเรลลิงก์ (ARL) ปกติค่าโดยสารคนละ 15-45 บาท/เที่ยว เฉลี่ยต่อคนละ 31 บาท/เที่ยว เปลี่ยนเป็นตั๋วรายเดือนจะมีค่าโดยสารคนละ 25-30 บาท/เที่ยว และช่วง Off Peak จะอยู่ที่คนละ 15-25 บาท/เที่ยว
  • รถไฟฟ้า MRT สายสีม่วง ปกติค่าโดยสารคนละ 14-42 บาท/เที่ยว เฉลี่ยต่อคนละ 21 บาท/เที่ยว เปลี่ยนเป็นตั๋วรายเดือนจะมีค่าโดยสารคนละ 15-20 บาท/เที่ยว และช่วง Off Peak จะอยู่ที่คนละ 14-25 บาท/เที่ยว
  • รถไฟฟ้า MRT สายสีน้ำเงิน ปกติค่าโดยสารคนละ 16-42 บาท/เที่ยว เฉลี่ยต่อคนละ 25 บาท/เที่ยว เปลี่ยนเป็นตั๋วรายเดือนจะมีค่าโดยสารคนละ 20-25 บาท/เที่ยว และช่วง Off Peak จะอยู่ที่คนละ 16-30 บาท/เที่ยว
  • รถไฟฟ้าบีทีเอส (BTS) ปกติค่าโดยสารคนละ 16-44 บาท/เที่ยว เฉลี่ยต่อคนละ 29 บาท/เที่ยว เปลี่ยนเป็นตั๋วรายเดือนจะมีค่าโดยสารคนละ 26 บาท/เที่ยว ไม่มีช่วง Off Peak 

อย่างไรก็ตามเมื่อมาตรการนี้ออกมาก็มีการคาดว่าจะทำให้ปริมาณผู้โดยสารมาใช้รถไฟฟ้าเพิ่มขึ้นอีก 10% ทันที และส่งผลกระทบต่อรายได้ของผู้ให้บริการ โดยทาง กทม. ก็เตรียมเสนอนำภาษีจากป้ายวงกลมที่ กทม. เป็นผู้จัดเก็บในส่วนนี้กว่าปีละ 14,000 ล้านบาท ขอนำมาชดเชยเฉลี่ยปีละ 500-1,000 ล้านบาท/ปี ให้แทน

ส่วนตัวทีมงานก็เกิดมีความสงสัยตรงที่ถ้าใน 1 ปีเราเติมบัตร Rabit ของ BTS เกิน 15,000 บาท แต่เอาเงินตรงนี้ไปใช้จ่ายอย่างอื่นแทน แบบนี้จะสามารถลดหย่อนภาษีได้ไหม กับทางสรรพากรจะรู้ได้ยังไงว่าเราใช้บัตร Rabit กับค่าเดินทางจริงๆ เกิน 15,000 บาท ซึ่งเราคงต้องรอให้มาตรการนี้ผ่านออกมาจริงๆ ก่อน ถึงจะรู้รายละเอียดมากกว่านี้ครับ

 

ที่มา :  thairath,  brandinside