ชาวแคลิฟอร์เนียรวมตัวกันฟ้องร้อง Apple ให้หยุดการขาย iPhone ในรัฐแคลิฟอร์เนีย จนกว่า Apple จะใส่ฟีเจอร์ป้องกันการแชทในระหว่างการขับขี่รถยนต์ โดยการฟ้องร้องครั้งนี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 17 มกราคม 2560 ณ ศาลรัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา

โดยการดำเนินคดีแบบกลุ่ม (Class action) ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ มีเหตุผลมาจากทุกวันนี้มีคนที่ใช้มือถือในการแชท ระหว่างขับรถบนถนนหลวงในสหรัฐ อเมริกา กว่า 1.5 ล้านคน และจากข้อมูลที่ได้รับจาก NHTSA หรือ National Highway Traffic Safety Administration (กรมการดูแลความปลอดภัยจราจรทางหลวงแห่งชาติ ประเทศสหรัฐ อเมริกา) พบว่าการพิมพ์ข้อความโต้ตอบทางมือถือในระหว่างการขับรถนั้น มีอันตรายมากกว่าการเมาแล้วขับถึง 6 เท่า นอกจากนี้ ทางตำรวจทางหลวงแคลิฟอร์เนีย และ Federal Highway Administration (องค์กรที่ดูแลด้านการจราจรบนทางหลวงของ สหรัฐ อเมริกา) ยังแจ้งว่าอุบัติเหตุทางรถยนต์กว่า 52,000 ครั้ง และการเสียชีวิตทางรถยนต์อีก 312 ครั้ง ที่เกิดขึ้นในรัฐแคลิฟอร์เนีย มีต้นเหตุมาจาก iPhone

ซึ่งกลุ่มที่รวมตัวกันฟ้องร้อง Apple ในครั้งนี้ กล่าวว่า Apple มีเทคโนโลยีที่สามารถป้องกันการแชทระหว่างขับรถ ตั้งแต่ปี 2008 แล้ว แถมยังได้จดสิทธิบัตรเทคโนโลยีคล้ายๆ กันนี้เมื่อปี 2014 ไปแล้วด้วย แต่ Apple ก็ไม่ยอมเอาเทคโนโลยีดังกล่าวมาใส่ใน iPhone เพราะกลัวว่าจะทำให้ iPhone มียอดขายสู้กับมือถือแบรนด์อื่นที่ไม่ใส่ฟีเจอร์นี้ ไม่ได้

และเมื่อปลายปีที่ผ่านมานี้ Apple ก็พึ่งจะโดนฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายโดยผู้ปกครองของเด็กหญิง อายุ 5 ขวบ ที่เสียชีวิตในอุบัติเหตุทางรถยนต์ เนื่องจากผู้ที่ขับรถมาชนกับรถของฝั่งผู้เสียชีวิต กำลังใช้ Face Time ระหว่างขับรถด้วยความเร็ว 65 ไมล์/ชม. (ประมาณ 105 กม./ชม.) 

ก็ต้องรอดูกันต่อไปว่า Apple จะทำการใส่ฟีเจอร์ป้องกันการแชทในระหว่างการขับรถลงไปใน iPhone หรือไม่ เพราะเชื่อว่าถ้า Apple จำเป็นต้องใส่ฟีเจอร์นี้ลงไปใน iPhone แล้ว ต่อไปก็อาจจะมีข้อบังคับให้สมาร์ทโฟนทุกรุ่นต้องใส่ฟีเจอร์นี้ลงไปด้วยแน่นอน เพื่อความยุติธรรม และความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน เหมือนดั่งเช่นเกม Pokemon Go ที่มีการใส่ฟีเจอร์ห้ามเล่นขณะขับรถนั่นเอง

 

ที่มา : PhonearenaAppleinsider