ล่าสุดสหภาพยุโรปได้ออกกฎหมายใหม่ ที่อาจส่งผลต่อ Apple ทำให้ต้องยอมรับ App Store จาก Third-Party ได้ และอาจจะต้องเปลี่ยนระบบให้ผู้ใช้สามารถติดตั้งแอปจากแหล่งดาวน์โหลดอื่น ๆ อย่างไม่เป็นทางการได้ด้วย โดยกฏหมายดังกล่าวนั้นเกิดมาด้วยจุดประสงค์สร้างโอกาสการแข่งขันอย่างเท่าเทียมกันในตลาดดิจิทัล ไม่ให้บริษัทใหญ่มีอำนาจคุมเกมแต่เพียงผู้เดียวครับ

กฏหมายดังกล่าวคือ Digital Markets Act (DMA) ที่จะเอาไว้ใช้กับยักษ์ใหญ่โลกเทคโนโลยีที่มีคุณสมบัติตรงกับนิยามการเป็น “Gatekeeper” หรือมีอำนาจในการควบคุมผู้เล่นอื่น ๆ ในตลาด โดยจะช่วยบรรเทาปัญหาการผูกขาดที่เกิดขึ้นมา

ซึ่ง Apple เป็นบริษัทเทคอันดับต้นของโลกที่ทำรายได้มหาศาลต่อปี มีจำนวนผู้ใช้งานบนแพลตฟอร์มจำนวนมาก และยังครองตำแหน่งมหาอำนาจอย่างนี้มาได้อย่างยาวนาน ก็คงจะเข้าข่ายการเป็น Gatekeeper รายหนึ่ง ซึ่งก็ต้องโดนกำกับควบคุมโดยกฎ DMA ดังกล่าว

กฎหมาย DMA นี้อาจเปลี่ยนแปลงระบบ App Store, Messages, FaceTime, และ Siri ที่แอปเปิลดำเนินงานอยู่ในโซนสหภาพยุโรปได้ ยกตัวอย่างเช่น การบังคับให้ Apple อนุญาตผู้ใช้งานให้ลง App Store ข้างนอกที่ไม่ใช่ของแอปเปิลเอง, อนุญาตให้ผู้ใช้งานสามารถ Sideload หรือติดตั้งแอปนอกเข้ามาในระบบ ส่วนในด้านเหล่านักพัฒนา กฎหมายนี้ก็จะเปิดให้ผู้พัฒนาต่าง ๆ สามารถเข้าถึงและเชื่อมต่อกับบริการของ Apple, ใช้ระบบชำระเงินข้างนอกไม่ต้องผ่านของ Apple, เข้าถึงข้อมูลที่ Apple เก็บเอาไว้ได้ เป็นต้น

และตอนนี้มีกฎเพิ่มเติมเข้ามาอีก ที่จะบังคับให้การส่งข้อความและการโทรผ่านวิดีโอ สามารถเชื่อมต่อกันระหว่างแพลตฟอร์มได้ ซึ่งอาจทำให้แอปแชทต่าง ๆ อย่าง WhatsApp ส่งข้อความไปมากับ iMessage ได้ครับ

เห็นโอกาสเกิดผลกระทบขนาดนี้ ก็ไม่ใช่ว่าแอปเปิลจะไม่เป็นห่วง ก่อนหน้านี้ในช่วงเดือนมีนาคม Apple ก็เคยระบุไว้ว่า “มีความกังวล” ว่ากฎของ DMA ที่ออกมานั้นอาจสร้างช่องโหว่ความปลอดภัยให้กับผู้ใช้งานได้ แต่สำหรับผู้ใช้อย่างเรา ๆ ก็รู้ดี ว่ากฎหมายที่ออกมาบังคับให้ต้องทำอะไรพวกนี้ ถือเป็นการขัดขวางกลยุทธ์การตลาดของ Apple ในการรักษา ecosystem ของตัวเองไว้โดยตรง ซึ่งก็ร้ายแรงพอ ๆ หรือมากกว่า “ความกังวล” ด้านความปลอดภัยตามที่แอปเปิลบอกแน่ ๆ

ส่วนขณะนี้ในสหรัฐฯ ก็มีการร่างกฎหมายป้องกันการผูกขาดอยู่เช่นกัน ซึ่งก็จะส่งผลกระทบต่อวงการเทคโนโลยีอีกแรงนึงด้วย เรียกได้ว่าสองตลาดใหญ่ตอนนี้กำลังอยู่ภายใต้การควบคุมจากรัฐอย่างเข้มงวด ถ้าคิดว่าก่อนหน้านี้การบังคับมาใช้ USB-C ในไอโฟนเป็นเรื่องใหญ่แล้ว ต่อไปนี้จะใหญ่ยิ่งกว่าอีก แต่ Apple ก็คงไม่ยอมง่าย ๆ แน่

 

ที่มา : MacRumor, DGCompetition