เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ทั้ง AIS และ True ต่างเริ่มเปิดให้บริการ 5G ในเขตพื้นที่เมืองหลายแห่ง ซึ่งจะเน้นบริเวณที่มีการใช้งานที่หนาแน่นก่อน ไม่ว่าจะเป็นตามแนวรถไฟฟ้า ห้างร้าน เขตธุรกิจต่างๆ และหลายคอนโดที่อยู่ในพื้นที่สัญญาณเหล่านี้ก็จะได้ลองกันไปตามๆกัน รวมถึงคอนโดของผมเป็นหนึ่งในนั้น เลยจะขอมาแชร์ประสบการณ์ 5G ให้ได้ทราบกันว่า มันจะเป็นอย่างไรบ้าง 

ใช้ 5G ด้วยเครือข่ายอะไร บนอุปกรณ์มือถืออะไร

บริเวณที่ผมอยู่จะมีเครือข่าย 5G ให้เลือกใช้ได้ทั้ง AIS 5G และ True 5G จึงได้ลองทั้งสองเครือข่าย ผ่านสมาร์ทโฟน Huawei Mate 30 Pro 5G และ Huawei P40 (ธรรมดา) สาเหตุที่ต้องเป็น Huawei ก็เพราะว่าค่ายนี้เป็นเพียงค่ายเดียวที่สามารถใช้งาน 5G คลื่น 2600 MHz ในเมืองไทยในปัจจุบันนี้ ส่วน Samsung Galaxy S20 Ultra 5G และ OPPO Find X2 5G แม้ทั้งสองเครือข่ายจะบอกว่าสามารถใช้งานได้ แต่จนถึงตอนนี้ทั้งสองรุ่นก็ยังไม่มีการปล่อยอัพเดทมาให้สามารถจับสัญญาณ 5G ได้เลย

โดยตัวชิปเซต Kirin 990 5G ที่ใส่อยู่ในทั้ง Huawei Mate 30 Pro 5G และ Huawei P40 เป็นตัวที่มีการรวมเอาโมเด็ม 5G ไว้ภายในชิปเซตเลย ต่างจากรุ่นอื่นที่มีโมเด็ม 5G และชิปเซตแยกกัน ทำให้ประมวลผลรวดเร็วและลดการใช้พลังงานไปด้วย แต่ถ้าใครไม่อยากที่จะต้องซื้อมือถือใหม่ ในตลาดจะมี 5G Mobile Router ของ Huawei อยู่อีกตัวที่ขายด้วยนะ

AIS เปิดตัว 5G Home Broadband เราเตอร์กระจายสัญญาณ 5G ความเร็วสูงสุดกว่า 2Gbps

วิธีเปิดใช้งาน 5G สำหรับ AIS และ True

ถ้าเกิดว่าอยากใช้งาน 5G แล้วล่ะก็ สิ่งนึงที่ต้องทำเอาไว้ก่อนก็คือ กดสมัครใช้บริการเอาไว้ด้วยนะครับ มิฉะนั้นต่อให้เราใช้เครื่องที่รองรับยังไงแล้วสัญญาณก็จะไม่ขึ้นอยู่ดี อย่างที่ผมก็พลาดไม่ได้กดของ True อยู่หลายสัปดาห์กว่าที่จะรู้นั่นเอง 555

รหัสกดใช้บริการ 5G

  • AIS :  *212955📞แล้วรอรับ SMS (ประมาณ 1 ชม.)
  • True : *555*2#📞แล้วรอรับ SMS (ไม่นาน)

พื้นที่ให้บริการ AIS 5G กับ True 5G ในกรุงเทพ AIS จะมีการวางเอาไว้ค่อนข้างครอบคลุมเมืองชั้นใน และเขตธุรกิจตามแนวรถไฟฟ้า ส่วนในต่างจังหวัดก็มีมากในระดับนึง ส่วน True บอกว่ามีในทุกจังหวัดทั่วประเทศเลย

ใช้ 5G แล้วชีวิตมีอะไรแตกต่างไปบ้าง

แน่นอนว่าสิ่งแรกหลังจากเจอสัญญาณ 5G เราก็ต้องทำการ ทดสอบความเร็ว ซึ่งผลที่ได้ออกมาก็สุดแสนประทับใจ วิ่งแบบที่นึกว่าตัวเองต่อ WiFi อยู่เลยทีเดียว

สรุปความแตกต่างในด้านตัวเลขหลังใช้งานจริง

  • Download เพิ่มขึ้น ความเร็ว 300 – 700 Mbps จากปกติได้ไม่เกิน 15-60 Mbps
  • Upload ใกล้เคียง 4G ที่ความเร็ว 10 – 50 Mbps
  • Ping ลดลงเหลือประมาณ 8 – 12 ms จากปกติ 20 ms ขึ้นไป
  • Loss ไม่ต่างจากเดิม
  • Jitter ไม่ต่างจากเดิม

ด้วยความเร็วแบบนี้หลายคนอาจจะมีการคาดหวังว่าเมื่อเราได้ใช้งาน 5G แล้วชีวิตน่าจะเปลี่ยนไปเลยทันที จากความเร็วดาวน์โหลดที่มากขึ้น การตอบสนองที่ไวขึ้น เล่นเกมจะเก่งขึ้นกว่าคนอื่น วิดีโอคอลก็จะภาพชัด เสียงพูดไม่มีดีเลย์อีกต่อไป ซึ่งทั้งหมดที่ว่ามานั้น เดี๋ยวจะมาเล่าให้ฟังว่ามันต่างออกไปอย่างไรครับ

Streaming : ดูคลิปดูหนังได้ชัดเจนไม่แตกต่างกับตอนใช้งาน 4G แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปคือระยะเวลาในการโหลดก่อนเริ่มเล่นได้ จนถึงคมชัด 1080p บน 5G จะเร็วขึ้นแบบรู้สึกได้ YouTube คือ ไม่เห็นตอนหมุนๆก่อนเริ่ม และเข้ามาก็ชัดเลย ส่วน Netflix ก็เช่นกัน ที่แทบไม่ต้องรอก่อนที่ภาพจะขึ้น และชัดทันทีโดยไม่ต้องรอให้ Buffer ทัน

ลืมการหมุนบน YouTube ไปได้เลย แตะแล้วขึ้นทันทีเหมือนบันทึกอยู่บนเครื่อง

ใช้ Netflix ตอนเข้าใหม่ๆ ภาพจะยังแตกเล็กน้อยก่อนจะคมชัดบน 4G แต่ 5G คือเข้ามาก็ชัดเลย, Google Photos : เก็บภาพเอาไว้บน Cloud เรียกมาดูได้อย่างไว จนแทบไม่รู้สึกว่าเก็บภาพอยู่บน Cloud

อย่างไรก็ดี ระยะเวลาโหลดที่เร็วขึ้นนี้ถ้าเทียบกับ 4G ในขณะที่เน็ตเวิร์คว่างๆ มีการใช้งานไม่หนาแน่นมาก วิ่งทำความเร็ว Download / Upload ได้เฉลี่ย 25Mbps ขึ้นไป ความแตกต่างนี้จะอยู่ที่หลักเสี้ยววินาที หรือ 1 วินาทีเท่านั้นนะครับ ไม่ได้ต่างแบบที่รู้สึกชัดนักสำหรับคนที่ไม่ได้เสพย์ติดว่าทุกอย่างต้องมาในพริบตา โดยเฉลี่ย Netflix ต้องการเน็ตความแรงราว 7 Mbps เพื่อดูหนัง-ซีรีย์ที่ความละเอียด HD ซึ่งความเร็วในระดับนี้ 4G พื้นที่ที่ไม่มีการใช้งานหนาแน่นสามารถให้บริการได้สบายๆ

Gaming : ตอนเล่นยังไม่สามารถรับรู้ได้ว่าใช้งาน 5G แล้วสามารถบังคับฮีโร่ในเกมอย่าง RoV ได้ตอบสนองดีขึ้น หรือควบคุมฮีโร่ได้ไวกว่าคนอื่นนะ อาจจะมีความเสถียรที่เหมือนจะมากขึ้นหน่อย เพราะระหว่างที่เครื่องจับสัญญาณ 5G อยู่ ไม่เจออาการแกว่งไปจับสัญญาณคลื่นอื่นไปมา

Browsing : ไม่ได้รู้สึกต่างอะไรนัก ตัวที่เป็นปัจจัยของความเร็วเรื่องการเข้าถึงเว็บไซต์ต่างๆ Chipset ของเครื่อง และ Browser ที่ใช้งานน่าจะมีผลมากกว่าความเร็วอินเทอร์เน็ต

Video Calling : ยังหาคนที่ใช้งาน 5G ด้วยกันมาทดสอบไม่ได้ เลยไม่แน่ใจว่าจะช่วยให้คุณภาพหรือการดีเลย์ดีขึ้นขนาดไหน แต่ที่เท่าลองคุยกับอีกฝั่งที่ใช้งาน 4G แบบที่สัญญาณเน็ตแรงๆ หรือใช้งาน Fiber Internet ยังไม่เจอความต่างนัก น่าจะติดคอขวดที่ตัวของ App ทำให้ยังดีเลย์อยู่ 0.3 – 0.7 วินาที

App ยอดนิยมอื่นๆ : ไม่ว่าจะเป็น Twitter, Instagram, LINE และอื่นๆ ยังไม่เห็นผลจากการใช้งาน 5G ขนาดนั้น เพราะตัวแอปยังไม่ได้มีความจำเป็นต้องเข้าถึงไฟล์ขนาดใหญ่ หรือการตอบสนองที่รวดเร็วนัก

จากทั้งหมดที่กล่าวมานี้ ก็พอสรุปได้ว่าประโยชน์ของ 5G ในปัจจุบันที่ชัดเจนที่สุดก็คือ การโหลดข้อมูลจาก Cloud มาแสดงผลได้อย่างรวดเร็วขึ้นเล็กน้อยเท่านั้น ซึ่งมันเป็นเพียงแค่เสี้ยวเล็กๆของความสามารถ 5G ถ้าจะบอกว่าวันนี้ยังขาดแอปพลิเคชั่นที่ดึงความสามารถของมันออกมาได้อย่างเต็มที่ ก็คงจะไม่ผิดนัก นอกจากนี้ยังไม่ข้อน่าคิดอยู่อีก คือ

ความเร็วสุดแรง กับข้อจำกัดด้านปริมาณดาต้าที่ใช้ได้

แม้ว่า 5G ที่เปิดให้ใช้บริการนี้จะมีความเร็วแรงเพียงใดก็ตาม แต่ยิ่งเราใช้งานได้เร็วเท่านั้น ก็เท่ากับแพ็กเกจของเราจะหมดลงไปเร็วขึ้นด้วยเช่นเดียวกัน อย่างที่ผมใช้งานอยู่นั้นก็เป็นแพ็กเกจแบบไม่ Unlimited กดทดสอบความเร็วครั้งหนึ่ง ถ้าวิ่งได้ความเร็วแตะ 800 Mbps ขึ้นไป เมื่อกดดู Data Usage ก็จะเห็นว่าสูบเอาดาต้าในแพ็กไปแบบเต็มๆครั้งละ 1 GB เลยทีเดียว หากมีการใช้งานใช้งานอย่างต่อเนื่อง แพ็กเกจที่ให้มาแบบจำกัด ต่อให้มากถึง 50 – 60 GB ต่อเดือน ก็ดูจะไม่เพียงพอแน่ๆ นอกเสียจากว่าถ้าคุณใช้แพ็กเกจ Unlimited ไม่จำกัดความเร็ว เดือนละพันกว่าบาทขึ้นไป ก็จะปลดล็อคเรื่องนี้ลงไปได้เหมือนกัน

อย่าแปลกใจถ้าเห็นสัญลักษณ์ LTE เพราะตอนที่ทดสอบแอป Speedtest มันยังไม่อัพเดทให้รองรับ 5G เลยนั่นเอง

อยากแรงใช้ Fiber + Router ดีๆ ก็ทดแทนได้อยู่

ปัจจุบันมีการติดตั้งไฟเบอร์อินเทอร์เน็ตระดับ 1Gbps ในราคาไม่ถึงพันกันอย่างแพร่หลาย ความเร็วก็จะค่อนข้างนิ่ง ไม่ลดลงตามจำนวนการใช้งานนักเหมือนเครือข่ายโทรศัพท์ และถ้าสมัครใช้งานก็มักจะมาพร้อมเราเตอร์ปล่อยสัญญาณ ที่เดี๋ยวนี้เป็นแบบ 802.11 ac กันขั้นต่ำ (กระจายสัญญาณได้ทั้ง 2.4 / 5GHz) ความเร็วต่างๆ ไม่ว่าจะ Download, Latency, Jitter ก็จะยังออกมาดีกว่า 5G ในระดับนึงอีกด้วย ซึ่งถ้าสรุปข้อดีของ Fiber + Router ดีๆก็คงจะเป็นประมาณนี้ (แต่ก็อย่าลืมว่ามันก็จะจำกัดอยู่แต่ในบ้านเรานะ ไม่ติดตามเราไปในที่ต่างๆด้วย)

  • อินเทอร์เน็ตจะมีความเสถียรกว่าจากการลากสาย
  • ความเร็วไม่แกว่งมาก แม้จะเป็นชม.เร่งด่วน
  • เราเตอร์ตัวเดียวรองรับอุปกรณ์ได้หลายสิบชิ้น
  • เน็ตเวิร์ครองรับการใช้งานภายในบ้านได้

ประโยชน์ของ 5G วันนี้?

จากที่บอกมาทั้งหมดนี้ บางคนอาจจะเริ่มสงสัยว่าแล้วสรุป 5G มีประโยชน์แค่ทำให้การโหลดข้อมูลบน Cloud มาแสดงผลได้อย่างรวดเร็วขึ้นนิดหน่อยเท่านั้น หรือมันยังมีประโยชน์ในด้านไหนอีกบ้าง โดยเท่าที่ลองมาคิดว่าเรื่องต่างๆ เหล่านี้ จริงๆ ก็ช่วยได้อีกมากอยู่

5G ดีกว่าในชั่วโมงเร่งด่วน มีคนใช้จำนวนมาก : ถ้าใช้งานบน 4G ปกติจะวิ่งค่อยข้างติดขัด ความเร็วได้ไม่เกิน 10Mps แถมหลายครั้งโหลดไม่ค่อยไปอีกต่างหาก แต่เมื่อใช้งาน 5G กลับไม่เจอปัญหานี้เลย

ความเร็วแทนเน็ตบ้านได้ : ด้วยความเร็วระดับ 3-400 Mbps ขึ้นไปนี้ แทนที่จะต้องติดเน็ตบ้าน ถ้ามีเน็ต 5G ก็แทบจะพับโปรเจกต์นี้ลงไปได้เลย แทบไม่เหลือความจำเป็นในการติดเหมือนกัน โดยเฉพาะเมื่อไหร่ที่คลื่น 26GHz ถูกนำออกมาให้บริการ ซึ่งมี Bandwidth กว้างระดับ 900 – 1200 MHz ความเร็วก็น่าจะทะลุขีด วิ่งขึ้น Gbps ได้สบายๆอยู่

เชื่อมต่อในพื้นที่ที่สายลากไม่ได้ : แก้ปัญหาคนที่อยู่บนคอนโด แต่ดันไม่มีสาย Fiber ให้ใช้งาน หรือต่อให้มีแต่ใช้งานแค่ 1-2 คน แต่ละคนก็มีเน็ตมือถือแล้ว แต่แค่ความเร็วไม่ดีเท่าไหร่ ทำให้ไม่ค่อยอยากจะจ่ายเพิ่มนัก กรณีนี้ถ้าเครือข่ายมีการตั้งเสาสาดสัญญาณเข้าตึกให้ ก็จะแก้ปัญหาเหล่านี้ได้ทันทีเลยเหมือนกัน

เรื่องเล่า 5G | ประเทศไทยคลื่น Band ไหน n อะไร, Low – Mid – High Band ต่างกันอย่างไร?

เราจำเป็นต้องเปลี่ยนไปใช้งานมือถือ 5G ตอนนี้เลยรึเปล่า?

เป็นคำถามที่ถูกถามกันมาโดยตลอด ถึงความจำเป็นในการเปลี่ยนสมาร์ทโฟนที่เราใช้งานอยู่ หรือถ้าจะเปลี่ยนใหม่เร็วๆนี้ จำเป็นต้องให้รองรับ 5G ขนาดไหน ซึ่งถ้ามองในเรื่องของความคุ้มค่าและความจำเป็น ถ้าเครื่องที่เรากำลังเล็งไว้ คิดจะใช้งานไปอีก 1-2 ปี ข้างหน้า ส่วนตัวผมคิดว่าเรายังพอจะรอให้ระบบนิเวศน์ของ 5G เติบโตขึ้นกว่านี้ก่อนได้ ทั้งเครือข่ายสัญญาณที่น่าจะต้องใช้เวลาไปอีกสักพัก กว่าที่จะมีการครอบคลุม และรอให้มีแอปพลิเคชั่นที่สามารถดึงความสามารถของ 5G ออกมาใช้งานเต็มอย่างเต็มประสิทธิภาพก่อน ซึ่ง 1-2 ปีข้างหน้า ก็น่าจะเป็นเวลาที่เพียงพอ และถึงเวลานั้น อุปกรณ์รองรับ 5G ราคาไม่เกิน 15,000 บาท ก็น่าจะมีตัวเลือกที่มากกว่าในปัจจุบันพอสมควรแล้ว

3 รุ่นนี้ทาง True บอกว่ารองรับ 5G แต่ปัจจุบันมีเพียง Huawei Mate 30 Pro 5G และ Huawei P40 Series เท่านั้นที่รองรับได้จริง

แต่ในทางกลับกัน ถ้าหากว่าเราต้องการที่จะลองสุดยอดเทคโนโลยีก่อนใคร หรือต้องจ่ายเงินเกิน 3 หมื่น เพื่อซื้อสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ในเวลานี้ เครื่องมันก็ควรจะต้องมี 5G มาใช้งานได้แล้ว เพื่อที่จะรองรับการใช้งาน 2-3 ปีข้างหน้าได้อย่างสบายๆ ไม่ต้องมาคอยเปลี่ยนเรื่อยๆ และได้ใช้เครือข่ายความเร็วสูงที่น่าจะเรียกได้ว่าทำขึ้นมาเพื่ออุปกรณ์ระดับพรีเมียม ที่มีคนมาแชร์สัญญาณไปใช้น้อยกว่า 4G ในวันนี้ด้วยนั่นเอง

สรุปจะเปลี่ยนมือถือให้รองรับ 5G ดีมั้ย?

  • ควร ✔️ ถ้าเป็นรุ่นพรีเมียมระดับท็อป อยากลองของใหม่ก่อนใคร
  • ควร ✔️ อยากใช้ไปยาวๆนานๆ ไม่ต้องเปลี่ยนบ่อย
  • ควร ✔️ อยู่ในพื้นที่มีเน็ต 5G ให้ใช้ ก็เหมือนมีคลื่นเฉพาะให้เราใช้งาน
  • ไม่ควร ❌ ถ้าเปลี่ยนมือถือบ่อย 1-2 ปีครั้ง และไม่อยากจ่ายแพง
  • ไม่ควร ❌ ถ้าไม่ได้อยู่ในพื้นที่ที่ไม่มี 5G ใช้งานในเร็วๆนี้
  • ไม่ควร ❌ ถ้าคิดว่ามันจะดีกว่ากันมากๆ แก้ได้ทุกปัญหาการใช้งานจาก 4G ได้หมด

 

ทั้งหมดนี้ก็เป็นประสบการณ์ใช้งาน 5G ที่ได้ลองใช้มาตลอด 1 เดือนที่ผ่านมา และอยากจะเอามาแชร์ให้เพื่อนๆ ได้ทราบกันนะครับ ถ้าเกิดว่ามีคำถามอยากรู้เพิ่มเติม สามารถสอบถามได้เลยนะครับ