ช่วงหลายปีมานี้ สินค้าประเภทโปรเจคเตอร์ความละเอียดระดับ FHD เริ่มมีราคาถูกจนหามาเป็นเจ้าของไม่ยากแล้ว โดยงบราวหมื่นนิด ๆ ก็ได้ยี่ห้อและสเปคที่ค่อนข้างดีแถมมีประกันกับศูนย์ซ่อมเป็นเรื่องเป็นราวด้วย ทำให้บางคนที่อยากจะซื้อทีวีจอใหญ่ราคาหมื่นนิด ๆ – หมื่นกลาง ๆ น่าจะคิดกันบ้างล่ะ ว่าถ้าเราซื้อโปรเจคเตอร์ราคาพอกันมาใช้ แต่สามารถฉายได้จอใหญ่เป็นร้อยนิ้ว จะดีกว่าการซื้อทีวีที่ขนาดแค่ 50 – 60 นิ้ว มาใช้รึเปล่า…ก็เลยขอมาแนะนำประสบการณ์จริงที่ใช้ทั้งโปรเจคเตอร์และสมาร์ททีวีคู่กันเป็นเวลา 2 ปี ว่าแต่ละอย่างมีข้อดีข้อเสียยังไงบ้างครับ

ประสบการณ์ใช้โปรเจคเตอร์กับสมาร์ททีวีนี้ เป็นประสบการณ์ตั้งแต่ประมาณ 2 ปีที่แล้ว ซึ่งผมซื้อโปรเจคเตอร์ Mi Smart Compact Projector (รุ่นแรก) ราคา 14,xxx บาท มาใช้สำหรับดูหนัง + เล่นเกม นอกเหนือจากสมาร์ททีวี 4K ขนาด 60 นิ้ว ของ LG กับ Samsung ที่มีอยู่ก่อนแล้ว โดยราคาก็อยู่ในระดับเดียวกันคือประมาณไม่เกิน 15,000 บาท (บวกลบนิดหน่อย จำราคาเป๊ะ ๆ ไม่ได้) การใช้งานก็จะสลับ ๆ กันไปดูหนังเล่นเกมบนทีวีบ้าง วันไหนอยากสะใจจอใหญ่เต็มตาก็เล่นกับโปรเจคเตอร์บ้าง

แน่นอนว่าทั้ง 2 อย่างก็จะมีข้อดีข้อด้อยแตกต่างกันออกไป ก็เลยขอมาบอกเล่าเป็นแนวทางเอาไว้สำหรับคนที่กำลังลังเลว่าจะซื้อทีวีใหม่ หรือจะเอาโปรเจคเตอร์ที่จอยักษ์ ๆ ไปเลยดีกว่าครับ


Mi Smart Compact Projector ที่ใช้มา 2 ปี แล้ว

ความละเอียดภาพ

ถ้าในราคาระดับหมื่นกว่าบาทแบบนี้ เราสามารถหาซื้อทีวีความละเอียด 4K ได้ไม่ยากแล้วในปัจจุบัน ส่วนขนาดก็มีให้เลือกได้ตั้งแต่ 50 – 60 นิ้ว (ถ้าเป็นแบรนด์จีนราคาระดับนี้อาจหาได้ขนาดใหญ่ขึ้นไปเป็น 65 นิ้ว) ส่วนโปรเจคเตอร์ราคาช่วง 14,xxx – 2x,xxx จะมีความละเอียดอยู่ที่ระดับ FHD เท่านั้น ถ้าอยากได้โปรเจคเตอร์ 4K แท้ ๆ มียี่ห้อมีประกันมีศูนย์บริการ ก็ต้องขยับไปที่ราคา 30,000 บาทขึ้นไป อย่างของแบรนด์ Viewsonic เป็นต้น

Viewsonic PX701-4K ราคาราวสามหมื่นบาท

แต่สำหรับโปรเจคเตอร์ราคาหลักพันจนถึงหมื่นกลาง (หรือมากกว่า) จะมีความละเอียดอยู่ที่ 1080p ซึ่งตรงนี้ต้องดูสเปคให้ดี ๆ นะครับ เพราะโปรเจคเตอร์ที่ขายในร้านออนไลน์ชอบโฆษณาแบบโม้ ๆ ว่า 1080p บ้าง 4K บ้าง แต่มีราคาแค่ไม่กี่พันบาทเท่านั้น ซึ่งส่วนมากการแปะสเปคว่า 1080p และ 4K เป็นแค่การ Support ความละเอียดของไฟล์วิดีโอเท่านั้น แต่ความละเอียดในการฉายภาพจริง ๆ จะอยู่แค่ 480p เท่านั้น โดย Mi Smart Compact Projector ก็เป็นหนึ่งในโปรเจคเตอร์ราคาหมื่นหน่อย ๆ ที่มีความละเอียด 1080p แบบแท้ ๆ ครับ

แปะไว้ว่า 1080p แต่สเปคจริง 800 x 480 เท่านั้น

ขนาดภาพ + คุณภาพของภาพ

โปรเจคเตอร์ราคาระดับหมื่นบาทส่วนมากจะฉายภาพได้ที่ขนาดสูงสุด 100 – 120 นิ้ว ซึ่งใหญ่แบบ…ใหญ่เต็มตาสะใจกว่าทีวี 60 นิ้วมาก ๆ แม้ว่าความละเอียดจะอยู่แค่ 1080p แต่ภาพขนาด 100+ นิ้ว ก็ไม่ได้แตกเละเทะจนดูแล้วหงุดหงิด เพราะยังคงมีความคมชัดอยู่ แม้จะไม่ได้คมกริบบาดตาเหมือน 4K แต่ดูแล้วไม่ตะขิดตะขวงใจแน่นอน

ฉายที่ขนาด 100 นิ้ว 1080p ตัวหนังสือยังคงมีความคมชัดอยู่

จะเอามาเล่นเกมหรือเอามาดูหนังจอยักษ์รับรองว่าสะใจสุด ๆ โดยส่วนตัวแล้วเวลาจะดูหนังฟอร์มยักษ์ก็มักจะเอามาฉายผ่านโปรเจคเตอร์ดู + ต่อลำโพงเปิดกระหึ่ม ๆ ให้อารมณ์แบบดูในโรงกันไปเลย นอกจากนี้ยังสามารถปรับขนาดของภาพได้ตามใจ ด้วยการเปลี่ยนระยะของตัวเครื่องกับหน้าจอ อยากจอใหญ่ก็ถอยให้ไกลจากจอ อยากลดขนาดลงก็เขยิบเข้าไปให้ใกล้จอ

เล่นเกมจากจอ 100 นิ้ว สะใจสุด

แต่ถ้าหากเอามาเทียบกับทีวี 4K ราคาระดับเดียวกันแล้ว แน่นอนว่าความคมชัดและสีสันของโปรเจคเตอร์จะสู้ไม่ได้เลย โดยเฉพาะฉากที่มี HDR เยอะ ๆ เพราะภาพจากโปรเจคเตอร์จะดำไม่สุด ยิ่งเป็นฉากที่อยู่ในถ้ำ หรือฉากกลางคืนในหนังผีที่มีแสงน้อย ๆ บางทีก็ดูไม่รู้เรื่องไปเลย

ฉากมืด ๆ อาจมีปัญหาบ้าง

ระบบปฏิบัติการ + ฟีเจอร์

สมาร์ททีวีในปัจจุบันถ้าไม่ใช้ระบบปฏิบัติการของตัวเอง (อย่าง Tizen ของ Samsung หรือ WebOS ของ LG) ก็จะเป็น Android TV ซึ่งก็สามารถใช้ดูหนังจากแอปฮิต ๆ ได้ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น Netflix, HBO Go, Amazon Prime Video ฯลฯ รวมถึงการ Cast หน้าจอจากอุปกรณ์ต่าง ๆ ไปดูแบบไร้สายได้ นอกจากนี้ยังสั่งการด้วยเสียงผ่านรีโมทให้เปิดหนังเปิดซีรีส์ได้อีก

โปรเจคเตอร์ราคาระดับนี้ก็ไม่น้อยหน้าเหมือนกัน เพราะมักจะมากับ Android TV ในตัวอยู่แล้ว อย่าง Mi Smart Compact Projector ก็มากับ Android TV 9.0 เหมือนกัน สามารถดูหนัง Netflix แบบ HD ได้ในตัว หรือจะ Cast จากมือถือเข้ามาก็ได้เหมือนกัน

ถ้าจะซื้อพวกสมาร์ทโปรเจคเตอร์มาดู Netflix แบบ HD หรือดูแอปอื่น ๆ แบบไม่มีปัญหา แนะนำว่าเช็คสเปคให้ดี ๆ นะครับว่าเป็นระบบ Android TV รึเปล่า เพราะมีบางรุ่นที่ยัดระบบ Android กับ UI ของตัวเองเข้ามาเฉย ๆ แต่ไม่รองรับ GMS ทำให้ไม่สามารถลงแอปจาก Google Play Store ได้ ต้องไปหา APK มาลงเองให้เสี่ยง หรือไม่งั้นก็ใช้งานเป็นแบบเสียบสาย HDMI กับ PC หรือมือถือเอาก็ได้ (ถ้ารองรับ)

เคยใช้โปรเจคเตอร์ที่เป็น Android แต่ไม่รองรับ GMS ต้องดาวโหลดแอปผ่าน AptoideTV ซึ่ง Netflix ดู HD ไม่ได้ และ YouTube ลงทะเบียน Premium ไม่ได้

ความสะดวกในการใช้งาน

การเปิดเครื่อง

การเปิดใช้งานทีวีในแต่ละครั้ง ไม่ต้องบอกก็รู้กันหมดแล้วว่ามันไม่มีอะไรยาก เปิดปุ๊บติดปั๊บพร้อมดูในเวลาไม่กี่วินาที แต่โปรเจคเตอร์พอกดเปิดเครื่องปุ๊บจะใช้เวลามากกว่าเพราะระบบจะต้องเปิดทั้งพัดลมระบายความร้อน เปิดหลอดโปรเจคเตอร์ บูทเข้าระบบ (กรณีที่เป็นสมาร์ทโปรเจคเตอร์) และต้องปรับโฟกัสภาพด้วย เพราะหากใครวางเครื่องไว้เฉย ๆ แค่ขยับออกจากตำแหน่งเดิมนิดเดียวองศาภาพและระยะโฟกัสก็เปลี่ยนแล้ว…แต่เอาจริง ๆ ก็ไม่ได้นานอะไรมากนัก แค่ไม่ทันใจเหมือนเปิดทีวีเท่านั้นแหละ

ตอนเปิดเครื่องจะต้องมีการปรับโฟกัสภาพก่อน

ระยะฉาย

เรื่องพื้นที่ในการใช้งานก็เป็นอีกเรื่องที่หากใครต้องการใช้โปรเจคเตอร์ทั่วไป (ถ้าไม่ใช่ Short throw projector) จะต้องการพื้นที่ในการฉายภาพตั้งแต่ 2 – 3 เมตร เพื่อให้ได้ภาพที่ใหญ่เต็มที่นะครับ โดยทั่วไปหากต้องการภาพขนาดใหญ่ 100 นิ้ว จะใช้ระยะห่างระหว่างเครื่องกับจอภาพประมาณ 2.5 เมตร ถ้า 120 นิ้ว ก็ขยับออกมาเป็น 3 เมตร ถ้ามีพื้นที่ไม่ถึง 2 เมตร ภาพก็จะหดลงมาเหลือ 70 – 80 นิ้ว ซึ่งถ้าหากว่าจะฉายขนาดแค่นี้จริง ๆ ไปใช้ทีวีเอาจะเหมาะกว่าครับ

ตำแหน่งการวางเครื่อง

เรื่องตำแหน่งการวางเครื่องโปรเจคเตอร์ก็สำคัญเหมือนกัน เพราะบางรุ่นจะสามารถปรับมุมภาพได้เฉพาะแนวตั้งเท่านั้น (Vertical Keystone) หมายความว่าเราสาสามารถตั้งเครื่องให้สูงหรือต่ำกว่าหน้าจอได้โดยที่ภาพไม่เบี้ยวเป็นสี่เหลี่ยมคางหมู แต่บางรุ่นไม่สามารถปรับมุมภาพแนวนอน (Horizontal Keystone) ได้ก็จะต้องตั้งไว้ให้กึ่งกลางของหน้าจอพอดี

โปรเจคเตอร์บางรุ่นปรับได้แค่ Vertical Keystone เท่านั้น

การเคลื่อนย้าย

โปรเจคเตอร์ 1080p ราคาระดับนี้ จะมีขนาดที่เล็กและพกพาง่ายน้ำหนักราว ๆ 1 – 2 กก. เท่านั้น หากเอาไปเทียบกับทีวีขนาด 60 นิ้ว จะมีน้ำหนักเกือบ 20 กก. และคงไม่ค่อยมีใครอยากยกทีวีจอใหญ่ไปไหนมาไหนบ่อย ๆ อยู่แล้ว

แต่สำหรับโปรเจคเตอร์ที่มีน้ำหนักเบาหวิวแค่ 1 – 2 กก. เราสามารถพกพาไปไหนมาไหนได้ง่าย ๆ เลย…บางคนอาจสงสัย จะพกโปรเจคเตอร์ไปไหน? พกไปแล้วไม่ต้องเอาหน้าจอไปด้วยรึไง?…ตามประสบการณ์ที่ชอบทำบ่อย ๆ คือจะพกโปรเจคเตอร์ไปเที่ยวตามโรงแรมหรือพูลวิลล่าเพื่อฉายเข้ากับกำแพงสำหรับดูหนัง + เล่นเกมครับ 555

พกไปไหนมาไหนด้วยก็ง่าย

ถ้าจะลงทุนเพิ่มอีกซักหน่อย (ราวพันบาทต้น ๆ) จะไปซื้อจอโปรเจคเตอร์แบบพับได้ขนาด 100 – 120 นิ้วมาใช้ด้วยแล้วเอาใส่หลังรถไปใช้ที่ไหนก็ได้เลย หรือเวลาจะจัดปาร์ตี้ที่สนาม ดาดฟ้า ก็ทำได้ง่าย ๆ เลย เอาจอไปกาง แล้วหยิบโปรเจคเตอร์ไปฉาย ก็สนุกสนานกันได้แล้ว

อันนี้จอโปรเจคเตอร์ทำเอง ใช้งบราว ๆ 5xx บาท

ถ้าหากไม่อยากวุ่นวายเรื่องปลั๊กและสายไฟเพิ่มเงินซักหน่อยจะได้โปรเจคเตอร์ 1080p ที่มีแบตเตอรี่ในตัวเปิดดูหนังจนจบได้เรื่องนึงเลยนะ

XGIMI MoGo Series หนึ่งในโปรเจคเตอร์รุ่นที่มีแบตเตอรี่ในตัว

ข้อจำกัดการใช้งาน

สมาร์ททีวีน่าจะไม่มีข้อจำกัดการใช้งานตรงไหนเป็นพิเศษ เพราะสามารถดูได้ทุกเวลาอยู่แล้ว ผิดกับโปรเจคเตอร์ที่จะมีข้อจำกัดอยู่พอสมควร เรื่องแรกที่บอกไปแล้วคือระยะการใช้งานที่ไม่เหมาะกับพื้นที่แคบ ๆ อย่างเช่นหอพัก หรือคอนโด

อีกข้อก็คือ การใช้งานโปรเจคเตอร์ต้องควบคุมแสงสว่างให้ดีนะครับ เพราะเวลาใช้งานในที่ที่มีแสงสว่างมาก ๆ แล้วภาพจะจางลงไปเยอะ ยิ่งแสงรอบ ๆ สว่างมากภาพยิ่งจางมาก เพราะฉะนั้นจะเหมาะกับการดูในห้องที่ปิดม่านมิดชิด + ปิดไฟ หรือเอาไว้ดูกลางแจ้งตอนกลางคืนก็ได้

เปิดไฟเพดานไว้ ภาพก็จะซีด ๆ แบบนี้

พอปิดไฟแล้วชัดแจ๋ว

อีกข้อคือเวลาใช้งานโปรเจคเตอร์ควรอยู่ในห้องแอร์หรือห้องที่มีอากาศถ่ายเท ไม่ร้อนอบอ้าว เพราะตัวโปรเจคเตอร์จะเกิดความร้อนสูงจนโอเวอร์ฮีทได้ครับ ถ้าเป็นโปรเจคเตอร์ดี ๆ หน่อยจะมีการแจ้งเตือนเรื่องความร้อน และจะลดความสว่างของภาพให้อัตโนมัติ แต่ถ้าเป็นโปรเจคเตอร์รุ่นต่ำ ๆ อาจเกิดอาการหลอดภาพไหม้ได้แบบไม่บอกไม่กล่าวเลย (โดนมาแล้ว หมดประกันพอดี อะไหล่ก็ไม่มี ทิ้งลูกเดียวจ้า…)

ข้อดีของโปรเจคเตอร์หากเทียบกับทีวีระดับราคา 14,xxx บาท

  • จอใหญ่ยักษ์สะใจ
  • ความละเอียด 1080p อยู่ในขั้นโอเคแม้ฉายที่ขนาด 120 นิ้ว
  • พกไปไหนมาไหนได้ง่ายกว่า
  • บางรุ่นที่มี Android TV ในตัว ใช้ดูหนังสะดวกมาก
  • ปรับขนาดภาพได้ แค่ขยับเข้า-ออกจากหน้าจอ
  • ดูหนังในที่มืดสบายตากว่า เพราะแสงไม่ได้ส่องเข้ามาที่ตาโดยตรงเหมือนกับทีวี

ข้อเสียของโปรเจคเตอร์หากเทียบกับทีวีระดับราคา 14,xxx บาท

  • ความคมชัดและสีสันสู้ไม่ได้ (โดยเฉพาะฉากมืด ๆ)
  • ดูในห้องสว่าง ๆ ไม่ได้
  • ต้องระวังเรื่องความร้อนสูงเกิน
  • ลำโพงจากตัวโปรเจคเตอร์ให้มิติสู้ทีวีไม่ได้
  • บางรุ่นต้องวางเครื่องให้ตรงกับหน้าจอเป๊ะ ๆ เพราะปรับ Horizontal Keystone ไม่ได้ (การปรับภาพเอียงแนวนอน)

เอาเป็นว่าใครที่อยากหาโปรเจคเตอร์มาใช้ซักเครื่อง ถ้าที่บ้านมีทีวีอยู่แล้วก็เอามาใช้ดูหนังหรือเล่นเกมให้สะใจกันได้เลย แต่ถ้าใครที่ต้องการซื้อมาใช้แทนทีวีปกติ ส่วนตัวคิดว่ามันยังไม่สะดวกและสู้กับทีวีไม่ได้ในหลาย ๆ ด้านครับ