จริงอยู่ที่ทั้ง Galaxy S20 Series และ Galaxy Note 20 Ultra ต่างมาพร้อมกับหน้าจอ Dynamic AMOLED 2X ค่ารีเฟรชเรท 120Hz เหมือนกันทั้งคู่ แต่…บอกเลยว่าถึงเวลาเอามาใช้งานจริงๆ จะมีรายละเอียดยิบย่อยที่แตกต่างเล็กน้อย โดยรวมๆ แพเนลของ Galaxy Note 20 Ultra จะมีประสิทธิภาพการทำงานที่ดีกว่าเดิม อีกทั้งยังสูบแบตน้อยลงอีกต่างหาก

โดยหน้าจอ Dynamic AMOLED 2X ของ Galaxy Note 20 Ultra จะมาพร้อมกับเทคโนโลยี LTPO ที่จะเข้ามาช่วยปรับค่ารีเฟรชเรทให้อัตโนมัติ ตามคอนเทนต์ที่ผู้ใช้งานกำลังใช้อยู่ ณ ตอนนั้น ยกตัวอย่างเช่น หากเปิดอ่านเว็บ หรืออ่านหนังสือทั่วไป ระบบ LTPO นี้ ก็จะปรับค่ารีเฟรชเรทลงมาให้เหลือ 10Hz แต่ถ้าเล่นเกมปรับกราฟิกสูงๆ ระบบก็จะเซ็ตรีเฟรชเรทให้ทำงานเต็มประสิทธิภาพที่ 120Hz โดยทันที ซึ่งการทำแบบนี้ จะทำให้ Galaxy Note 20 Ultra นั้น กินไฟน้อยลงกว่าเดิมนั่นเอง

อีกทั้ง หน้าจอของ Note 20 Ultra จะไม่ปรับค่ารีเฟรชเรทลงไปเหลือ 60Hz หากแบตเตอรี่เหลือน้อย หรือตัวเครื่องมีอุณหภูมิสูง (Galaxy S20 Series จะดันค่ารีเฟรชเรทลง) ซึ่งตรงนี้้จากการทดสอบของเว็บ sammobile พบว่า ต่อให้อุณหภูมิของ Galaxy Note 20 Ultra พุ่งขึ้นไปถึง 43 องศาเซลเซียส หน้าจอก็จะแสดงผลเป็น 120Hz เหมือนเดิม ไม่เหมือนกับ Galaxy S20 Ultra ที่เมื่อทะลุ 40 องศาเซลเซียส ระบบก็จะปรับลดค่ารีเฟรชเรทลงมาเหลือที่ 60Hz ทันที

นอกจากจะมีระบบ LTPO แล้ว หน้าจอของ Galaxy Note 20 Ultra ยังได้รับอัปเกรดในอีกหลายๆ ส่วน ไม่ว่าจะครอบทับด้วยกระจกนิรภัย Corning Gorilla Glass 7 Victus ทนทานต่อแรงขีดข่วนกว่าเดิม 4 เท่า ไหนจะยังสามารถดันความสว่างได้สูงสุดถึง 1,500 nits อีกด้วย…ซึ่งอันหลังผมลองแล้ว สู้แดดจ้าๆ ในบ้านเราได้แบบดีมากถึงดีที่สุดเลยล่ะ

 

ที่มา: sammobile