หากใครที่กำลังเล็งๆ อยากได้แท็บเล็ต Android จองามๆ เสียงดีๆ สเปคแรงๆ แถมยังมีปากกาเทพๆ ด้วยล่ะก็… ตอนนี้ก็คงหนีไม่พ้นแท็บเล็ตระดับเรือธง Galaxy Tab S7+ รุ่นนี้แล้วล่ะ เพราะฟีเจอร์ทุกอย่างที่บอกไปตอนแรกถูกยัดเอาไว้ในแท็บเล็ตจอ 12.4 นิ้วรุ่นนี้แล้ว ส่วนการใช้งานจริงจะมีอะไรบ้าง มาดูกันได้เลยครับ

Galaxy Tab S7+ ที่เราได้มารีวิวในครั้งนี้เป็นรุ่นหน่วยความจำ 8GB / 256GB ที่มีหน้าจอขนาด 12.4 นิ้ว ซึ่งนับเป็นแท็บเล็ตรุ่นแรกของซีรีส์ Tab S ที่มากับหน้าจอใหญ่ยักษ์ขนาดนี้ แถมสเปคต่างๆ ก็ยังอัดมาให้แรงแบบใช้งานกันได้เหลือเฟือเลยทีเดียว…น่าเสียดายที่ไม่มีเคสคีย์บอร์ดมาให้รีวิวด้วย ก็เลยยังบอกไม่ได้ว่ามันสามารถใช้งานต่างๆ แบบที่พอจะทดแทนโน้ตบุ๊ค Windows ได้รึเปล่าครับ

สเปค Galaxy Tab S7+

  • หน้าจอ Super AMOLED ความละเอียด WQXGA+, HDR10+, Color Range แบบ NTSC, รีเฟรชเรท 120Hz
  • CPU : Snapdragon 865+
  • GPU : Adreno 650
  • RAM : 8GB
  • ความจุ : 256GB รองรับ microSD card
  • กล้องหลัง : 13MP (f/2.0) + 5MP (f/2.2) Ultrawide + LED Flash
  • กล้องหน้า : 8MP (f/2.0)
  • การเชื่อมต่อ : Wi-Fi 802.11 a/b/g/n/ac/6, dual-band, Wi-Fi Direct, hotspot, BT 5.0
  • เซ็นเซอร์ : Fingerprint (ใต้หน้าจอ), accelerometer, gyro, proximity, compass
  • แบตเตอรี่ : 10090 mAh รองรับชาร์จไว 45W
  • ระบบ : Android 10 ครอบด้วย One UI 2.5
  • ขนาด / น้ำหนัก : 285 x 185 x 5.7 มม. / 575 กรัม

ดีไซน์ตัวเครื่อง

Galaxy Tab S7+ ยังคงใช้วัสดุที่เป็นโลหะอยู่เช่นเคย และยังมีงานประกอบที่แน่นหนา ทนทานดี ใช้นิ้วกดตามตัวเครื่อง และหน้าจอไม่มีเสียงกร๊อบแกร๊บให้ได้ยินเลย

ส่วนดีไซน์ตัวเครื่องนอกจากขนาดที่ใหญ่ขึ้นแล้ว ดีไซน์ก็เปลี่ยนไปจากเดิมด้วยเหมือนกัน โดยคราวนี้ขอบเครื่องจะเป็นเหลี่ยมขึ้น ในขณะที่รุ่นก่อนๆ ขอบเครื่องยังมีความโค้งมนอยู่

ขอบเครื่องที่ดูเหลี่ยมกว่าเดิม

อีกอย่างนึงที่เปลี่ยนไปจากรุ่นก่อนก็คือกล้องเซลฟี่ที่คราวนี้ย้ายมาให้ใช้งานแนวนอนแล้ว จากที่รุ่นก่อนๆ วางกล้องเซลฟี่ไว้ในแนวตั้งทั้งหมด

กล้องเซลฟี่ที่ย้ายมาอยู่แนวนอน

พลิกมาดูด้านหลังเครื่องจะเห็นแถบชาร์จปากกา S Pen อยู่ในแนวเดียวกับกล้องหลัง ซึ่งคราวนี้แถบชาร์จดังกล่าวไม่ได้เป็นร่องลงไปแล้ว แต่ยังคงมีแม่เหล็กสำหรับดูดกับตัวปากกาอยู่

ปุ่ม Power และปุ่มปรับเสียงอยู่ที่ขอบเครื่องด้านบน (ดูจากแนวนอน) ส่วนขอบเครื่องด้านขวามีพอร์ต USB-C กับลำโพง 2 ตัว ส่วนรูหูฟัง 3.5 มม. ไม่ต้องไปมองหาที่ไหน (เพราะเค้าไม่ใส่มาให้แล้ว) ขอบเครื่องด้านขวาก็มีลำโพงอีก 2 ตัว

ขอบเครื่องด้านล่างจะมีแค่ POGO Pin และตัวล็อคสำหรับเสียบเคสคีย์บอร์ด

หน้าจอ 2K ขนาด 12.4 นิ้ว รีเฟรชเรท 120Hz

หนึ่งในจุดเด่นของแท็บเล็ตรุ่นนี้ก็คือหน้าจอ Super AMOLED ความละเอียดสูงถึง 2K และมีขนาดใหญ่ขึ้นมาเป็น 12.4 นิ้ว แถมคราวนี้ยังเป็นแท็บเล็ต Tab S รุ่นแรกที่มากับหน้าจอรีเฟรชเรทสูงถึง 120Hz เลยทีเดียว ซึ่งจากการใช้งานครั้งแรกเปิดจอติดขึ้นมาก็ตื่นตาตื่นใจเลยล่ะ เพราะจอมันสวยและลื่นไหลสุดๆ ปัดหน้าจอไปซ้ายไปขวา ก็ดูลื่นปรื๊ดๆ ไปหมด คือปกติก็ใช้มือถือจอ 120Hz อยู่แล้ว แต่พอได้ลองจอใหญ่ๆ แบบนี้แล้วมันเห็นได้อย่างชัดเจนเลยว่าภาพเคลื่อนไหวต่างๆ บนหน้าจอมันลื่นไหลจริงๆ

หน้าจอของ Galaxy Tab S7+ นอกจากจะมีความละเอียดสูงแล้ว ยังรองรับการแสดงผลแบบ HDR10+ อีกด้วย ทดสอบจากการดูคอนเทนต์ HDR จาก Netflix และ YouTube นี่บอกเลยว่าตะลึงพรึงเพริดจนไม่อยากดูคอนเทนต์ HD ธรรมดาๆ อีกต่อไป (ขนาดนั้นเลย…)

ประสิทธิภาพเครื่อง และการเล่นเกม

Galaxy Tab S7+ อัดสเปคมาให้ในระดับไฮเอนด์แบบไม่หวงเครื่อง ทั้งชิป Snapdragon 865+, RAM 8GB แบบ LPDDR5, ความจุแบบ UFS 3.0 ทำให้การใช้งานต่างๆ ทั้งงานทั่วไป หรือจะเล่นเกมกราฟิก 3D โหดๆ ก็ไม่มีสะดุดเลย ทดสอบประสิทธิภาพด้วยแอป 3DMark ได้คะแนนออกมาตามนี้

ส่วนแอป Geekbench 5 ก็ทำคะแนนในการวัดประสิทธิภาพออกมาได้ตามนี้

ทดสอบการเขียน-อ่านข้อมูลด้วยแอป Androbench ได้คะแนนออกมาตามนี้

เล่นเกมกราฟิกหนักๆ ทั้ง Shadowgun Legends, Asphalt 9, PUBG และอื่นๆ โดยปรับภาพเป็นระดับสูงสุดทุกเกมก็ไม่พบปัญหาอะไรเลย เล่นได้แบบลื่นปรื้ดๆ ไม่มีสะอึก

ลำโพง 4 ตัว และระบบเสียง Dolby Atmos 

Galaxy Tab S7+ ยังคงความไฮเอนด์เอาไว้ด้วยลำโพงจำนวน 4 ตัว ที่ได้รับการปรับแต่งเสียงโดย AKG และยังมากับระบบเสียง Dolby Atmos ซึ่งจากการใช้งานจริงต้องบอกเลยว่า เด็ดดวงของจริง เพราะเสียงที่ออกมามีทั้งความดัง และความคมชัด ไม่แตก ไม่เพี้ยนแม้เร่งจนสุด แถมยังมีมิติแยกทิศทางได้ชัดเจนเมื่อใช้ดูหนัง หรือเล่นเกม

ลำโพงที่ปรับแต่งเสียงโดย AKG

พอเอามาใช้เปิดเพลงก็ยิ่งเพลิน เพราะเสียงใสปิ๊ง เสียงเบสก็แน่น และตึ้บใช้ได้เลย คือถ้าใช้แท็บเล็ตตัวนี้แล้วไม่ต้องไปหาลำโพงอะไรมาเสริมเลยล่ะ แต่อย่างที่บอกไปว่ารูหูฟัง 3.5 มม. โดนตัดทิ้งไปแล้ว เพราะฉะนั้นคนที่จะใช้หูฟังต้องเอาตัวแปลง USB-C มาเสียบเอาเอง หรือจะใช้หูฟังไร้สายไปเลยหมดเรื่องหมดราว

ONE UI และ DEX ไร้สาย

Galaxy Tab S7+ มาพร้อม One UI 2.5 แล้ว ซึ่งการใช้งานต่างๆ ก็แทบจะไม่ต่างไปจากมือถือ Galaxy รุ่นอื่นๆ ที่ใช้ One UI 2.5 อย่างเช่นซีรีส์ Galaxy Note 20 หรือ S20 (ต่างกันแค่หน้าจอใหญ่กว่ามาก)

ส่วนฟีเจอร์ DeX ที่คราวนี้ถูกอัปเกรดให้สามารถใช้งานแบบไร้สายได้แล้ว ทำให้ใช้ได้ง่ายกว่าเดิมมาก เพราะไม่ต้องหาสาย USB-C > HDMI หรือ Hub มาเสียบให้วุ่นวายแล้ว แค่มี Smart TV จากนั้นก็เปิดโหมด Wireless DeX แล้วเลือกชื่อของ TV ที่เด้งขึ้นมาก็ใช้งานได้เลย

ในระหว่างที่ใช้โหมด DeX อยู่ เราสามารถใช้ Tab S7+ แยกได้อิสระ คือถ้าหากว่าเชื่อมต่อกับเมาส์ + คีย์บอร์ดไร้สาย ก็จะทำงานผ่าน DeX บนหน้าจอ Smart TV ได้ ส่วนแท็บเล็ตก็ยังใช้งานตามปกติได้ต่อ หรือถ้าไม่มีเมาส์ + คีย์บอร์ด ก็ยังใช้หน้าจอของแท็บเล็ตเป็น Touch Pad กับพิมพ์ผ่านคีย์บอร์ดบนหน้าจอแท็บเล็ตเอาก็ยังได้

เปลี่ยนหน้าจอให้กลายเป็น Touch Pad

สำหรับการใช้งาน DeX จะเปลี่ยน UI ให้มีการใช้งานต่างๆ คล้ายกับ PC คือสามารถเปิดแอปหลายๆ แอปพร้อมกันได้บนหน้าจอเดียว ไม่ว่าจะเป็นเปิด Chrome ไว้ท่องเว็บ, เปิด Google Sheets ไว้ทำงาน และเปิด YouTube ไว้ฟังเพลินๆ ซึ่งคราวนี้แอป YouTube เปิดให้เล่นอยู่เบื้องหลังได้ด้วย (DeX เวอร์ชั่นก่อนหน้า หากเปิดหลายแอปบนหน้าจอเดียว แอปที่ไม่ได้ใช้จะหยุดทำงานเพื่อประหยัด RAM)

นอกจากนี้โหมด DeX ยังเปลี่ยนการทำงานของเมาส์ ให้สามารถใช้ได้เหมือนกับบนคอมพิวเตอร์เลย เพราะปกติการใช้เมาส์กับมือถือหรือแทบเล็ต Android เวลาคลิกขวา มันจะกลายเป็นการกด Back แต่การคลิกขวาใน DeX จะโชว์ตัวเลือกอื่นๆ อย่างเช่น Copy, Paste ฯลฯ เหมือนบนคอมพิวเตอร์ ทำให้ใช้งานแอปประเภท Word หรือ Excel สะดวกกว่า

ปากกา S PEN ความหน่วงต่ำ

รูปร่างและน้ำหนักของปากกา S Pen จะพอๆ กับปากกาทั่วไป ไม่หนัก ไม่ใหญ่ จับเขียนถนัดมือ และจะมีปุ่มสำหรับกดสั่งงานต่างๆ สำหรับฟีเจอร์ Air Actions ได้

โดยฟีเจอร์ Air Actions จะทำให้เราตวัดปากกาไปในทิศทางต่างๆ แทนการกดปุ่ม Back, Home, Recent Apps, สลับกล้องหน้า – หลัง, กดปุ่มชัตเตอร์ระยะไกล, เปลี่ยนโหมดกล้อง, กดเปลี่ยนสไลด์ตอนพรีเซนต์งาน, เปลี่ยนเพลง, เปลี่ยนวิดีโอ ฯลฯ ซึ่งการใช้งาน Air Actions เหล่านั้นต้องใช้พลังงานด้วย ทำให้ S Pen รุ่นนี้ต้องชาร์จไฟจากตัว Tab S7+ นั่นเอง

ซึ่งจากการใช้งานจริงยังไม่ค่อยได้ใช้ประโยชน์จากฟีเจอร์ Air Actions ส่วนที่เพิ่มมาสักเท่าไหร่​ เพราะยังไม่ครอบคลุมแอป​ 3rd Party มากนัก​ หากสามารถทำงานร่วมกับแอปได้มากขึ้นและหลายฟังก์ชั่นกว่านี้ก็จะดี

ส่วนการปรับปรุงอีกหนึ่งอย่างคือ ความหน่วงของ S Pen กับหน้าจอที่คราวนี้เหลือแค่ 9 มิลลิวินาที เท่านั้น คือเวลาขีดๆ เขียนๆ แล้วลายเส้นจะตามติดกับปลาย S Pen เหมือนใช้ปากกาเขียนบนกระดาษยังไงยังงั้นเลย

 

กล้องหน้า และกล้องหลังคู่

Galaxy Tab S7+ มากับกล้องหลัง 2 ตัว ความละเอียด 13MP + 5MP (Ultra wide) และแฟลช LED ที่มีฟีเจอร์ถ่ายรูปมาให้มากมายทั้ง Video Live Focus สำหรับถ่ายวิดีโอแบบหน้าชัดหลังเบลอ, Pro Video ที่ตั้งค่าได้มากกว่าโหมดธรรมดา, Single Take เก็บภาพและคลิปวิดีโอสั้นๆ ต่อเนื่องเป็นเวลา 10 วินาที และเลือกเอาส่วนที่น่าสนใจมาทำเป็นไฮไลท์

โหมด Single Take

ซึ่งภาพที่ได้ก็เรียกว่าอยู่ในเกณฑ์ดีสำหรับกล้องแท็บเล็ต ไม่ว่าจะเป็นภาพนิ่ง หรือวิดีโอก็ตาม

Play video

โหมด Video Live Focus

ส่วนกล้องเซลฟี่ก็ถ่ายได้ชัดเจนดี และมีโหมดต่างๆ ให้เลือกเล่นอีกเพียบเช่นกัน

กล้องเซลฟี่มีให้ปรับเป็นมุม Wide ได้ด้วย

แบตเตอรี่

แบตเตอรี่ของ Galaxy Tab S7+ อัดมาให้ถึง 10900 mAh แต่จากการใช้งานจริงพบว่าแบตเตอรี่ไม่ได้อึดอย่างที่คิด (คาดว่าสาเหตุน่าจะมาจากหน้าจอที่ใหญ่ขึ้น แถมยังมีรีเฟรชเรท 120Hz ด้วย) เพราะถ้าใช้งานแบบเรื่อยๆ ทั้งวัน น่าจะอยู่ได้ประมาณเช้าจนถึงค่ำๆ เท่านั้น

ทดสอบดูหนังระดับ HD จาก Netflix ผ่าน WiFi เป็นเวลาเกือบๆ 3 ชั่วโมง แบตเตอรี่จาก 100% เหลืออยู่ที่ 68% แล้ว และถ้าดูจาก Screen on time ประมาณ 5 ชั่วโมง แบตเตอรี่จะอยู่ที่ประมาณ 30% – 40%

สรุป

ข้อดี

  • หน้าจอใหญ่ และงามสุดๆ
  • หน้าจอแบบ 120Hz มาอยู่บนจอใหญ่แล้วเห็นได้ชัดว่าลื่นมากๆ
  • ลำโพง 4 ตัว กระหึ่มมาก และคุณภาพเสียงก็ดี
  • สเปคแรงเหลือเฟือ
  • กล้องคุณภาพดีใช้ได้สำหรับแท็บเล็ต
  • ปากกาความหน่วงต่ำที่จริงๆ อาจจะไม่จำเป็นนัก แต่ถ้าได้ลองใช้แล้วจะติดใจ
  • DeX ไร้สาย ใช้งานได้จริง และสะดวกขึ้น

ข้อสังเกต

  • กล้องเซลฟี่ย้ายมาเป็นแนวนอน บางคนอาจถ่ายเซลฟี่ไม่ถนัด
  • แบตเตอรี่​เจอจอ​ 120Hz ก็ไม่ได้อึดอย่างที่คิด
  • ฟีเจอร์ Air Actions ของ S Pen ไม่ได้ใช้ประโยชน์จริงขนาดนั้น
  • ราคาค่อนข้างสูง (รุ่น 4G LTE 6GB + 128GB ราคา 33,900 บาท / รุ่น 5G 8GB + 256GB ราคา 39,900 บาท)

ถ้าใครที่กำลังมองหาแท็บเล็ต Android ที่มากับสเปคทรงพลัง, ใช้งานด้านบันเทิงได้แบบสุดยอด, มีปากกาเทพๆ สำหรับจด หรือวาดรูปสวยๆ และมีงบเหลือเฟือ Galaxy Tab S7+ เป็นตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุดแล้วในตอนนี้ เพราะเรียกว่าจัดเต็มมาให้ทุกอย่างแบบเหลือเฟือเลยจริงๆ หรือถ้าใครยังงบเหลืออีกจะจัดรุ่น 5G ไปด้วยเลยก็ยังได้

Play video

ส่วนใครที่ไม่ได้อยากได้สเปคระดับเทพขนาดนั้น หรือมีงบประมาณที่น้อยลงมาอีกหน่อย จะไปดูรุ่นน้องเล็กอย่าง Galaxy Tab S7 ก็น่าจะโอเคแล้ว เพราะถ้าเทียบกันระหว่าง 2 รุ่นนี้ ที่ต่างกันหลักๆ ก็จะมีแค่ประเภทของหน้าจอ และขนาดเท่านั้นเองครับ